แต่ว่า สิ่งที่เหนือความคาดหมายของอวี้ถังมากที่สุด ยังคงเป็นการพบเจอกับเผยเยี่ยน
ยามที่อยู่หังโจว เพราะเรื่องของแผนที่ อวี้เหวินจึงชักช้าอยู่หลายวัน รอจนยามที่จะไปขอบคุณเผยเยี่ยน เขาก็ไปไหวอันเสียแล้ว หลังจากกลับเมืองหลินอัน อวี้เหวินก็ไปจวนสกุลเผยอยู่หลายครั้ง แต่พวกผู้ดูแลของสกุลเผยล้วนกล่าวว่าเผยเยี่ยนยังไม่กลับมา
และครั้งล่าสุดที่อวี้เหวินไปจวนสกุลเผย ก็คือสองวันก่อน
เผยเยี่ยนนั้นยุ่งจริงๆ หรือว่าไม่อยากเจอบิดาของนางกันแน่?
อวี้ถังคิดว่าเป็นอย่างหลัง
กระนั้นไม่ว่าอย่างแรกหรืออย่างหลัง เผยเยี่ยนไม่ได้เจตนาจะคบค้าสมาคมกับสกุลพวกนางกลับเป็นเรื่องจริง
อย่าพูดว่าเผยเยี่ยนช่วยนางเลย แม้ว่าจะเป็นคนไม่รู้จัก นางก็ไม่อาจฝืนใจคนอื่นได้เช่นกัน
อวี้ถังขอบคุณเผยเยี่ยนอีกครั้ง ไม่ได้เอ่ยให้บิดาของนางไปขอบคุณด้วยตัวเองที่จวนสกุลเผยแต่อย่างใด
ไม่รู้เพราะเผยเยี่ยนคิดว่าการกระทำของอวี้ถังตรงกับที่เขาคิดพอดี หรือว่าเขาไม่ได้เก็บเรื่องที่ช่วยนางมาใส่ใจอยู่แล้ว เขาผงกศีรษะ ไม่ได้มากความ ส่งเสียงเรียกคนขับรถม้า ‘เจ้าเจิ้น’ “เจ้าส่งคนให้คุณหนูอวี้ พวกเราล่วงหน้าไปก่อนเถิด!”
เจ้าเจิ้นขานรับทันที กลับใช้มือสับอันธพาลพวกนั้นราวกับสับแตงหวานให้สลบกองอยู่กับพื้น เวลานี้จึงค่อยวิ่งเข้ามายิ้มให้อวี้ถัง “คุณหนูอวี้ ท่านวางใจเถิด ก่อนเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการจะมา คนพวกนี้ไม่อาจตื่นก่อนแน่นอน”
อวี้ถังแปลกใจอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนวางตัวเย็นชาทั้งเย่อหยิ่งต่อผู้คน นางคาดไม่ถึงว่าคนขับรถม้าที่ชื่อเจ้าเจิ้นก็ดี เด็กชายที่พยุงนางก็ดี ล้วนเป็นคนใจดีและอบอุ่นทั้งสิ้น
พวกเขาเป็นเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับท่าทีปกติของเผยเยี่ยนที่ปฏิบัติต่อพวกเขาโดยตรง
จะเห็นได้ว่าความเข้าใจของนางที่มีต่อเผยเยี่ยนบิดเบี้ยวไปอยู่บ้าง
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แต่อย่างน้อยเขาก็ใจกว้างมีเมตตากับคนรอบกาย
เดิมทีก็เจอกันโดยบังเอิญ อวี้ถังย่อมไม่อาจจะถ่วงเวลาเผยเยี่ยนอีก
นางกล่าวขอบคุณกับเจ้าเจิ้น “ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้าช่วยหยุดยั้งอันธพาลพวกนี้”
เจ้าเจิ้นโบกมือ กล่าวด้วยยิ้มขัดเขิน “ข้า ข้าก็เพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น หากท่านจะขอบคุณ ก็ขอบคุณนายท่านของพวกเราเถิด!” พูดจบ ก็รีบวิ่งไปที่ข้างรถม้า ดึงบังเหียน ก่อนจะเรียกเด็กคนนั้น “อาหมิง พวกเราไปเถิด”
เด็กที่ถูกเรียกว่า ‘อาหมิง’ ขานรับอย่างร่าเริง บอกลาอวี้ถัง ก่อนจะหมุนกายปีนขึ้นรถม้า นั่งอยู่ด้านหน้า
อวี้ถังอดยิ้มไม่ได้ โบกมือให้อาหมิง
อาหมิงยิ้มอย่างขัดเขิน
รถม้าของเผยเยี่ยนเคลื่อนไปแล้ว
หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางยืนส่งสายตามองเผยเยี่ยนจากไปอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อรถม้าไปไกลแล้ว ทั้งสองคนจึงค่อยชี้ไปยังพวกอันธพาลที่นอนระเกะระกะบนพื้น “คุณหนูอวี้วางแผนจะทำอย่างไร?”
อวี้ถังตั้งใจจะรั้งหลี่จวิ้นไว้ ได้ยินดังนั้นก็รีบคว้าโอกาส “คุณชายหลี่ คุณชายเสิ่น ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกเจ้าทั้งสอง แม้เจ้าเจิ้นจะกล่าวว่าเจ้าหน้าที่จะมาถึงก่อนที่คนพวกนี้จะตื่น แต่ยังคงต้องระมัดระวัง ข้าขอเสียมารยาทรั้งตัวคุณชายทั้งสองอยู่ที่นี่สักครู่ เจ้าหน้าที่พวกนั้นมา ก็สามารถช่วยเป็นพยานได้ เดี๋ยวข้าจะเรียกคนในหมู่บ้านให้เรียกผู้นำหมู่บ้านและพ่อของข้าเข้ามา เรื่องนี้ไม่อาจจะปล่อยไปเฉยๆ เช่นนี้ได้”
หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางล้วนคิดว่าสมควรเช่นกัน อวี้ถังรีบไปเคาะประตูของครอบครัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา นำเงินให้เขาจำนวนหนึ่ง ขอให้พวกเขาไปแจ้งข่าวที่เรือนเก่าสกุลอวี้ ทั้งยังกล่าว “อย่าให้พ่อข้าบอกเรื่องนี้กับท่านแม่และป้าสะใภ้ใหญ่ หาอาเจ็ดพบก็พาเขามาด้วย”
เมื่อครู่นางไม่เห็นอาเจ็ด ไม่รู้ว่าเขาวิ่งหนีไปแล้วหรือว่าคอยดักนางอยู่ทางอื่น
คนผู้นั้นเห็นพวกอันธพาลนอนกองที่พื้นก็ตกใจเสียยกใหญ่ คิดจะเข้ามาดูเรื่องสนุก แต่ก็จำได้ว่ารับเงินมาแล้ว จึงรีบกวาดสายตาแวบหนึ่ง ก่อนจะสับขาวิ่งไปทางเรือนเก่าสกุลอวี้
หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเอ่ยถึงเผยเยี่ยนขึ้นมา “นายท่านสามสกุลเผยดูภายนอกคล้ายเย็นชาและเย่อหยิ่ง คาดไม่ถึงว่ากลับเป็นคนที่ใจดีมีความเอื้อเฟื้อผู้หนึ่ง ถึงกับยื่นมือช่วยเหลือคุณหนูอวี้”
เสิ่นฟางกลอกตาไปที “ใครพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็คงยื่นมือช่วยเหลือกันทั้งนั้นกระมัง? ข้าไม่เห็นมองออกถึงความใจดีมีเมตตาของเขา!”
“เจ้าคงไม่รู้ ไม่กี่วันก่อนสกุลพวกเราเกิดเรื่อง” หลี่จวิ้นกล่าวแก้ต่าง “เรือส่งสินค้าลำหนึ่งของลูกพี่ลูกน้องข้าถูกหน่วยตรวจการไท่หูควบคุมเอาไว้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าส่งคนมาขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อ พ่อของข้าก็ไม่รู้จักคนของหน่วยตรวจการไท่หู แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ไร้ทางแก้ไข ก็ทำได้เพียงโอบกอดความหวังสุดท้าย ไปหาทางนายท่านสามสกุลเผย นายท่านสามไม่ได้ถามให้มากความ ก็นำป้ายชื่อให้พี่ใหญ่ข้าไปหาข้าหลวงของไท่หู เรื่องนี้จึงผ่านพ้นไปได้ นายท่านสามไม่เลวเลยจริงๆ”
เสิ่นฟางตกตะลึง “ลูกพี่ลูกน้องเจ้า? ลูกพี่ลูกน้องคนไหนของเจ้า?”
หลี่จวิ้นกล่าว “ลูกพี่ลูกน้องคนที่ทำการค้าอยู่ทางฝูเจี้ยน ลูกชายคนโตของลุงข้า เขาไม่เลวเลย ครั้งหน้าหากเขามาหลินอัน ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก”
เสิ่นฟางขานรับอย่างขอไปที ในสายตาของอวี้ถัง เสิ่นฟางไม่ได้มีจุดประสงค์อยากจะรู้จักลูกพี่ลูกน้องของหลี่จวิ้น แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่จวิ้นมองไม่ทะลุปรุโปร่ง ยังคงกล่าวอยู่ตรงนั้น “ลูกพี่ลูกน้องคนนี้อายุเท่ากับพี่ใหญ่ข้า กลับได้เป็นผู้ช่วยของลุงข้าแล้ว…”
อวี้ถังรู้ว่าคนที่เขาพูดถึงคือใคร
หลานชายฝั่งมารดาของคนสกุลหลิน ลูกชายภรรยาเอกคนโตของสกุลหลิน หลินเจวี๋ย
เขาเป็นคนที่มีฝีมือทำการค้า สกุลหลินตกไปอยู่ในมือเขาไม่กี่ปี ก็กลายเป็นพ่อค้ารายใหญ่อันดับต้นๆ ของฝูเจี้ยน สกุลหลี่ก็พึ่งพาเขา ริเริ่มทำการค้าทางทะเล มั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมา
ชาติก่อน เขาไปเยือนสกุลหลี่บ่อยครั้ง หลี่ตวนและเขาสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก มีครั้งหนึ่งหลี่ตวนคิดอกุศลกับนาง ก็เป็นหลินเจวี๋ยที่ช่วยเหลือ…
อวี้ถังจมดิ่งลึกในความทรงจำของอดีต ข้างหูกลับปรากฏเสียงดังวุ่นวายขึ้นมา
นางเงยหน้าก็เห็นบิดาและลุงใหญ่ ญาติผู้พี่พาชายหนุ่มอีกเจ็ดแปดคนวิ่งเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยว
อวี้ถังรีบเดินไปหา
อวี้เหวินคว้าแขนของอวี้ถังไว้ สำรวจนางด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ทั้งกล่าวถามอย่างร้อนใจไปพลาง “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่เป็นไร!” อวี้ถังรีบบอก “ท่านแม่ไม่รู้เรื่องนี้กระมัง?” ขณะที่นางพูด ก็ชะโงกดูพวกคนที่มา
ไม่เห็นอาเจ็ด
อวี้เหวินกล่าว “ข้าได้ยินคนมาแจ้งก็ตกใจไม่น้อย ไม่ทันได้หาอาเจ็ดเจ้าก็ไปพาคนมาพร้อมลุงใหญ่เจ้าเสียก่อน อาเจ็ดเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ไม่ใช่ว่าเขาอยู่กับเจ้าหรอกรึ?”
อวี้ถังกล่าว “เรื่องนี้อีกเดี๋ยวค่อยพูดเถิด คุณชายหลี่และคุณชายเสิ่นอยู่ที่นี่ คุณชายทั้งสองมีคุณธรรมสูงเทียมฟ้า ได้ยินว่าข้าเกิดเรื่องก็รีบตามมาทันที!”
อวี้เหวินไม่รีรอเดินเข้าไปขอบคุณทั้งสองคน
หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางค้อมตัวหลบ ไม่ยอมรับการคารวะจากอวี้เหวิน ต่างก็กล่าวด้วยหน้าแดงอยู่บ้าง “พวกเรามาถึงทีหลัง ผู้ที่ช่วยคุณหนูอวี้ไว้คือนายท่านสามสกุลเผยต่างหาก!”
คนที่ไปส่งข่าวก็ไม่รู้เรื่องว่าหลักๆ เกิดอะไรขึ้นเช่นกัน อวี้เหวินจู่ๆ ได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเผยเยี่ยนก็ตกใจขึ้นมา “นายท่านสาม?”
อวี้ถังกล่าว “เขามีธุระกลับไปก่อนแล้ว”
“เช่นนั้นรอพวกเรากลับเข้าเมืองแล้วก็ไปขอบคุณนายท่านสาม” ขณะที่อวี้เหวินกล่าว ก็ยังคงขอบคุณหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางอย่างจริงใจ “แม้จะกล่าวว่าคุณชายทั้งสองมาทีหลัง แต่ความคิดที่จะช่วยเหลือคนล้วนมีเหมือนกัน ทั้งสองคนอย่าได้ถ่อมตัวเลย อีกเดี๋ยวก็ไปดื่มน้ำดื่มสุราที่บ้านข้า ให้ข้าได้แสดงน้ำใจหน่อยเถิด”
หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางยังคงกล่าวถ่อมตัวอยู่ตรงนั้น ก่อนเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการจะเข้ามา
อย่างไรอวี้เหวินก็เป็นซิ่วไฉ มีชื่อเสียงด้านการเขียนบทประพันธ์ในเมืองหลินอันอยู่บ้าง เดิมทีก็เป็นที่คุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการ รวมกับมีหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเป็นพยาน เจ้าหน้าที่จึงจับพวกนั้นมัดไว้อย่างรวดเร็ว อวี้ป๋อยังแอบติดสินบนจำนวนหนึ่ง ขอให้เจ้าหน้าที่อย่าดึงเรื่องมาเกี่ยวข้องกับอวี้ถัง รอกลับเข้าเมืองทุกคนไปร่วมดื่มสุรากัน เจ้าหน้าที่ก็นับว่าทำเรื่องอย่างคล่องแคล่ว พาอันธพาลพวกนั้นกลับไปยังศาลาว่าการ
หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเห็นเช่นนั้นก็คิดจะกลับบ้าง “ได้ยินว่าพวกเสี่ยวหวั่นก็ร้อนใจเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือขี่ม้าไม่ชำนาญ ก็คงจะตามมาด้วยแล้ว พวกเราต้องกลับไปบอกกล่าวกับพวกเขาเสียหน่อย”
อวี้เหวินนึกขึ้นมาได้ว่าอีกสักพักพวกเขายังต้องไปสกุลเว่ย จึงครุ่นคิดว่าจะเปลี่ยนวันอื่นขอบคุณหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางดีหรือไม่ ทว่าอวี้ถังกลับกล่าว “ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นแล้ว อย่างไรเชิญทั้งสองคนรั้งตัวอยู่ ไปดื่มชาบ้านพวกเราเถิด ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดกับคุณชายหลี่”
หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางมองหน้ากัน ใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนทั้งสองจะตอบตกลง
คนทั้งหมดจึงเดินทางไปเรือนเก่าของสกุลอวี้
คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้เพียงว่ามีคนมาหาที่หน้าเรือน จึงไม่ได้สนใจเท่าใด
อวี้ถังเชิญหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางเข้ามานั่งในโถงรับแขก ทั้งเชิญปู่ห้าเข้ามา ก่อนจะเล่าเรื่องที่อาเจ็ดทำให้ทุกคนฟัง
ทุกคนต่างก็ตกใจจนพูดไม่ออก ปู่ห้ากระโดดโผลงขึ้นคนแรก กล่าวอย่างไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้! จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นคนซื่อตรงถึงขนาดนั้น จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? หลานสาว เจ้าฟังผิดหรือไม่?”
คนที่เด้งตัวขึ้นคนที่สองคือหลี่จวิ้น
ใบหน้าเขาแดงก่ำไปหมด “ไม่ เป็นไปไม่ได้! แม่ข้าจะทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงคนเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้ว่าเจ้าจะแต่งเข้าสกุลเรา พวกเราทั้งสองก็จะกลายเป็นศัตรู…แม่ของข้าไม่อาจทำเช่นนั้นกับข้าหรอก!”
แม้แต่อวี้เหวินก็คิดว่าเรื่องนี้ไร้สาระเกินไป “หรือว่าจะมีคนประสงค์ร้าย คิดโยนความผิดให้สกุลหลี่? เรื่องนี้ต้องตรวจสอบอย่างชัดเจน”
อวี้ป๋อรวบรวมสติกลับคืนมา “ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เรื่องเช่นนี้ไม่อาจพูดซี้ซั้วได้ หากมีคนตั้งใจขัดแข้งขัดขาจริงๆ ไม่ใช่จะกลายเป็นว่าพวกเราใส่ร้ายสกุลหลี่หรอกรึ”
มีเพียงอวี้หย่วนและเสิ่นฟางที่ไม่ปริปากกล่าว
อวี้หย่วนคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ด้านเสิ่นฟางมองหลี่จวิ้น ก่อนจะมองอวี้ถัง สุดท้ายแววตาก็จมดิ่งเล็กน้อย หยุดสายตาไว้ที่อวี้ถัง
“เป็นการเข้าใจผิดหรือไม่ รอหาตัวอาเจ็ดพบ ทางศาลาว่าการจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด เรื่องก็จะกระจ่างแล้ว” อวี้ถังกล่าวอย่างใจเย็น “เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยให้จบไปเช่นนี้ได้ มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่สอง ไม่ดึงตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมา จะป้องกันอย่างไรก็ล้วนมีวันพลาด กลัวว่ากระทั่งแค่นอนหลับก็คงจะหลับได้ไม่สนิท”
หลี่จวิ้นใบหน้าขึ้นสี ราวกับเลือดไหลก็มิปาน เขากล่าวอ้อมแอ้ม “คุณหนูอวี้ เจ้า เจ้าไม่เชื่อข้ารึ?”
อวี้ถังกล่าว “ข้าเชื่อหรือไม่เชื่อเจ้าไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเรื่องนี้ใครเป็นคนทำ วิธีการสกปรกต่ำช้าเกินไป เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน”
หลี่จวิ้นลุกขึ้นยืนทันที โมโหอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องอะไรได้ ทำปากอ้าๆ หุบๆ ไม่ได้กล่าวอะไร
เสิ่นฟางเห็นก็ยืนขึ้นเช่นกัน “เป็นดั่งที่คุณหนูอวี้ว่า เรื่องนี้ต้องมีหลักฐาน ยามนี้พวกเราพูดอะไรล้วนไร้ประโยชน์ ตอนบ่ายนายท่านอวี้ยังมีธุระ มิสู้พวกเราแยกย้ายกันไปก่อน รอตามหาอาเจ็ดผู้นั้นของพวกท่านพบ ทั้งทางศาลาว่าการมีข่าวคราว ค่อยมาคุยเรื่องนี้ก็ไม่สาย”
อวี้เหวินรู้สึกว่าหลี่จวิ้นและเสิ่นฟางมาช่วยอวี้ถัง สุดท้ายยังถูกอวี้ถังสงสัย เสียมารยาทเกินไป กล่าวอย่างละอายใจ “หากทำเช่นนั้น…”
“ท่านอา!” จู่ๆ อวี้หย่วนก็ลุกขึ้นตัดบทสนทนาของอวี้เหวิน “คุณชายหลี่และคุณชายเสิ่นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล หาอาเจ็ดให้พบก่อนเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”
หลี่จวิ้นฟังแล้วก็กล่าวคล้อยตามเสียงดัง “นายท่านอวี้ คุณชายอวี้กล่าวมีเหตุผล ข้าว่าอย่างไรหาอาเจ็ดของพวกท่านให้พบเร็วที่สุดเป็นเรื่องสำคัญกว่า”
———————————————-