“คุณหนูใหญ่” อาเจ็ดกล่าวอย่างร้อนใจอยู่บ้าง “เจ้าอย่ากลัวไป พวกเขาไม่อาจทำอะไรเจ้าหรอก เป็นสกุลหลี่ พวกเขาอยากแต่งงานกับเจ้า แต่บิดามารดาเจ้าไม่ยอม สกุลหลี่อับจนหนทางจึงได้วางแผนเช่นนี้” ขณะที่เขาพูด ก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นพูดมีเหตุผลขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงค่อยๆ ดังขึ้นตามอย่างมั่นใจ “คุณชายรองสกุลหลี่ชื่นชอบเจ้าเป็นอย่างมาก เจ้าวางใจ รอเจ้าแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ใหญ่ในสกุลหลี่ก็จะรู้เอง อาเจ็ดไม่ได้จะทำร้ายเจ้า ข้าได้คุยกับพวกเขาแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะตามพวกเขาไปด้วย จะปกป้องเจ้าเอง”
อวี้ถังก่นด่าในใจหนึ่งประโยค
นางวางแผนรับมือเสียดิบดี ระแวงซ้ายระวังขวา กลับคาดไม่ถึงว่าจะตกหลุมพรางคนกันเองในช่วงเวลาสำคัญ ทั้งแม้เจ้าจะพูดเรื่องเหตุผลกับเขาก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่
อวี้ถังเห็นอันธพาลพวกนั้นใกล้ตัวเองเข้ามาเรื่อยๆ หัวแล่นขึ้นมาฉับพลัน ถอดผ้าคาดเอวอย่างว่องไว ปล่อยให้อาเจ็ดดึงคอเสื้อนาง พอผละออกจากชุดคลุมตัวนอกได้ก็วิ่งไปทางเรือนเก่าทันที
“เร็ว รีบไปจับนาง!” หัวหน้าของพวกอันธพาลเห็นก็รีบตะโกนเสียงดังใส่อาเจ็ด “หากนางวิ่งกลับไปเรือนเก่าสกุลอวี้ก็จบเห่ ความพยายามที่พวกเราทุ่มเทล้วนจะเสียเปล่า!”
อาเจ็ดดึงสติกลับมา สาวเท้าไล่ตามอวี้ถังไป
สายลมพาดผ่านข้างหูนางไป ป่าหญ้ารกเกี่ยวพันเสื้อผ้า
นางวิ่งไปอย่างทุลักทุเล ไม่กล้าที่จะหยุด พยายามตะโกนคำว่า ‘ช่วยด้วย’ อย่างสุดชีวิต
พื้นที่ป่าเขาอยู่ด้านหลังเรือนเก่าสกุลอวี้ แต่หากนางจะวิ่งกลับเรือนเก่าสกุลอวี้ กลับต้องวิ่งตามถนนสายเล็กของตีนเขาไปอีกทาง ไม่ก็วิ่งฝ่าลำธารไปในหมู่บ้าน
ถนนสายเล็กตรงตีนเขาค่อนข้างขรุขระ น้อยคนนักที่จะใช้เส้นทางนี้
อวี้ถังหันไปมองที่ตีนเขา เห็นชายวัยกลางคนสองคนเฝ้าตรงถนนราวกับไม่มีอะไรทำ
อวี้ถังกระโดดลงสะพานทางไปในหมู่บ้าน ตะโกนคำว่า ‘ช่วยด้วย’ เสียงดัง
ในหมู่บ้านนั้นเงียบสงัด มีเพียงวัวสองตัวที่ถูกผูกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ทางเข้าหมู่บ้านส่งเสียงร้อง ‘มอๆ’ ตอบรับนาง
แย่แล้ว นางลืมไป เวลานี้เป็นช่วงเวลาอาหารกลางวัน คาดว่าคนในหมู่บ้านคงจะกินข้าวกันในบ้าน
อวี้ถังกรีดร้องอยู่ในใจ
นางคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นกระมัง?
อวี้ถังรีบหันกลับไปมองข้างหลัง
คนพวกนั้นคาดว่ากลัวนางวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน ทำให้คนในหมู่บ้านตกใจ สีหน้าจึงดุดันขึ้นมาบ้าง กำลังจะตามนางทันในไม่ช้า
อวี้ถังหน้าถอดสี ก่อนจะเห็นถนนทางเข้าหมู่บ้านมีรถม้าประดับม่านเขียวผ่านมาคันหนึ่ง
ด้านหน้ารถม้ามีคนขับรถรูปร่างกำยำคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านข้างยังมีเด็กผู้ชายช่วงวัยสิบขวบคนหนึ่ง
เด็กคนนั้นอายุประมาณสิบสองสิบสาม ใบหน้าอ้วนกลมนั้นปะแป้งขาว มัดผมจุกสองข้าง สวมชุดต้าวผาวผ้าหังโฉวสีเขียว ในมือไม่รู้ว่าถือขนมอะไรสีขาวๆ มุมปากเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษขนม กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กคนที่นางพบที่น้ำตกสีปี่ วัดเจาหมิง
อวี้ถังตื้นตันจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา
นางวิ่งไปทางรถม้า “ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
คนขับรถม้าและเด็กคนนั้นหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน
ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างจนกลมเกลี้ยงเป็นลูกลำไย คนขับรถม้ากลับสบถออกมา กระโดดลงจากรถม้า ถือแส้วิ่งเข้ามา
อวี้ถังดีใจเป็นอย่างยิ่ง ตะโกน “ช่วยด้วย!” อย่างไม่หยุดหย่อน
แส้ม้าวาดผ่านอากาศสะบัดไปยังด้านหลังนาง
เบื้องหลังนางปรากฏเสียงร้องโหยหวนและสาปแช่งตามมา
ชายหนุ่มร่างกำยำขมวดคิ้ว ตะโกนเสียงดังอื้ออึง “กลางวันแสกๆ รังแกผู้หญิงแล้วยังจะโวยวายส่งเดชอีก!”
เขาสาวเท้าผ่านไหล่อวี้ถังไป แส้ม้าในมือร่ายระบำขึ้นอีกครั้ง
อวี้ถังหยุดฝีเท้าลง เวลานี้พบว่าตัวเองหอบหายใจอย่างหนัก เจ็บหน้าอกคล้ายถูกฉีกอย่างไรอย่างนั้น
นางอดงอตัวพยุงมือไว้กับเข่าไม่ได้
“พี่สาว พี่สาว” มือเล็กที่เนียนนุ่ม เปรอะเปื้อนเศษขนม พยุงนางไว้ “เจ้าไม่ต้องกลัว นายท่านของเราและเหล่าเจ้าล้วนอยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมไม่กล้ารังแกเจ้าอีกแล้ว เจ้าอย่าได้กังวล ข้าพยุงเจ้าไปนั่งตรงก้อนหินข้างๆ ดีหรือไม่?”
ทางเข้าหมู่บ้านมีก้อนหินก้อนใหญ่อยู่ ทั้งยังมีวัวผูกไว้
อวี้ถังไม่เคยวิ่งถึงขนาดนี้มาก่อน นางหายใจเข้าลึก พูดไม่ออก ทำได้เพียงส่ายศีรษะ
“เช่นนั้น เช่นนั้นข้าพยุงเจ้าไป…” น้ำเสียงนุ่มเล็กคิดไม่ออกไปชั่วขณะ
คงหาสถานที่ที่พอจะนั่งไม่ได้กระมัง?
อวี้ถังอยากจะหัวเราะ กลับหัวเราะไม่ออก
นางเงยหน้า เห็นใบหน้าขาวเนียนของเด็กชายดูนุ่มนิ่มราวกับหมั่นโถว
“ขอบ ขอบคุณ เจ้า…” อวี้ถังกล่าว
เด็กชายส่ายศีรษะราวกับกลองไม้เขย่า “พี่สาวไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าพักอยู่ที่ไหน พวกเราจะไปส่งเจ้า”
อวี้ถังสูดลมหายใจลึกหลายครั้ง รู้สึกว่าดีขึ้นมากแล้วก็ยืดตัวตรง คิดจะขอบคุณนายท่านของพวกเขาก่อนค่อยไปเรียกคนในหมู่บ้าน ใครจะรู้ว่าพอนางเงยหน้า ก็พบกับเผยเยี่ยนเผยแววตาเรียบนิ่งนั่งอยู่หน้ารถม้า
“เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?” อวี้ถังถอยหลังไปสองก้าว
วัดเจาหมิง…เด็กชาย…รถม้าประดับม่านเขียว…ชายหนุ่มกำยำ…
อวี้ถังมองเด็กชายและชายหนุ่มที่จัดการพวกอันธพาลจนนอนกองกับพื้น ทั้งหันมามองเผยเยี่ยน พูดติดอ่างกับเด็กคนนั้น “พวกเจ้า นายท่านของพวกเจ้า คงไม่ใช่นายท่านสามสกุลเผยหรอกกระมัง?”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” เด็กชายยิ้มอย่างสดใส เผยท่าทีราวกับภาคภูมิใจเช่นกัน “นายท่านของพวกเราก็คือนายท่านสามสกุลเผย! เจ้ารู้จักนายท่านสามสกุลพวกเราได้อย่างไรกัน? นายท่านสามของพวกเราเป็นคนดีอย่างยิ่ง ไม่เพียงงดเว้นค่าเช่าที่นา ยังบริจาคเงินให้วัดเจาหมิงทำพระโพธิสัตว์หล่อทอง เจ้าไปพูดคุยกับนายท่านสามของพวกเราเถิด ให้นายท่านสามพวกเราส่งอันธพาลพวกนี้ไปที่ศาลาว่าการ”
อวี้ถังทำอะไรไม่ถูก ชั่วขณะนั้นล้วนไม่รู้จะพูดอะไรดี
เผยเยี่ยนมองนาง มุมปากกระตุกเล็กน้อย
คุณหนูอวี้คนนี้ พวกเขาพบกันอีกแล้ว
สิ่งที่แตกต่างคือครั้งแรกที่พบเป็นความเจ้าเล่ห์กลับกลอก ครั้งที่สองงดงามพราวเสน่ห์ ครั้งที่สามทำตัวตามสบายไม่สนอะไร…ส่วนครั้งนี้ เผยเยี่ยนมองพินิจอวี้ถัง
ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก รองเท้าข้างหนึ่งอยู่ที่เท้า ส่วนอีกข้างไม่รู้ว่าทำร่วงที่ใด ทุลักทุเลราวกับหญิงสาวที่หนีตาย
อวี้ถังอดพินิจตัวเองตามสายตาเขาไม่ได้
กระโปรงสีม่วงไม่รู้ว่าถูกเกี่ยวขาดตั้งแต่เมื่อไร เผยให้เห็นรองเท้าปักลายข้างซ้ายที่ขาดเป็นรูขนาดใหญ่ ทั้งถุงเท้าสีขาวข้างขวาก็สกปรกเปรอะเปื้อนไปหมด
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ใบหน้าร้อนฉ่า
นางหันไปมองทางเผยเยี่ยนทันที
เผยเยี่ยนกลับบิดหน้าหนี คล้ายกับว่าไม่อยากมองเห็นนาง
อวี้ถังอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่ความอึดอัดใจนี้เกิดขึ้นเพียงไม่นานก็สลายหายไป
แต่ไหนแต่ไรเผยเยี่ยนก็ดูแคลนนาง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งที่แล้วยามที่นางอยู่หังโจว หลังจากถูกเขาเห็นนางใช้มือกัดขาหมูแล้ว ทั้งยังให้เขารู้ว่านางกินตะกละจนปวดท้อง…คำโบราณที่กล่าวว่า ‘เก่งแต่กิน คร้านทำงาน’ ล้วนเป็นกันทุกบ้าน ก่อนหน้านี้นางยังหลอกเถ้าแก่ถงให้ช่วยตรวจดูภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ใช้ชื่อเสียงของสกุลเผยข่มขู่หลู่ซิ่น…นางอยู่ต่อหน้าเขายังจะพูดอะไรได้อีก? มีอะไรให้เชิดหน้าชูตาได้อีกหรือ?
แค่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเท่านั้น เทียบกับก่อนหน้านี้ ก็ดีมากแล้ว
ชั่วขณะนั้นอวี้ถังก็ปลดปล่อยอารมณ์ในใจทิ้งไป
ยามที่ซวยกว่านี้ก็ผ่านมาได้แล้ว นางมีอะไรต้องกลัวอีก? มีอะไรให้เขินอายกัน?
อวี้ถังที่ปล่อยวางเรื่องในใจ แปรเปลี่ยนเป็นคุณหนูที่วางตัวอย่างเหมาะสม สง่าผ่าเผย ทั้งพูดจาอ่อนโยนต่อหน้าผู้คน
นางกล่าว “นายท่านเผย ขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าล้วนอยู่ที่หมู่บ้าน หากท่านไม่มีเรื่องด่วน มิสู้ไปดื่มชาที่เรือนเก่าสกุลอวี้ของพวกเราเป็นอย่างไร? ให้ท่านพ่อและท่านแม่ข้าได้ขอบคุณท่านดีๆ”
เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว “เจ้าอยู่กับพ่อและแม่เจ้ารึ?”
หรือเขาคิดว่านางวิ่งมาถึงที่นี่คนเดียวอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังผงกศีรษะ กำลังจะพูดเป็นมารยาทกับเผยเยี่ยนเสียหน่อย ข้างหูพลันมีเสียงเกือกม้าดังขึ้นมา
นางและเผยเยี่ยนอดหันไปมองไม่ได้
เห็นเพียงหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางขี่ม้าคนละตัวพุ่งมาทางนี้
อวี้ถังเผยใบหน้าดำคล้ำ
ม้าของหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางมาถึงเบื้องหน้า
เสียงหอบหายใจดังขึ้น ก่อนทั้งสองจะดึงบังเหียนหยุดม้า ม้ายกขาหน้าขึ้นมา คล้อยหลังพวกเขาก็กระโดดลงพื้น
“คุณหนูอวี้ เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?” หลี่จวิ้นถามอย่างกังวล มองพินิจนางทั้งตัว
เสิ่นฟางเดินเข้ามา เขาเผยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนูอวี้ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
อวี้ถังยกคิ้วขึ้น
หลี่จวิ้นรีบกล่าว “ข้าและพวกเสี่ยวหวั่นดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชา ได้ยินคนเอ่ยถึงคุณหนูอวี้ กล่าวว่าคุณหนูอวี้มีทรัพย์สินของสกุลมากมาย มีคนอยากแต่งเป็นเขยเข้าบ้านเจ้า ทราบมาว่าวันนี้เจ้าจะกลับมาเรือนเก่านอกเมือง จึงขอพวกเขาให้มาฉุดคุณหนูอวี้ แม้ว่าเขาจะไม่กล้ารับการจ้างวานนี้ กลับมีคนยอมเสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน…ข้าได้ฟังก็ร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง บังเอิญพบกับพี่เสิ่นที่มาหาเสี่ยวหวั่นจึงไล่ตามมากับพี่เสิ่น…” พูดมาถึงตรงนี้ เขาจึงค่อยทักทายกับเผยเยี่ยน “นายท่านเยี่ยน! ดูท่าแล้วท่านคงช่วยคุณหนูอวี้ไว้ ช่างโชคดีจริงๆ!”
เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นก็วิ่งไปด้านข้างคนขับรถม้าอย่างแค้นเคือง ถีบอันธพาลพวกนั้นไปหลายครั้งอย่างแรง กล่าวกับอวี้ถัง “คุณหนูอวี้ ยังดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ยามที่ข้ามาได้กำชับให้บ่าวถือป้ายชื่อพี่ใหญ่ไปแจ้งความที่ศาลาว่าการแล้ว อีกไม่นานเจ้าหน้าที่ก็คงตามมา”
ตั้งแต่เขากระโดดลงจากม้า อวี้ถังก็มองเขาแทบไม่ละสายตา ในใจกลับขบคิดอย่างว่องไว
นี่หลี่จวิ้นหมายความว่าอะไร?
ผู้ที่คิดจะบังคับฝืนใจไม่ใช่สกุลหลี่ของพวกเขาหรอกรึ?
เขาไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่?
แต่ดูท่าทีนี้ของเขา ก็ไม่เหมือนเสแสร้ง
โดยเฉพาะเสิ่นฟางก็มาด้วย
แม้นางและเสิ่นฟางจะเคยพบกันที่วัดเจาหมิงเพียงครั้งเดียว แต่เขาสามารถทำให้ฟู่เสี่ยวหวั่นเชื่อฟังเขาได้ ก็คงไม่ใช่คนที่จะถูกใครวางแผนได้ง่ายๆ หากสกุลหลี่อยากให้เขาเป็นพยาน กลับไม่ใช่เรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น
อวี้ถังขอบคุณหลี่จวิ้น กล่าวด้วยสีหน้าเช่นเคย “ยังดีที่คุณชายเสิ่นไปหาคุณชายฟู่พอดี ทั้งรีบร้อนตามมา แต่ว่าพวกเจ้าทั้งสองก็เสี่ยงอันตรายไปอยู่บ้าง ภายหลังหากพบเจอเรื่องเช่นนี้ก็ควรหาคนมาช่วยให้มากหน่อย”
เสิ่นฟางไม่ได้กล่าวอันใด มองอวี้ถังอย่างลุ่มลึก
หลี่จวิ้นกลับรีบกล่าว “เวลานั้นข้าก็รีบจนหัวหมุนไปหมด หากไม่ใช่ว่าพี่เสิ่นเตือนสติ คงจะลืมกระทั่งให้คนไปแจ้งทางการเช่นกัน”
อวี้ถังคารวะขอบคุณเสิ่นฟางอีกครั้ง
เสิ่นฟางกลับกล่าวอย่างแฝงความนัย “วันนี้ข้าบังเอิญจริงๆ มาอย่างกะทันหัน ไม่อย่างนั้นอาจวิ้นจะพูดว่าโชคดีจริงๆ ได้อย่างไร!”
เสิ่นฟางผู้นี้ก็เป็นคนมีความคิดละเอียดรอบคอบไม่น้อย
อวี้ถังพยักหน้าให้เขาทั้งรอยยิ้ม
เสิ่นฟางเผยรอยยิ้มเข้าใจออกมา
อวี้ถังกระตุกในใจ ในหัวปรากฏความคิดบ้าบิ่นขึ้นมา
ชาติก่อน หลังจากหลี่จวิ้นและนางหมั้นหมายกันได้ไม่นานเขาก็จากไปอย่างกะทันหัน
นางไม่รู้เรื่องของคนผู้นี้
หากหลี่จวิ้นและสกุลหลี่ไม่ใช่พวกเดียวกันล่ะ?
เรื่องราวทั้งหมดก็ล้วนอธิบายได้
สกุลหลี่คิดใช้แผนสกปรกบีบให้นางแต่งเข้าสกุล ไม่ได้รับการร่วมมือจากหลี่จวิ้นย่อมไม่ได้ ดังนั้นสกุลหลี่จึงวางแผนเล่นงานทั้งนางและหลี่จวิ้นด้วยกันทั้งคู่ เริ่มแรกให้อาเจ็ดเชื่อเขาว่าทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยนาง ทั้งตั้งใจให้หลี่จวิ้นทราบถึงสถานการณ์ของนาง วางแผนให้หลี่จวิ้นเข้ามาช่วยเหลือ
เพียงแค่สกุลหลี่ไม่ได้คาดคิดว่า จู่ๆ เผยเยี่ยนก็ผ่านมาทางนี้ ทั้งเสิ่นฟางจะพบกับหลี่จวิ้นอย่างไม่คาดฝัน
————————————————