บทที่ 54 ทางเลือก

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เรื่องที่คนสกุลหวังและคนสกุลเฉินกังวลไม่ได้เกิดขึ้น กลับเป็นสกุลเว่ยที่กลัวว่าสกุลอวี้จะไม่ชอบใจที่คุณหนูเซียงรูปร่างสูงเกินไป แม่สื่อมาถ่ายทอดคำพูด คนสกุลหวังและคนสกุลเฉินจึงค่อยวางใจลง ตั้งใจว่ารอหลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็จะไปเจรจาเรื่องงานแต่งกับสกุลเว่ยอย่างเป็นทางการ

อวี้เหวินกลับพูดเรื่องในใจกับอวี้ถังที่ห้องหนังสือ “พบตัวอาเจ็ดเจ้าแล้ว คาดว่าเขาคงจะรู้ว่าตัวเองทำผิด เตรียมที่จะหลบหนี แต่คนผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนเงอะงะ วิ่งหนีได้ไม่เกินสามลี้ก็ถูกคนของลุงใหญ่หาตัวพบ ลุงใหญ่เจ้าไปถามด้วยตัวเอง ผู้ที่ให้เขาทำเรื่องนี้ เป็นคนสกุลหลี่จริงๆ ส่วนเขาก็คิดว่าตัวเองกำลังช่วยเจ้าอยู่”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มขมขื่น “คนอย่างเขา เจ้าคงไม่เข้าใจเท่าใด แต่ว่าลุงใหญ่เจ้าพูดกับปู่ห้าแล้ว เขาไม่อาจอยู่ในหมู่บ้านได้อีก อย่างน้อยก็ไม่อาจรั้งอยู่ที่สกุลพวกเรา เขาเป็นบุตรบุญธรรมของปู่ห้า เขาออกจากสกุลอวี้ไป วัยชราของปู่ห้าเจ้าย่อมไร้ที่พึ่งพา แต่ว่าปู่ห้าเจ้าก็บอกแล้ว เดิมทีรับอาเจ็ดมาเลี้ยงก็เพราะอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขยามแก่เฒ่า วันนี้กลับกลายเป็นเช่นนี้ ไม่อาจมีความสุขยามชราได้แล้ว ยังมาถูกอาเจ็ดเจ้าทำให้เดือดร้อน เขาไม่ต้องการบุตรบุญธรรมคนนี้แล้ว วันนี้ก็ไปหาปู่เก้า คิดจะเปิดหอบรรพชนลบความเกี่ยวข้องกับลูกบุตรบุญธรรม ลุงใหญ่เจ้าคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี แอบให้เงินปู่ห้ายี่สิบตำลึง สัญญาว่าภายหลังจะช่วยดูแลเขายามแก่เฒ่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็ไม่กล้ายุ่งเรื่องของเจ้าอย่างส่งเดชอีกแล้ว”

อวี้ถังคิดว่าจัดการเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว

นางเอ่ย “ลำบากลุงใหญ่เสียแล้ว ยามงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ต้องขอบคุณเขาดีๆ สักหน่อยกระมัง!”

“สมควรอย่างยิ่ง!” อวี้เหวินเอ่ย “ลุงใหญ่เจ้าเทียวไปเทียวมาเพราะเจ้า เรื่องของอาหย่วน เจ้าก็ทำได้ดีเช่นกัน เรื่องในเรือนควรเป็นเช่นนี้แหละ พี่น้องดูแลกัน”

อวี้ถังพยักหน้าระรัว

ไม่มีคนสกุลเกา การใช้ชีวิตของญาติผู้พี่ก็คงราบรื่นแล้วกระมัง!

นางเอ่ยถึงเรื่องของศาลาว่าการ “ทางด้านอันธพาลพวกนั้นให้คำตอบหรือยัง?”

“ให้คำตอบแล้ว!” อวี้เหวินพูดถึงเรื่องนี้ก็มีโทสะอยู่บ้าง ขมวดคิ้วเอ่ย “คนพวกนั้นแค่เข้าประตูศาลาว่าการไป ทั้งยังไม่ทันได้ใช้ทัณฑ์ทรมานก็ปริปากออกมาทันที กล่าวว่าสกุลหลี่อยากแต่งเจ้าเข้าสกุล สกุลพวกเราไม่ตอบรับ สกุลหลี่จึงให้พวกเขาสร้างสถานการณ์ ไม่ได้วางแผนจะทำอะไรเจ้า เพียงแค่อยากข่มขู่ให้เจ้ากลัว จากนั้นก็ให้คุณชายรองสกุลหลี่ หลี่จวิ้นทำตัวเป็นวีรบุรุษมาช่วยสาวงาม กลายเป็นเรื่องราวหวานซึ้งฉากหนึ่ง ยามที่ท่านข้าหลวงทังบอกเรื่องนี้กับข้ายังแสดงเป็นนัยว่าคดีเช่นนี้เขาก็ไม่ง่ายที่จะตัดสินโทษสถานหนัก ทางสกุลหลี่ อย่างมากที่สุดก็ปรับเงินจำนวนหนึ่งชดใช้ให้สกุลพวกเรา เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปยังอาจจะทำลายชื่อเสียงของเจ้า เขานั้นหว่านล้อมข้าและสกุลหลี่อย่างลับๆ”

อวี้ถังรีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นหลี่จวิ้นไม่รู้เรื่องมาก่อนหรือเจ้าคะ?”

อวี้เหวินกล่าว “ฟังจากท่านข้าหลวงทัง หลี่จวิ้นนั้นไม่รู้มาก่อน” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “ท่านข้าหลวงทังแนะนำให้ข้ายอมรับงานแต่งครั้งนี้…”

“นั่นเป็นไปไม่ได้!” อวี้ถังกลัวบิดาจะเปลี่ยนความคิด ลนลานขึ้นมาทันที “แม้ว่าข้าต้องครองตัวไปชั่วชีวิต ก็ไม่อาจจะแต่งเข้าสกุลหลี่ของพวกเขา!”

“ข้ารู้ ข้ารู้” อวี้เหวินรีบยืนยันกับลูกสาว “ข้าไม่อาจกำหนดงานแต่งของเจ้าโดยที่ไม่บอกเจ้าก่อนได้หรอก ข้ากลัวว่าพวกเราและสกุลหลี่เผชิญหน้าเช่นนี้ต่อไป คนที่เสียเปรียบจะมีเพียงพวกเรา ต้องคิดวิธีจบเรื่องนี้จึงจะถูก”

อวี้ถังยิ้มเย็น นางตัดสินใจจะให้หลี่จวิ้นรู้เรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

หากหลี่จวิ้นเลือกร่วมมือกระทำความชั่วด้วยกัน นางจะหาวิธีให้สกุลหลี่ยั้งมือ หากหลี่จวิ้นเลือกสาบานไม่อยู่ร่วมกับอีกฝ่าย นางก็จะใช้อีกวิธีหนึ่งจัดการกับสกุลหลี่ และหากหลี่จวิ้นเลือกที่จะอยู่คนเดียว ไม่สนใจผู้อื่น วิธีของนางก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน

แต่นางคิดว่าแทบไม่มีความเป็นไปได้ที่หลี่จวิ้นจะเลือกสาบานไม่อยู่ร่วมกับอีกฝ่าย

ทั้งไม่ว่าจะอย่างไร นางล้วนตัดสินใจให้สกุลหลี่จ่ายค่าตอบแทนของเรื่องนี้ออกมา

อวี้ถังลอบวางแผนอยู่ในใจ ให้อาเสาส่งจดหมายไปให้หลี่จวิ้น เล่าเรื่องของอาเจ็ดและอันธพาลพวกนั้นให้เขาฟัง ทั้งยังฝากไปบอกเขาว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ สามารถไปถามท่านข้าหลวงทังได้”

หลี่จวิ้นไม่ได้ตอบกลับ

อวี้ถังไม่รีบร้อน

พรุ่งนี้ก็เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ต้องให้คนอื่นเขาฉลองเทศกาลอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากระมัง?

แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ในใจของนางยังคงหม่นหมอง ดีที่คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังต่างก็จมปลักอยู่กับเรื่องงานแต่งของอวี้หย่วน จึงไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของนาง ทุกคนพากันฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างคึกคักรื่นเริง

รอจนเทศกาลไหว้พระจันทร์ผ่านไป คนสกุลหวังที่อยากแสดงว่าตนให้ความสำคัญต่อคุณหนูเซียง ก็เสียเงินมากมายในการเชิญแม่สื่อ ด้านคนสกุลเฉินก็ตรวจดูทรัพย์สินอยู่ในเรือน ดูว่ามีอันไหนพอใช้ได้บ้าง อวี้ถังกลับถูกหม่าซิ่วเหนียงเชิญไปเป็นแขกที่เรือน

หม่าซิ่วเหนียงจะออกเรือนก่อนเทศกาลฉงหยาง มีของมากมายที่ต้องตระเตรียม อยากให้อวี้ถังช่วยนางดู

อวี้ถังโยนเรื่องของตัวเองทิ้งไว้อีกด้าน ตั้งใจช่วยหม่าซิ่วเหนียงจัดเตรียมข้าวของ

หลี่จวิ้นส่งคนมาหาที่เรือนหม่าซิ่วเหนียง กล่าวว่าอยากพบนางสักหน่อย

อวี้ถังคาดว่าเขาคงจะมีความเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน แต่นางต้องการดูท่าทีของหลี่จวิ้นที่มีต่อเรื่องนี้ จึงเอ่ยกับคนที่มา “คุณชายหลี่มีเรื่องอะไร ให้คนมาส่งจดหมายก็เพียงพอแล้ว พบหน้ากันคงไม่จำเป็น ข้ากลัวว่าข้าจะตกหลุมพรางอะไรอีก”

ผู้ที่มาอายุประมาณสิบห้าสิบหก ชาติก่อนอวี้ถังเคยพบเขามาก่อน เป็นผู้ดูแลบัญชีที่นาคนหนึ่งของสกุลหลี่ นางเคยได้ยินคนของสกุลหลี่กล่าวว่า เขาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายหลี่จวิ้นมาก่อน หลังจากหลี่จวิ้นตาย สกุลหลี่เห็นแก่เขาที่เคยรับใช้หลี่จวิ้น จึงให้ค่าตอบแทนเขาอย่างงาม

อวี้ถังลืมไปนานแล้วว่าคนผู้นี้ชื่ออะไร

มองเห็นคนผู้นี้ อวี้ถังจึงนึกขึ้นมาได้ หลี่จวิ้นนั้นตกม้าวันที่สองเดือนสิบ

ชาติก่อนกับชาตินี้มีความแตกต่างเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าภายหลังหลี่จวิ้นจะมีชะตาเป็นอย่างไร?

บ่าวรับใช้ของหลี่จวิ้นได้ยินก็มีท่าทีลำบากใจไม่น้อย คำนับนางอย่างเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งออกไป

หม่าซิ่วเหนียงไม่รู้เรื่องราวภายใน มองแล้วก็ถอนหายใจ “เจ้าว่าเจ้าไม่ชอบคุณชายรองสกุลหลี่เลยรึ เขาปฏิบัติต่อเจ้าดีไม่น้อย!”

อวี้ถังเผยยิ้ม เปลี่ยนไปคุยประเด็นอื่น

ระหว่างทางกลับเรือน นางก็พบหลี่จวิ้น

หลี่จวิ้นรอนางอยู่ที่ทางเข้าตรอกชิงจู๋

เห็นเกี้ยวของนาง เขาก็รีบวิ่งเข้ามา “คุณหนูอวี้ ข้ารู้ว่าสกุลข้าทำผิดต่อเจ้า เจ้าไม่อยากพบข้าก็สมควรแล้ว เช่นนั้นข้าจึงมาพบเจ้าแทน”

อวี้ถังเลิกม่านเกี้ยว “ข้าว่าคงไม่จำเป็น ก่อนหน้านี้ข้าและคุณชายก็ได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว”

“จำเป็น!” หลี่จวิ้นเอ่ย ขอบตาแดงไปหมด

เวลานี้อวี้ถังจึงพบว่าหลี่จวิ้นสวมชุดต้าวผาวเนื้อหยาบสีครามที่ยับยู่ยี่ ใส่ผ้าคาดเก็บผมอย่างลวกๆ มีสิวขึ้นที่หน้าผาก มุมปากมีคราบติดอยู่ ทั่วร่างไม่เพียงสกปรกซูบเซียวอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังดูจิตใจล่องลอย คล้ายมะเขือม่วงที่ถูกความหนาวเย็นจู่โจม ดูอ่อนล้าเหลือทน

อวี้ถังวูบไหวในใจ คิดว่าอย่างน้อยหลี่จวิ้นก็หลงเหลือความดีอยู่บ้าง ไม่เหมือนคนสกุลหลินผู้เป็นมารดาและหลี่ตวนพี่ชายที่ทำเรื่องเกินขอบเขตไปไกล ขอเพียงแค่ตัวเองมีความสุขก็เพียงพอแล้ว

นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะลงจากเกี้ยว

ท่าทีของหลี่จวิ้นผ่อนคลายลง ค้อมกายต่ำให้อวี้ถัง กล่าวอย่างจริงใจ “ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนคนในสกุลข้า เดิมทีข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องก็เกิดขึ้นเพราะข้า ข้าควรมาขอโทษเจ้าด้วยตัวเอง ข้ารับประกันกับเจ้า ภายหลังจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”

เขาพูดจบ สีหน้าก็ยิ่งหม่นหมอง แผ่นหลังนั้นราวกับจะยืดตรงขึ้นมาไม่ได้แล้ว

อวี้ถังไม่ได้เกลียดชังอะไรหลี่จวิ้น แต่ทนกับคนสกุลหลินกับหลี่ตวนที่สร้างบาปกรรมไม่ได้

ก็เหมือนกับสกุลอวี้พวกเขา ‘คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก’ แม้จะกล่าวว่าสกุลพวกเขาได้รับภาพนั้นมาโดยไม่ตั้งใจ แต่สกุลพวกเขาก็ทำได้เพียงหาวิธีปลีกตัวออกจากเรื่องนี้เช่นกัน

หลี่จวิ้นไม่ผิด หากจะโทษ ก็ทำได้เพียงโทษเขาที่ถูกคนในครอบครัวทำให้ติดร่างแหไปด้วย

อวี้ถังเอ่ยกับเขาอย่างจริงใจ “ข้าและคุณชายหลี่ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจอันใดต่อกัน สามารถรู้จักกันได้นับเป็นความบังเอิญของโชคชะตา เพียงแต่สกุลของพวกเจ้าทำเรื่องเกินไปหน่อย ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวอะไรกับเจ้าและสกุลพวกเจ้าแล้วจริงๆ อย่างไรหลังจากคุณชายกลับไปก็ขอให้บอกพ่อแม่เจ้าให้ชัดเจน ภายหลังอย่าได้สร้างปัญหาให้สกุลอวี้ของพวกเราอีก คนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่อาจรับมือกับสกุลพวกเจ้าได้อยู่แล้ว”

ตั้งแต่หลี่จวิ้นรู้ว่าเรื่องลักพาตัวอวี้ถังเป็นฝีมือของครอบครัวตัวเอง เขาก็รู้แล้วว่าชีวิตนี้คงจะไร้วาสนาต่ออวี้ถังแล้ว เขาไปหาคนสกุลหลินผู้เป็นมารดา คนสกุลหลินตอบอย่างตรงไปตรงมา ยังพูดอย่างฉะฉานว่านี่เป็นเพราะกำลังช่วยเขาอยู่ เวลานั้นเขาถึงกับนิ่งอึ้งไป เจ็บปวดจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เทศกาลไหว้พระจันทร์ล้วนผ่านไปอย่างสับสนมึนนงงเช่นนี้

ลำพังแค่พี่ชายเขายังโน้มน้าว กล่าวว่าเพราะหวังดีต่อเขา ให้เขาอย่าได้คิดมาก รอเพียงแต่งคุณหนูอวี้เข้าสกุลก็เพียงพอแล้ว

ชั่วพริบตา เขาก็สัมผัสถึงความโมโหของอวี้ถังขึ้นมาได้เช่นกัน…เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้เคราะห์ร้าย คนอื่นกลับไม่เห็นเป็นเรื่องอันใด ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิด

เวลานั้นเขาร้อนใจเป็นอย่างมาก แทบจะทนอยู่ในเรือนต่อไปไม่ไหว

แม้ว่าเขาไม่อาจให้ความกระจ่างแจ้งกับอวี้ถังได้ แต่อย่างไรก็ควรไปขอโทษกับอวี้ถังเสียหน่อยไม่ใช่รึ?

หลี่จวิ้นไม่ได้คิดมาก อาศัยยามที่เลือดร้อนพลุ่งพล่านมาหาอวี้ถัง

อวี้ถังไม่เหมารวมเขา ยอมรับความจริงอย่างมีเมตตา นี่ยิ่งทำให้ใจเขายากจะรับไว้

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในภายหลังได้ กลับกลายเป็นความผิดพลาด เปลี่ยนไปดั่งเช่นตอนนี้เสียแล้ว

หลี่จวิ้นเผยสีหน้าละอายใจ ยังคงเอ่ยว่า ‘ขอโทษ’ อย่างสุภาพ

อวี้ถังสั่นศีรษะ “ข้าไม่อาจให้อภัยสกุลของพวกเจ้า ภายหลังพวกเราก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน คุณชายหลี่รีบกลับเรือนเสียเถิด มารดาของเจ้าจะได้ไม่วางแผนอะไรออกมาอีก ครั้งนี้ข้าโชคดี มีนายท่านสามยื่นมือช่วยเหลือ หากยังมีครั้งต่อไป ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าข้าจะยังโชคดีเช่นนี้หรือไม่”

หลี่จวิ้นเดินก้มหน้าจากไปอย่างโศกเศร้า

อวี้ถังทอดมองแผ่นหลังเขา รู้สึกสงสารอยู่บ้าง

สกุลหลี่อาจมีเพียงหลี่จวิ้นที่ยังจิตใจดีเท่านั้น

นางหมุนกายเตรียมจะขึ้นเกี้ยว ใครจะรู้ว่าพอหันกลับไปจะพบกับเว่ยเสี่ยวชวนที่อยู่ใต้ต้นไม้ปากทางเข้าตรอก

“เสี่ยวชวน!” อวี้ถังเดินเข้าไปอย่างประหลาดใจ “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด? ไฉนไม่เข้าไปนั่งในเรือน?” ก่อนจะเห็นในมือเขาถือตะกร้าใส่ตำราเรียน “วันหยุดของเทศกาลสิ้นสุดแล้ว เจ้าจึงมาเรียนอย่างนั้นรึ?”

เว่ยเสี่ยวชวนขานรับ ‘อืม’ ก่อนกล่าว “ข้าได้ยินว่าลูกพี่ลูกน้องของข้ากำลังจะคุยเรื่องแต่งงานกับญาติผู้พี่ของเจ้า?”

“ใช่แล้ว” อวี้ถังไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา อดเอ่ยขึ้นมาอย่างระวังไม่ได้ “เจ้าไม่พอใจรึ?”

“ไม่ใช่!” เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ย “ลูกพี่ลูกน้องของข้านิสัยดี สกุลพวกเจ้าก็ดีไม่น้อย นางแต่งเข้าสกุลพวกเจ้าย่อมไม่ถูกครอบครัวพวกเจ้ารังเกียจ”

อวี้ถังชะงักไป

เว่ยเสี่ยวชวนเอ่ย “สกุลหลี่มีที่นาเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นาของตาข้ามาก ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ข้าไปส่งของขวัญให้ทางสกุลของท่านตา ข้าสืบเรื่องสกุลหลี่จากญาติผู้พี่มา เขากล่าวว่า ที่นาเล็กๆ แห่งนั้นของสกุลหลี่ คนที่ถูกจ้างล้วนเป็นผู้ลี้ภัยหนีมาจากที่อื่น แต่ละคนน่ากลัวดุร้าย เรือนข้างๆ ล้วนไม่กล้ายุ่งย่าม เขายังพูดว่า เมื่อก่อนยามที่สกุลหลี่แย่งคันนากับคนอื่น คนพวกนั้นก็วิ่งเข้าไป…”

————————-