เว่ยเสี่ยวชวนตื่นตัวขึ้นมา รีบกล่าว “พี่สาว เจ้าวางใจ แม้เขาจะอยู่สำนักศึกษาประจำจังหวัด ข้าอยู่สำนักศึกษาประจำอำเภอ แต่ข้ามีคนที่คุ้นเคยอยู่ แต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง ข้ารับรองว่าจะบอกเจ้าให้หมด”

อวี้ถังกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ทิ้งการเรียนเชียว”

สกุลหลี่ต้องการภาพนั้น หากไม่ติดกับนาง ไม่ว่าจะขโมยหรือแย่งชิง ‘ของต่างหน้า’ ของหลู่ซิ่นไปไว้ในมือ ก็คงจะทำเหมือนชาติก่อน ไล่ต้อนนางให้ออกเรือนกับหลี่จวิ้น

หากสกุลหลี่ตกหลุมพรางของนาง สิบปีล้างแค้นย่อมไม่สาย นางอาจจะเสียเวลาสิบปี ยี่สิบปีค่อยๆ สืบสาเหตุการตายที่แท้จริงของเว่ยเสี่ยวซาน แต่ชาตินี้กับชาติก่อนไม่เหมือนกันแล้ว นางมีบิดามารดา มีพี่ชาย หากสกุลหลี่คิดจะสอดมือยุ่งเรื่องงานแต่งของนาง ทำได้เพียงต้องใช้ไหวพริบ ไม่อาจบีบบังคับ ย่อมยังมีไม้เด็ดอยู่อีกแน่

นางแค่รอหน่อยก็เพียงพอแล้ว

ยามนี้เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการคือปลอบใจเว่ยเสี่ยวชวนให้ดี อย่าให้เรื่องนี้กระทบกับการเรียนหรืออนาคตของเขา

เว่ยเสี่ยวชวนเผยรอยยิ้มบาง “พี่สาววางใจ ข้ารู้จักความเหมาะสมอยู่แล้ว”

เขาเพิ่งจะพูดจบ อวี้ถังก็ได้ยินเสียงของมารดา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน?”

ทั้งสองคนหันไปตามเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน

คนสกุลเฉินตกใจ กล่าวอย่างลังเล “นี่คือเสี่ยวชวนกระมัง? คุณชายห้าของสกุลเว่ย?”

เว่ยเสี่ยวชวนรีบก้าวเข้ามาคารวะคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินดึงเขาเข้ามากอดอย่างดีใจ “เด็กดี เจ้ามาที่เรือนพวกเราทำไมรึ? เหตุใดไม่เข้าไปคุยด้านใน? อยู่ตรงประตูหลังไม่ดีนัก ไป ไป ไป ตามข้าเข้าไปด้านใน” ก่อนจะเรียกซวงเถาเสียงดัง “เอาขนมที่คุณชายหย่วนซื้อกลับจากหังโจวไม่กี่วันก่อนมาให้เสี่ยวชวนชิมหน่อย”

เว่ยเสี่ยวชวนใบหน้าแดงก่ำ เขารีบกล่าว “ท่านป้า ไม่ต้องหรอก! ข้ามาเยี่ยมท่านพี่เท่านั้น จะฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว สำนักศึกษาของพวกเราจึงหยุด ข้ายังต้องกลับช่วยที่บ้านทำไร่ทำนา!”

“ไอหยา!” คนสกุลเฉินได้ฟังก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ “เจ้าเรียนในสำนักศึกษาแล้ว ยังช่วยที่บ้านทำไร่ทำนาอีก! ดีจริงๆ ไม่เหมือนบัณฑิตบางคน เรียนตำราไม่กี่เล่ม เรื่องอื่นๆ ก็คร้านที่จะทำแล้ว ในเมื่อเจ้ารีบกลับไปฉลองเทศกาล ข้าก็ไม่รั้งเจ้าแล้ว แต่ขนมนั้นเจ้าต้องเอาไปด้วย หากเจ้าไม่ชอบกิน ก็ให้พวกพี่น้องชิมดูก็ได้”

เว่ยเสี่ยวชวนรับปาก ก่อนจะขอบคุณคนสกุลเฉินแล้วถือขนมกลับบ้านไป

คนสกุลเฉินปิดประตูถามอวี้ถังทันที “เสี่ยวชวนเป็นเพียงเด็กน้อยไม่รู้ประสา ทั้งยังเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา ไฉนจู่ๆ จึงวิ่งมาหาเจ้าเช่นนี้?”

อวี้ถังทำได้เพียงกล่าว “ข้าสืบเรื่องคุณหนูเซียงจากเขาไม่ได้รึ?”

คนสกุลเฉินตีนางไปหนึ่งที “เรื่องนี้ยังไม่สำเร็จเสร็จสรรพ หากเกิดปัญหาอะไรเพราะเจ้า ดูสิว่าข้าจะขังเจ้าไว้ในโรงฟืนหรือไม่”

อวี้ถังรู้ว่ามารดานั้นปากร้ายแต่ใจดีกับนางมาตลอด ตั้งแต่เด็กนางไม่รู้ว่าก่อเรื่องไปตั้งเท่าใด แต่ก็ไม่เคยถูกมารดาลงโทษแม้แต่ปลายนิ้ว นางตั้งใจหยอกเย้ามารดา ร้องเรียกเสียงดัง ‘ท่านพ่อ’ ก่อนกล่าว “ท่านแม่จะตีข้า!”

อวี้เหวินรีบออกมาจากห้องหนังสือ ยังไม่ทันเห็นคนก็ส่งเสียงมาก่อน “มีอะไรค่อยพูดค่อยจา จะตีลูกทำไมกัน!”

“อวี้ถัง!” คนสกุลเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

อวี้ถังวิ่งมาหลบอยู่ด้านข้างอวี้เหวิน

อวี้เหวินมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าอวี้ถังหยอกเล่น ยักไหล่อย่างจนใจไปทางคนสกุลเฉิน “เอาเถิด เอาเถิด ข้าจะไปเขียนหนังสือต่อละ เรื่องของพวกเจ้าข้าไม่ยุ่งแล้ว”

อวี้ถังวิ่งกลับไปขอโทษมารดา ทั้งยังเบี่ยงประเด็นเอ่ยถึงเรื่องดูตัวในวันพรุ่งนี้ “ข้าสวมชุดอะไรดี หากข้ามหน้าข้ามตาคุณหนูเซียง นางยังไม่ทันแต่งเข้าสกุลก็มาเกลียดน้องสามีอย่างข้าก่อน จะทำอย่างไร?”

“เช่นนั้นก็แต่งเจ้าออกไป” คนสกุลเฉินบิดแก้มลูกสาว แต่ก็ยังคงช่วยลูกเลือกเสื้อผ้า

อวี้ถังเลือกชุดสีม่วงอ่อนของดอกติงเซียงที่ใส่เป็นเพื่อนหม่าซิ่วเหนียงในยามเจรจางานแต่ง แม้ว่าคนสกุลเฉินจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดมาก เมื่อถึงเช้าตรู่ของอีกวัน ก็นั่งเกี้ยวกับพวกคนสกุลหวังไปที่นาของสกุลอวี้ที่ตั้งอยู่ในแถบชนบท รอหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ ก็แสร้งทำเป็นกลับบ้านโดยผ่านทางเรือนของสกุลเว่ย แล้วเข้าไปเยี่ยมเยียน

อวี้ถังมองทิวทัศน์ตลอดทาง ในใจรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง

ปกติการดูตัวเช่นนี้มักจะเลือกนัดหมายที่วัดไม่ก็อารามแม่ชี

สกุลพวกเขาและสกุลเว่ยกลับจัดการอย่างอ้อมไปอ้อมมาให้อยู่ที่สกุลเว่ย เป็นไปได้ว่ากลัวจะกระทบความรู้สึกนางยามนึกถึงเรื่องงานแต่งของตัวเอง

บิดามารดารักนางอย่างสุดหัวใจ นางกลับไม่อาจทำอะไรเป็นการตอบแทน

อวี้ถังสูดลมหายใจลึก เตือนตัวเองว่าอยู่ต่อหน้ามารดาต้องมีความสุขเข้าไว้

เรือนเก่าที่อยู่นอกเมืองของสกุลอวี้ยังนับว่าใหญ่ไม่น้อย เป็นเรือนก่อด้วยอิฐสีเทา มีพื้นที่ห้าส่วน ในเรือนมีพ่อม่ายที่เป็นญาติห่างๆ อยู่คนหนึ่งทั้งรับลูกของญาติมาเลี้ยงดูเป็นลูกชายอีกคนอยู่ที่นั่น คอยดูแลเรือน จัดการเรื่องที่นาให้พวกเขา อวี้ถังต้องเรียกเขาว่าปู่ห้า เรียกลูกชายคนนั้นของเขาว่าอาเจ็ด

ปู่ห้าคนนี้อายุประมาณหกสิบปี ซื่อสัตย์จริงใจ ชาติก่อนก็ช่วยสกุลอวี้ดูแลเรือนเก่าหลังนี้มาโดยตลอด พอรู้ว่าพวกอวี้เหวินจะกลับมา เขาก็ปัดกวาดทำความสะอาดเรือนล่วงหน้า จัดเตรียมโต๊ะอาหารต้อนรับอย่างเพียบพร้อม

อวี้ถัง มารดา ป้าสะใภ้ใหญ่ พวกผู้หญิงนั้นกินข้าวอยู่ในเรือน ส่วนอวี้เหวินและพวกปู่ห้าไม่กี่คนนั่งดื่มสุราอยู่ด้านนอก

ปู่ห้าถามอวี้เหวิน “ยังไม่ได้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ แม้ว่าจะเก็บผลิตผลจากที่นาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลงในบัญชี เจ้าไปดูในโรงนาก่อนดีหรือไม่?”

อวี้เหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พวกเรากลับบ้านมาเที่ยวเล่นเท่านั้น เรื่องในที่นา ก็ว่าตามปีที่ผ่านมาเถิด”

ปู่ห้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าอากาศเช่นนี้กลับบ้านนอกมาเที่ยวเล่นอะไร

แต่เขาเป็นคนที่จริงใจคนหนึ่ง อวี้เหวินไม่พูด เขาก็ไม่อาจถาม เพราะว่าเรื่องของอวี้หย่วน ตอนบ่ายยังต้องไปสกุลเว่ย อวี้เหวินจึงไม่ได้ดื่มสุรา ทั้งกว่าจะถึงเวลานัดกับสกุลเว่ยยังอีกนาน กินข้าวเสร็จก็ไม่ได้แยกย้ายไปไหน ดื่มชาไปพลาง คุยเรื่องที่นากับปู่ห้าไปพลาง

อาเจ็ดเป็นชายวัยสี่สิบต้นๆ สูงพอเหมาะพอควร ผิวพรรณดำคล้ำ รูปร่างกำยำ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่แต่งภรรยาเสียที ตอนเด็กๆ ยามที่อวี้ถังตามบิดามาที่นา เขาก็มักจะพานางขี่คอไปเที่ยวเล่นทุกหนทุกแห่ง ทั้งยังซื้อขนม ยางรัดผมให้นาง ชื่นชอบนางเป็นอย่างยิ่ง

ภายหลังบิดาและมารดานางจากไป เขาก็ตั้งใจเดินทางไปเคารพศพ ทั้งยังแบกข้าวมาส่งนางบางครั้งบางคราว

อาเจ็ดยืนกวักมือเรียกนางอยู่นอกประตู

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังยิ้มกล่าวกับอวี้ถัง “ไปเถิด! ให้อาเจ็ดเจ้าพาไปเดินดูหมู่บ้านเสียหน่อย เจ้าจะได้ไม่เบื่อ”

หลังจากกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง อวี้ถังยังไม่เคยพบอาเจ็ดผู้นี้เลย

นางเดินยิ้มออกไป

อาเจ็ดคว้าบางอย่างที่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นกรงนกแบบง่ายๆ ที่เขาทำเองออกมาจากด้านหลัง “ให้เจ้าเล่น”

อวี้ถังมองดู ในกรงนั้นมีนกกระจอกหลายตัวถูกขังอยู่

คงเป็นอาเจ็ดที่จับมา

เมื่อก่อนยังเคยพานางย่างนกกระจอกด้วย

นางยิ้มมุมปาก ขอบคุณอาเจ็ด ก่อนจะรับกรงนกมา

อาเจ็ดถามนาง “อีกเดี๋ยวข้าจะไปเก็บดอกกุ้ยฮวา เจ้าอยากไปหรือไม่? ข้าจะทำดอกกุ้ยฮวาลอยน้ำเชื่อมให้เจ้ากิน”

อวี้ถังไม่ค่อยอยากไป แต่นางอยากไปดูพื้นที่ป่าของสกุลลุงใหญ่

ชาติก่อน หลังจากขายพื้นที่ป่าเขานี้ให้กับสกุลเผย สกุลเผยก็ปลูกผลไม้ชนิดหนึ่งในพื้นที่แห่งนี้ จากนั้นก็แปรรูปเป็นผลไม้อบแห้งขาย ได้ยินว่าขายที่เมืองหังโจวได้ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะเรื่องนี้ คนสกุลเกาจึงมักด่าอวี้หย่วนว่าเป็นคนไร้ค่า เห็นแหล่งทำเงินเป็นของไร้ราคา คาดไม่ถึงว่าจะขายที่ดินดีขนาดนั้นไป

หลังจากอวี้ถังได้ยินก็โมโหจนไม่กินข้าวไปหลายวัน แต่ในใจจำต้องยอมรับ การดูแลจัดการของสกุลเผยทำได้ดีจริงๆ พื้นที่ป่าเขาเช่นนี้พอตกไปอยู่ในการดูแลของพวกเขาล้วนสามารถหาสารพัดวิธีทำเงินได้

ชาตินี้ นางก็คิดที่จะลองดู

อวี้ถังเอากรงนกเข้าไปให้คนสกุลเฉินและคนสกุลหวัง “ให้ท่านพี่เอาไปเล่นกับคุณหนูเซียง ข้าจะไปเก็บดอกกุ้ยฮวากับอาเจ็ดนะเจ้าคะ”

คนสกุลเฉินรีบกำชับนาง “อย่าได้ไปเก็บเองเชียว ระวังน้ำหวานดอกไม้เปื้อนมือด้วย ต้องล้างกันเป็นค่อนวัน” ทว่ายังไม่วางใจจึงเรียกอาเจ็ดเข้ามาให้เขาช่วยดูแลอวี้ถัง

อาเจ็ดรับปากเป็นดิบดี

อวี้ถังและอาเจ็ดไปยังตีนเขาที่ปลูกดอกกุ้ยฮวาด้วยกัน

ท่ามกลางใบไม้เขียวที่มันวาว เต็มไปด้วยดอกสีเหลืองอร่ามที่เบ่งบาน

อาเจ็ดยื่นกระเป๋าผ้าให้นาง “เจ้ายืนรออยู่ใต้ร่มไม้ ข้าจะไปเก็บดอก”

อวี้ถังตอบรับด้วยรอยยิ้ม

ยามที่อาเจ็ดเก็บดอกไม้ นางก็เขย่งมองซ้ายมองขวา พูดคุยกับเขา “ข้าเห็นพื้นที่ป่าเขาของคนอื่นล้วนปลูกต้นเหอเถา[1] ต้นท้อบ้าง ลูกไหนบ้าง ไฉนที่ของพวกเราจึงไม่มีอะไรเลยเล่า?”

อาเจ็ดสาละวนกับการเก็บดอกไม้ “พื้นที่ภูเขาของลุงใหญ่เจ้าทำไม่ได้ สภาพดินแย่เป็นอย่างมาก ยามที่ปู่เจ้าอยู่ก็เคยปลูกต้นเหอเถา แต่ผลปรากฏว่าออกลูกมาทั้งขมทั้งฝาด ขายไม่ออก ภายหลังก็ปลูกหน่อไม้ ป่าไผ่นั้นเติบโตเป็นวงกว้าง แต่หน่อไม้ที่ออกมากลับคล้ายดั่งฟืน ต้นท้อเอย ลูกไหนเอย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…จนมาถึงคราวลุงใหญ่ของเจ้า ก็ยึดตามนั้นไป ปลูกต้นไม้ทั่วไปขายเป็นฟืนได้ก็เพียงพอแล้ว! เด็กสาวอย่างเจ้าไม่รู้หรอกว่า เมื่อถึงฤดูหนาว ฟืนก็ขายดีเช่นกัน แค่เมืองหลินอันของพวกเราก็ล้วนไม่เพียงพอต่อความต้องการ…ข้าได้ยินคนอื่นกล่าวว่า เมืองหังโจวขายได้ราคาดีกว่านี้เสียอีก แต่ปู่ห้าของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง ข้าไม่อาจเดินทางไกลเกินไปได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไปขายฟืนที่เมืองหังโจวแล้ว…”

อวี้ถังงุนงงอยู่บ้าง

ไปขายฟืนที่หังโจว? เงินที่ขายฟืนได้ยังไม่พอค่าขนส่งทางเรือเลยกระมัง?

ชาติก่อนนางไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้ เข้าหูซ้ายก็ทะลุหูขวาออกไปแล้ว รู้สึกว่าอาเจ็ดผู้นี้พูดอะไรล้วนน่าสนใจ ชาตินี้กลับ…

อวี้ถังสั่นศีรษะลอบยิ้มขมขื่นกับตัวเอง

มีประสบการณ์จากชาติที่แล้ว นางจะแสร้งอย่างไร ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนตอนแรก

นางจัดเรียงดอกกุ้ยฮวาที่อาเจ็ดเก็บลงมา ก่อนจะมีเสียงดังกรอบแกรบลอยขึ้นมาข้างหู คล้ายว่ามีใครเดินฝ่าพุ่มไม้เข้ามาทางนี้

อวี้ถังเงยหน้า เห็นพวกชายหนุ่มที่มีท่าทีเอ้อระเหยลอยชายเดินเข้ามา

เมื่อเห็นอวี้ถัง คนพวกนั้นก็ตาเป็นประกาย ทั้งยังใช้สายตาสื่อสารเป็นนัยให้กัน ดูแล้วไม่น่าจะมีเจตนาดี

อวี้ถังส่งเสียงดังเรียกอาเจ็ด “คนพวกนี้ท่านรู้จักหรือไม่?”

อาเจ็ดหันกลับมา กล่าวยิ้มๆ “อ๋อ เป็นพวกเด็กหนุ่มเกเรในหมู่บ้านพวกเรา เจ้าไม่ต้องสนใจเขา พวกเขาไม่กล้าทำอะไรหรอก!”

แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น เขากลับดูตื่นตัวเป็นอย่างมาก เมื่อครู่ดึงเบาๆ ก็เด็ดดอกลงมาได้แล้ว ยามนี้ออกแรงอยู่พักใหญ่กลับเด็ดลงมาไม่ได้แต่อย่างใด

หรืออาเจ็ดเคยไปขัดแย้งอะไรกับพวกเขาหรือเปล่า?

อวี้ถังกล่าวอย่างร้อนใจ “อาเจ็ด อย่างไรพวกเรากลับไปก่อนเถิด! อีกเดี๋ยวข้ายังต้องไปสกุลเว่ยเป็นเพื่อนท่านแม่และป้าสะใภ้ใหญ่ ครั้งหน้าเจ้าค่อยมาเก็บเถิด” พูดจบ ก็ดึงชายเสื้อของอาเจ็ด

มุมปากของอาเจ็ดกระตุกสั่น กลับกล่าว “ไม่ล่ะ เจ้าอย่าเพิ่งไป อีกเดี๋ยวข้าก็จะเก็บเสร็จแล้ว”

ผิดปกติ!

อวี้ถังหันไปมองพวกอันธพาล คนพวกนั้นกำลังสาวเท้ามาหานาง

ท่าทางดุดันไม่น้อย

อวี้ถังหันไปมองอาเจ็ดอีกครั้ง

มือของเขาที่กำลังเด็ดดอกไม้จับที่กิ่งไม้แน่นจนข้อต่อขึ้นสีขาว

จู่ๆ อวี้ถังก็นึกถึงสกุลหลี่ที่นางเตรียมรับมือมาโดยตลอด…

นางออกตัววิ่งทันที

“นังคนนี้ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” คนพวกนั้นวิ่งตามนาง ตะโกนเสียงดังขึ้นมา

คล้อยหลังคอเสื้อของนางก็ถูกคนดึงไว้

อวี้ถังหันกลับไป เห็นใบหน้าของอาเจ็ดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

———————————————————

[1] ต้นเหอเถา ต้นวอลนัท