“ใช่ ใช่” อวี้ป๋อละล่ำละลักเอ่ย คิดว่าอย่างไรจัดการเรื่องในเรือนของตัวเองก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า

เสิ่นฟางมองหลี่จวิ้นที่กล่าวอย่างหนักแน่นแต่กลับส่ายศีรษะ

เขากลัวจริงๆ ว่าหลี่จวิ้นพูดอะไรที่ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้

เขาคว้าแขนหลี่จวิ้นไว้ เอ่ยกับอวี้เหวินด้วยท่าทีจริงจัง “นายท่านอวี้ เรื่องเกี่ยวพันกับหลายสกุล ทั้งเกิดอย่างกะทันหัน ข้าว่าอาจวิ้นคงอยากจะกลับไปครุ่นคิดดีๆ พวกเราคงต้องขอตัวก่อน รอมีข่าวคราวอะไรแล้วค่อยว่ากันอีกที”

อวี้เหวินก็ไม่อาจรั้งหลี่จวิ้นไว้ ส่งทั้งสองคนออกจากประตูด้วยตัวเอง

อวี้หย่วนดึงอวี้ถังมาคุยด้านข้างทันที “เรื่องนี้จะเกี่ยวกับภาพนั้นหรือไม่?”

อวี้ถังตกใจในไหวพริบของอวี้หย่วน แต่ตอนบ่ายเขายังต้องไปดูตัว นางไม่อาจทำให้งานแต่งของอวี้หย่วนล่าช้าได้

“ไม่รู้!” นางเอ่ย “เรื่องเกิดขึ้นแล้ว จะคาดเดามากไปกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้รอคอยอย่างใจเย็น”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่รู้ว่าอาเจ็ดไปอยู่ที่ไหน?

อวี้หย่วนพยักหน้าอย่างใจลอยอยู่บ้าง

อวี้ถังทำได้เพียงให้กำลังใจเขา “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนพวกนั้นก็ทำไม่สำเร็จ ทั้งคนที่ส่งมาจับตัวข้าก็ถูกทรมานอยู่ในคุกแล้ว หลังจากพวกนั้นทราบข่าวย่อมต้องหงุดหงิดใจ อีกฝ่ายหงุดหงิด ก็นับว่าเป็นความสุขของพวกเรา พวกเราควรดีใจจึงจะถูก”

เพราะเหตุผลไร้สาระของอวี้ถัง อวี้หย่วนจึงหัวเราะขึ้นมา

อวี้ถังค่อยโล่งใจ “ท่านพี่ คนดีย่อมได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์ เจ้าดูสิ ข้าประสบกับเรื่องเช่นนี้กลับได้พบนายท่านสาม หลี่จวิ้นและเสิ่นฟางก็ตามเข้ามาช่วยเช่นกัน ท่านพี่ ลุงใหญ่ ทั้งท่านพ่อก็มาด้วยกันทั้งหมด ข้ารู้สึกว่าความโชคดีมักจะตามหลังข้ามาเสมอ”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ขณะที่อวี้หย่วนพูด ก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าคำพูดของอวี้ถังมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงมาก “ภายหลังเจ้าออกไปวิ่งโร่ข้างนอกน้อยๆ หน่อยเถิด ข้างนอกนั้นวุ่นวายเกินไปแล้ว”

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านรีบแต่งพี่สะใภ้กลับมาให้ข้า ข้ามีเพื่อน ย่อมไม่อาจออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยๆ แล้ว”

อวี้หย่วนหัวเราะ ดูเขินอายไม่น้อย

แม้ว่าจะมีคลื่นลมเช่นนี้ แต่เรื่องของสกุลเว่ยกลับไม่อาจเปลี่ยนวันได้ แม้จะยังหาอาเจ็ดไม่พบ พวกเขาก็จำเป็นต้องจากมา

อวี้เหวินกลัวว่าอวี้ถังจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ถามนางว่าอยากจะกลับเข้าเมืองก่อนหรือไม่

อวี้ถังเอ่ย “สกุลเว่ยรู้แล้วว่าข้าเดินทางมาด้วย ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ปรากฏตัว สกุลเว่ยถามขึ้นมา ท่านจะกล่าวว่าอย่างไร?”

อวี้เหวินยังคิดจะพูดอะไรอีก อวี้ถังจึงดันเขาออกจากประตูไป “ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ว่ามีพวกท่านปกป้องข้าอยู่รึ? ข้าไม่ใช่คนที่รับมือกับเรื่องราวอะไรไม่ได้เสียหน่อย” ขณะที่พูด นางก็เรียกคนสกุลเฉิน “ท่านแม่ พวกเราจะไปเมื่อใดกัน? สายมากแล้วนะเจ้าคะ”

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังกำลังพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน ได้ยินเสียงเรียก ทั้งสองคนก็เดินยิ้มร่าออกมา เห็นอวี้ถังอยู่ในสภาพทุลักทุเลจึงพากันตกใจ

อวี้ถังพูดเพียงว่าไปเก็บดอกไม้กับอาเจ็ด พลาดหกล้ม เพราะเหตุนี้อาเจ็ดได้รับบาดเจ็บ จึงไปหาหมอในเมือง

คนสกุลเฉินไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น แต่อวี้เหวินคอยพูดช่วยอวี้ถังอยู่ด้านข้าง คนสกุลเฉินยังคิดว่าอวี้ถังก่อเรื่องเหมือนตอนเด็ก และอวี้เหวินช่วยนางปกปิด ดึงนางมาอยู่ข้างๆ มองสำรวจทั้งตัวอย่างละเอียด พบว่านางไม่ได้บาดเจ็บ แต่ก่อนออกไปยังพกเสื้อผ้าไปเปลี่ยนด้วย จึงแสร้งปิดตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น คล้อยตามพวกเขาไป

อวี้ถังไปล้างหน้าล้างตาแต่งตัวอีกครั้ง คนทั้งหมดเดินทางไปยังสกุลเว่ย

ผู้ที่ออกมาต้อนรับพวกเขาคือสองสามีภรรยาสกุลเว่ย ลูกชายคนโตและภรรยา ได้ยินว่าลูกคนอื่นๆ ล้วนเดินทางไปส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่สกุลเดิมของนายหญิงเว่ย

อวี้ถังคิดว่านายหญิงเว่ยนั้นกลัวในเรือนมีคนเยอะเกินไป เสียงดังเซ็งแซ่ อาจจะดูไม่งาม

คนของสกุลอวี้ นอกจากคนสกุลหวังแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนเคยคบค้าสมาคมกับคนของสกุลเว่ยมาก่อน ทั้งยังมีความประทับใจที่ดีต่อกันไม่น้อย พบเจอกัน หลังจากแนะนำให้รู้จักกันแล้ว ย่อมคุ้นเคยขึ้นมา พูดคุยสนุกสนานครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงอวี้หย่วน บางทีอาจเป็นเพราะสถานะเปลี่ยนไป ก้มหน้าก้มตาอย่างขวยเขิน หดตัวอยู่หลังอวี้ป๋อ ไม่มีท่าทีหนักแน่นเป็นกันเองเฉกเช่นวันปกติ คล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง

คนสกุลหวังนั้นร้อนใจ ฉวยโอกาสยามที่คนของสกุลเว่ยไม่ได้สนใจ ฟาดมือที่หลังลูกชายไปที กระซิบกล่าว “เจ้ายืนตรงๆ หน่อย อย่ามาทำเสียเรื่องข้าในเวลาสำคัญเช่นนี้”

อวี้หย่วนยืดหลังตรง แต่ใบหน้านั้นแดงก่ำเป็นอย่างมาก

ดีที่นายหญิงเว่ยรู้สึกว่าเช่นนี้จึงนับว่าปกติ มองอวี้หย่วนรื่นหูรื่นตายิ่ง ต้อนรับให้ทุกคนนั่งลง ก่อนจะกำชับสาวใช้ “คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ก็มาเช่นกัน เจ้าให้คุณหนูเซียงเข้ามาพบปะหน่อยเถิด”

นี่จึงจะนับเป็นเหตุผลที่อวี้ถังอยู่ในยามนี้

อวี้ถังอดทำตาโตทอดมองออกไปไม่ได้

ไม่นานนัก สาวใช้ผู้นั้นก็พาหญิงสาวที่ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดเข้ามา นางรูปร่างสูงเพรียว ผมสีดำขลับทั้งศีรษะม้วนเป็นทรงก้นหอย ผิวสีน้ำผึ้ง คิ้วหนาตาโต สวมชุดต่วนหรูผ้าหังโฉวสีขาวบริสุทธิ์ ใส่ต่างหูไข่มุกขนาดประมาณเม็ดบัว ยามที่มองผู้คนแววตาเผยความสดใสจริงใจ รอยยิ้มร่าเริง ดูใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะไม่ได้หน้าตางดงามมาก แต่อวี้ถังกลับมีความรู้สึกดีกับนางขึ้นมา

คุณหนูเซียงเดินมาข้างหน้าทั้งรอยยิ้ม คำนับให้สกุลอวี้ทุกคน

อวี้ถังเห็นอวี้หย่วนชำเลืองมองคุณหนูเซียงแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีกเลย ก่อนจะมองคุณหนูเซียงที่เผยท่าทีสุภาพเรียบร้อยอีกครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ

ในเรือนของลุงใหญ่ ลุงใหญ่นั้นเคารพให้เกียรติป้าสะใภ้ใหญ่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าเรื่องอันใดก็บอกกล่าวป้าสะใภ้ใหญ่ก่อน ทั้งมักจะฟังความคิดเห็นจากป้าสะใภ้ใหญ่ ดูแล้วเหมือนว่าลุงใหญ่จะดูแลจัดการเรื่องในเรือน แท้จริงแล้วกลับเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ที่ที่ตัดสินใจชี้ขาด

หากญาติผู้พี่และคุณหนูเซียงแต่งงานกัน ไม่แน่ว่าการอยู่ร่วมกันของทั้งสองคนก็จะเหมือนกับลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่?

นี่เข้ากับคำโบราณที่ว่า ‘คนที่นิสัยเหมือนกัน ถึงจะอยู่ร่วมกันได้’

ยามที่อวี้ถังคำนับตอบคุณหนูเซียง จึงพบว่าคุณหนูเซียงยังสูงกว่านางอยู่บ้าง

ก็หมายความว่า คุณหนูเซียงและอวี้หย่วนสูงพอๆ กัน

ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นมารยาทไม่กี่คำ คุณหนูเซียงก็ขอตัวออกไป

การดูตัววันนี้นับว่าสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ

เรื่องต่อจากนี้ก็จะเป็นแม่สื่อที่ออกหน้า คอยถ่ายทอดคำพูดระหว่างสองสกุล

อวี้ถังกังวลอยู่บ้างว่าอวี้หย่วนจะไม่ชอบความสูงของคุณหนูเซียง ระหว่างทางกลับก็แอบถามอวี้หย่วน “ท่านได้เห็นหน้าคุณหนูเซียงชัดเจนหรือไม่? ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร?”

อวี้หย่วนเอ่ยทันที “เจ้าเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่ง จะรู้เรื่องราวมากไปทำไม?”

อวี้ถังเห็นอวี้หย่วนไม่คล้ายผิดหวังเสียใจ ก็อดเอ่ยไม่ได้ “นี่ไม่ใช่ว่าข้ากลัวป้าสะใภ้ใหญ่และท่านแม่ข้าจะยุ่งวุ่นวายเสียเปล่าหรอกรึ?” ทั้งเอ่ยว่า “ท่านพี่ไม่อยากบอกข้าก็แล้วไป อย่างไรรอยามที่ป้าสะใภ้ใหญ่และลุงใหญ่ถามท่าน ข้าค่อยไปถามก็ได้แล้ว”

“เหตุใดเจ้าจึงพูดมากเช่นนี้?” อวี้หย่วนเอ่ยอย่างไม่ค่อยชอบใจ อดกลั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกล่าว “งานแต่งของลูกสกุลไหนบ้างที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ ข้าเชื่อฟังพ่อแม่ก็เพียงพอแล้ว”

เชื่อฟังลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ นั่นก็หมายความว่ายินยอม!

เขายังจะพูดอ้อมค้อมเช่นนี้อีก

อวี้ถังลอบยิ้ม กลับไปถึงเรือนก็คล้ายกับเป็นหางของคนสกุลเฉินมิปาน คนสกุลเฉินไปที่ใดนางก็ไปที่นั่น

คนสกุลเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าจะทำอะไร?”

อวี้ถังหัวเราะ “ยามที่พวกท่านจะปรึกษาเรื่องงานแต่งของท่านพี่ ให้ข้าอยู่ฟังข้างๆ ด้วยนะเจ้าคะ!”

คนสกุลเฉินกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เจ้าว่าลูกคุณหนูกุลสตรีอย่างเจ้า ไฉนจึงชอบฟังเรื่องพวกนี้กัน?”

อวี้ถังกล่าวฉะฉานอย่างมีเหตุผล “นี่ไม่ใช่เรื่องคนอื่นเสียหน่อย พี่ชายข้า ข้าสนใจบ้างจะเป็นไรไป?”

คนสกุลเฉินเอ่ยยิ้มๆ “ได้ ได้ ได้ ข้าจะพาเจ้าไป หากข้าไม่พาเจ้าไป เจ้าก็คงหาวิธีแอบฟังหรือสืบข่าวอยู่ดี”

อวี้ถังยิ้มมุมปาก

อวี้เหวินเดินเข้ามา ส่งสายตาเป็นนัยให้อวี้ถังเป็นอันดับแรก คล้อยหลังก็เอ่ยกับคนสกุลเฉิน “ข้ามีธุระ จะออกไปข้างนอกเสียหน่อย เรื่องของอาหย่วน ข้าคิดว่าสกุลเราและสกุลเว่ยเห็นพ้องต้องกันก็เป็นอันเสร็จสรรพแล้ว ตอนเย็นข้าอาจจะกลับมาช้าหน่อย เจ้าก็อย่ารอข้าเลย”

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างกังวล “การพบปะวันนี้เกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญในชีวิตของอาหย่วน เจ้าไม่เข้าไปคงไม่ค่อยดีกระมัง? อีกเดี๋ยวท่านพี่ถามขึ้นมา ข้าจะตอบอย่างไร?”

อวี้เหวินกล่าว “เรื่องนี้ท่านพี่รู้แล้ว ข้าได้พูดกับเขาแล้ว พวกเจ้าแค่เข้าไปด้วยก็พอ ท่านพี่ไม่อาจถามอะไรหรอก”

อวี้ถังสงสัยว่าอวี้เหวินจะไปสืบข่าวที่ศาลาว่าการ

นางละล่ำละลักเอ่ย “ท่านพ่อ ข้าจะไปส่งท่านที่ประตู”

ศาลาว่าการอยู่กลางเมือง จากตรอกชิงจู๋ไป ทำได้เพียงเดินไปทางตะวันออก

นางอยากรู้ว่าอวี้เหวินไปทำอะไรในเวลาเย็นขนาดนี้?

อวี้เหวินก็ไม่ได้เตรียมจะปิดบังนาง ออกจากประตู ก็เอ่ยกับนาง “เจ้าอยู่ที่เรือนดีๆ รอข้ากลับมา” จากนั้นก็เดินไปทางตะวันออก

อวี้ถังและคนสกุลเฉินไปเรือนของลุงใหญ่

ลุงใหญ่ก็ไม่อยู่ที่เรือนเช่นกัน กล่าวว่ามีธุระที่ร้านค้า ป้าสะใภ้ใหญ่ยังพร่ำบ่น “เวลาไหนไม่ไป กลับมาไปในยามนี้ นี่ก็เย็นแล้ว หรือแค่คืนนี้คืนเดียวจะรอไม่ได้เชียว เขาไม่สนใจเรื่องของอาหย่วนเกินไปแล้ว ข้าถามเขาว่าเป็นเพราะเห็นหน้าค่าตาคุณหนูเซียงชัดๆ แล้วจึงไม่ชอบใช่หรือไม่ เขาก็กล่าวว่าชอบ ยังพูดว่า คุณหนูเซียงรูปร่างสูงเพรียว ไม่แน่ว่าหลังจากคลอดหลาน ก็จะสามารถสูงตามคุณหนูเซียงได้เช่นกัน”

อวี้ถังสงสัยว่าลุงใหญ่และพ่อของนางอาจจะไปศาลาว่าการด้วยกัน ปกติบิดาของนางยังคงถือตัวในฐานะซิ่วไฉอยู่บ้าง ยามที่คบค้าสมาคมกับผู้คนก็วางท่าอยู่เล็กน้อย แต่ลุงใหญ่กลับไม่เหมือนกัน ทำการค้าขาย หัวเราะก่อนคนอื่นพูด ทั้งสามารถโยนเรื่องตำแหน่งหน้าตาทิ้งไปได้ สถานที่เฉกเช่นศาลาว่าการ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นพวกนักเลงถ่อยที่ก่อปัญหามากที่สุด มีลุงใหญ่ของนางออกหน้า เรื่องราวย่อมง่ายขึ้นมาก

คนสกุลเฉินกลับไม่ได้คิดมาก ดึงมือคนสกุลหวัง “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าคุณหนูเซียงยอดเยี่ยมไม่น้อย วันนี้พอได้เห็นก็ยิ่งรู้สึกพอใจ แค่ไม่รู้ว่าอาหย่วนคิดอย่างไร ทั้งคุณหนูเซียงชื่นชอบอาหย่วนหรือไม่ อาหย่วนนั้นสูงแทบพอๆ กับคุณหนูเซียง”

คนสกุลหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ตั้งแต่ข้ากลับมาก็ถามอาหย่วนไปแล้ว เขาบอกว่าล้วนให้พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจ พ่อของเขากล่าวว่าคุณหนูเซียงตัวสูง เขาก็ยังดูยินดีปรีดา ยามนี้ต้องดูทางสกุลเว่ยแล้ว”

คนสกุลเฉินกล่าว “คำโบราณนั้นกล่าวได้ดี แต่งลูกสาวเงยหน้า รับลูกสะใภ้ก้มหัว[1] ในเมื่อทุกคนล้วนรู้สึกดี สกุลของพวกเราก็ควรจะเป็นฝ่ายรุกเสียหน่อย ไม่เพียงรีบเชิญแม่สื่อมาพูดเรื่องแต่งงาน ยังต้องพยายามทำเรื่องให้สำเร็จจึงจะดี…นายหญิงเว่ยยังมีอะไรไม่พอใจ พวกเราทำเรื่องจนสกุลพวกเขาพอใจก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ?”

คนสกุลหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับคิดเหมือนกับข้า หากงานแต่งครั้งนี้สำเร็จ คุณหนูอวี้อายุไม่น้อยแล้ว อาหย่วนของพวกเราก็ปล่อยให้ยืดเยื้อมานานอย่างนี้ ข้าอยากให้พวกเขาแต่งงานกันเร็วๆ ข้าว่าอาหย่วนอยู่ที่ห้องเซียงฝางนั้นไม่ได้แล้ว ต้องปรับปรุงแต่งเติมเสียหน่อย ยังมีสินสอดทองหมั้น เสื้อผ้าเครื่องประดับอะไรอีก ลำพังแค่ร้านค้ายังต้องเสียเงิน…นี่ไม่ใช่เวลาเลยจริงๆ”

คนสกุลเฉินกล่าวทั้งเผยยิ้ม “เจ้ากังวลอะไร พวกเราสองสกุลอยู่ด้วยกันยังกลัวอาหย่วนจะแต่งสะใภ้เข้าเรือนไม่ได้อีกรึ? แม้จะกล่าวว่าอาถังก็ถึงอายุที่จะแต่งงานแล้ว แต่ก็ต้องเรียงลำดับอาวุโสไป เรื่องของอาหย่วนมีเค้าลางมาแล้ว ย่อมต้องสนใจอาหย่วนก่อน เรื่องของอาถัง ถึงเวลานั้นค่อยพูดเถิด”

คนสกุลหวังรู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง เอ่ยทันที “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”

คนสกุลเฉินยากที่จะพูดอย่างเฉียบขาด “เรื่องนี้ก็ตัดสินใจแบบนี้แหละ แม้ฮุ่ยหลี่จะกลับมา ก็ย่อมเห็นด้วยกับข้าเช่นกัน”

คนสกุลหวังยังอยากจะกล่าวอะไรอีก อวี้ถังรู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่กังวลเรื่องนาง นางจึงจงใจทอดถอนหายใจกล่าวอยู่ด้านข้าง “นี่ข้าไปล่วงเกินใครมาถึงซวยอย่างนี้กัน? สินเดิมที่เตรียมไว้ให้ข้ากลับกลายเป็นสินสอดทองหมั้นของท่านพี่ไปเช่นนี้เสียแล้ว!”

คนสกุลเฉินได้ฟังก็ยิ้มขึ้นมา ก่นว่า “อะไร เจ้ายังกล้าออกความคิดเห็นอีกรึ?”

“ไม่ใช่เสียหน่อย” อวี้ถังรีบเอ่ย “ข้าเพียงมีคำขอร้องอยู่นิดหน่อยเท่านั้น…หลังจากท่านพี่แต่งงานแล้ว มีสะใภ้ก็อย่าลืมข้าที่เป็นน้องสาวเชียว ต้องปฏิบัติกับข้าเหมือนเช่นเคย”

คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังหัวเราะเสียงดัง คนสกุลหวังกอดนางไว้ “เจ้าวางใจ หากพี่เจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี ดูสิว่าข้าจะจัดการกับเขาอย่างไร”

อวี้ถังก็หัวเราะตามขึ้นมาเช่นกัน

———————–

[1]แต่งลูกสาวเงยหน้า รับลูกสะใภ้ก้มหัว อุปมาว่า ลูกสาวเมื่อแต่งงานออกไปก็เหมือนน้ำที่ถูกสาด แต่การรับสะใภ้เป็นการรับสมาชิกครอบครัวเพิ่มเข้ามา ย่อมได้เปรียบ ดังนั้นแม้ฝ่ายเจ้าสาวจะร้องขอความต้องการจากครอบครัวฝ่ายชาย ฝ่ายชายก็ควรทำตามคำขอของครอบครัวฝ่ายหญิง