ตอนที่ 44 เสนอความคิด

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลันประหลาดใจในส่วนที่ว่าหลี่หมิงอวินเหตุใดจึงกลับมาไวเสียขนาดนี้ ด้วยทักษะของเยี่ยซินเอ๋อร์อะไรจะช่างแย่ปานนั้น 

 

 

หลี่หมิงอวินเดินหน้าบึ้งตึงไปยังด้านหลังของฉากบังลม แล้วถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นก่อนจะออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยสีหน้าที่ยังคงบึ้งตึงเช่นเดิม เขาหยิบเอาหนังสือมาหนึ่งเล่มและหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมตัวยาว โดยระหว่างนั้นแม้แต่หางตาของเขาก็ไม่เหลือบมองมายังหลินหลันเลยแม้แต่น้อย 

 

 

หลินหลันตวัดสายตาแรงใส่เข้าไปสองหนและบ่นพึมพำ เจ้าจะโกรธอะไรรึ โกรธที่เปี่ยวเหม่ยทุ่มเทไม่พอหรือไงกัน 

 

 

ทางด้านนอก แม่โจวพากุ้ยซ่าวผ่านมาและเห็นหยินหลิ่วกับอวี้หลงยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตู 

 

 

“เหตุใดพวกเจ้าสองคนจึงไม่เข้าไปคอยให้การปรนนิบัติ มายืนอยู่ตรงนี้ทำไมกัน” แม่โจวเอ่ยตำหนิ 

 

 

หยินหลิ่วบ่นพึมพำ “เป็นเส้าเหยียที่…ให้พวกเราออกมา” 

 

 

แม่โจวมองดูทั้งสองคนอย่างอ่อนใจแล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอบรม “พวกเจ้าสามารถนับได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนโดยเหล่าฟูเหรินเป็นการส่วนตัว ทว่าแม้กระทั่งควรปรนนิบัติรับใช้เจ้านายอย่างไรก็ทำกันไม่ได้เสียแล้วหรือ ไม่เห็นหรือไรว่าเสื้อผ้าของเส้าเหยียเปียกปอนไปหมด ไม่รู้เลยหรือว่าจนถึงตอนนี้ทั้งเส้าเหยียและเส้าฟูเหรินต่างยังไม่ได้รับประทานมื้อเช้า ในฐานะข้ารับใช้ ที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะไปแก้ปัญหากังวลใจแทนผู้เป็นนายได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้เป็นนายให้ได้ มิใช่ว่าอะไรๆ ก็ต้องรอให้ผู้เป็นนายสั่งการแล้วเจ้าจึงคิดที่จะไปทำ” 

 

 

ทั้งสองคนก้มหน้าด้วยความละอายแก่ใจ ขณะเดียวกันก็แอบครุ่นคิดเป็นการส่วนตัว เมื่อครู่เพียงแค่เป็นกังวลว่าเส้าเหยียกับเส้าฟูเหรินจะทะเลาะกันหรือไม่ จนลืมเรื่องสำคัญเช่นนั้นไปเสียสนิท 

 

 

“แล้วใยยังไม่รีบไปห้องครัวให้ใครชงชาขิงมาให้อีก” แม่โจวเมื่อเห็นทั้งสองคนดูมีท่าทีละอายแก่ใจขึ้นมา น้ำเสียงของนางจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย 

 

 

‘ก่อก ก่อก ก่อก’ เสียงเคาะประตูจากใครคนหนึ่ง 

 

 

หลี่หมิงอวินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินโดยจับจ้องสายตาลงไปที่หนังสือเท่านั้น หลินหลันเองก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอยู่สักประเดี๋ยว และขณะที่กำลังคิดว่าจะเอ่ยปากถามออกไปว่ามีเรื่องอะไร บานประตูห้องก็เปิดเข้ามาเสียแล้ว เป็นแม่โจวที่เข้ามาพร้อมกับกุ้ยซ่าวและถือถาดเคลือบสีแดงแกะสลักลายใบบัวอยู่ในมือ 

 

 

ทันทีที่แม่โจวเข้ามาภายในห้องก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นปกติ ทั้งสองคนต่างกำลังปั้นหน้าบึ้งตึง ขณะนั้นเองภายในใจของนางจึงรู้สึกไม่พอใจในตัวหลินหลันเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกนั้นออกมาบนสีหน้า โดยแสร้งทำเป็นเสมือนไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม “เส้าเหยียและเส้าฟูเหรินยุ่งวุ่นวายกันตั้งแต่เช้า คงจะยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้าเลยสินะเจ้าคะ! ข้าจึงให้กุ้ยซ่าวทำโจ๊กข้าวบาร์เลย์และทำเครื่องเคียงอย่างผักกาดดอง กระเทียมบด และดอกไม้จีน ซึ่งล้วนเป็นอาหารช่วยลดความชื้นในร่างกาย เส้าเหยียและเส้าฟูเหรินรีบกินเข้าไปเสียหน่อยนะเจ้าคะ” 

 

 

กุ้ยซ่าวจัดวางโจ๊ก เครื่องเคียง รวมถึงถ้วยชามและตะเกียบอย่างคล่องแคล่วว่องไว 

 

 

แม่โจวมีความแตกต่างจากหญิงรับใช้ทั่วไป นางเป็นหญิงชราที่สามารถพูดคุยต่อหน้าเหล่าฟูเหรินได้ทุกเรื่อง หลินหลันจึงขยับเขยื้อนเป็นคนแรกอย่างรู้งาน แล้วกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม “เหตุใดแม่โจวถึงได้มาส่งอาหารด้วยตนเองเช่นนี้ เรียกอวี้หลงหยินหลิ่วให้มาจัดการก็ได้นี่นา” 

 

 

แม่โจวเผยรอยยิ้ม ขณะที่ในใจกำลังพูดว่า หากข้าไม่มา เส้าเหยียตระกูลข้าไม่ถูกทำให้โมโหจนคลั่งตายก็คงต้องทนหิวและป่วยในที่สุด ช่างสมกับที่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ถึงได้ไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยเส้าเหยียเสียบ้าง 

 

 

ขณะนี้เยี่ยซินเอ๋อร์อยู่ภายในห้องของตนเองโดยกำลังใช้กรรไกรตัดผ้าเช็ดหน้าขาดออกเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ขณะเดียวกันนั้นหยาดน้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย นางเพียงแต่อยากที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดเสื้อผ้าให้ชายหนุ่มลูกพี่ลูกน้องก็เท่านั้นเอง ทว่าเขากลับแสดงสีหน้าราวกับว่ากำลังจะถูกโดนเชื้อโรคจึงถอยหนีห่างออกไป ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นคือแม่โจวผู้นั้น เป็นก็เพียงแค่คนรับใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น นังป้าชรา ถือว่าตนเองเป็นที่คนโปรดของท่านยา จึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตาบ้างเลย เรื่องการพูดการจาต่างๆ นานาเหล่านี้มีหรือที่เหล่าข้ารับใช้ทั่วไปจะทำกัน กล้าดีอย่างไรจึงได้ปฏิบัติต่อเสี่ยวเจี่ยะรองเยี่ยงนี้…เปี่ยวเหม่ยจะเป็นห่วงเป็นใยเปี่ยวเกอแล้วยังไงหรือ ไม่ได้หรือไรกัน นังป้าชรา ช่างทำกับนางราวกับว่าเป็นคนใช้… 

 

 

หลังได้ตัดผ้าเช็ดหน้าจนขาดลุ่ยไปแล้ว เยี่ยซินเอ๋อร์ก็ยังไม่รู้สึกผ่อนคลายความโกรธลงได้ จึงหยิบเอาถุงหอมออกมาตัดอีก 

 

 

“เสี่ยวเจี่ย อย่าตัดอีกเลยนะเจ้าคะ นี่เป็นสิ่งที่ท่านใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะปักออกมาได้แต่ละลาย…” หลิงอวิ้นรีบคว้ากรรไกรมาไว้ ที่แสดงเป็นเสียดายถุงหอมนั้นเป็นเพียงแค่ขออ้างเท่านั้น ด้วยความจริงแล้วนางแค่เกรงว่าคุณหนูของตนอาจจะได้รับบาดเจ็บเข้าที่มือจนได้ 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์เอี้ยวตัวหนี พลางเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงร้องไห้ “เจ้าไม่ต้องสนใจข้า สิ่งของของข้าในเมื่อข้าอยากจะตัดก็จะตัด” 

 

 

“เสี่ยวเจี่ยะ หากท่านรู้สึกเป็นทุกข์อยู่ในใจจะทุบตีข้าน้อยสักสองสามครั้งเพื่อระบายความโกรธก็ได้ แต่อย่าได้เก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้กับตนเองเลย กรรไกรนั้นมีความคมยิ่งนัก หากไม่ทันระวังอาจจะทำให้มือได้รับบาดเจ็บเข้าได้นะเจ้าคะ” หลิงอวิ้นพยายามสุดกำลังในการโน้มน้าวและกระชากถุงหอมนั้นกลับคืนมา 

 

 

เมื่อหลิงอวิ้นเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีนัก จึงควรรีบออกไปตามหาแม่ติงให้ไวที่สุด 

 

 

“เจ้าไม่ต้องสนใจข้า ปล่อยให้ข้าได้ตัดมันซะ” หลิงอวิ้นยิ่งเกลี้ยกล่อมมากเท่าใด เย่ซินเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและนางก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่ถุงหอมถูกแย่งคืนไป นางก็เริ่มดึงเสื้อผ้าออกมาเพื่อตัดอย่างไม่ไยดี 

 

 

แม่ติงรีบมาในทันทีที่ได้ยินข่าวคราว เมื่อเห็นปัญหาภายในห้องซึ่งไม่มีท่าทีจะสงบลงง่ายๆ จึงรีบก้าวเข้าไปเบื้องหน้าและช่วยคว้ากรรไกรกลับคืนมา พลางส่งเสียงพูดขึ้นไปซ้ำๆ “เสี่ยวเจี่ยะคนดีของข้า ท่านเป็นอะไรไปอีกหรือ หลิงอวิ้นยังไม่รีบนำกรรไกรออกไปอีก” 

 

 

หลิงอวิ้นรับกรรไกรเอามาแล้วรีบนำเอาไปแอบซ่อนอย่างดี 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์เมื่อเห็นแม่นม ความเสียใจเล่านั้นก็ไม่อาจสกัดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไปและปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา มีเพียงเสียสะอึกสะอื้นและหยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ช่างดูสะเทือนใจและน่าสงสารเป็นยิ่งนัก 

 

 

แม่ติงได้ทราบเรื่องราวคร่าวๆ มาก่อนหน้าบ้างแล้วจากปากของหลิงอวิ้น ความนึกคิดของเสี่ยวเจี่ยะรองเป็นเช่นไรนั้นนางเองก็ไม่อาจรู้ได้ ก็จริงอยู่ที่ว่าเส้าเหยียซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางช่างเป็นผู้มีความสามารถเพียบพร้อมเสียเช่นนั้น แล้วจะมีหรือที่บรรดาหญิงสาวจะไม่พากันหลงใหลได้ปลื้ม แต่ทว่าการที่สาวงามแต่งกับชายหนุ่มขี้ริ้วขี้เหร่ หรือการที่หนุ่มรูปหล่อเคียงคู่กับภรรยาหญิงสาวชาวบ้านเช่นนี้ แล้วจะไม่ทำให้ใครต่อใครรู้สึกอึดอัดใจได้อยู่อีกหรือ 

 

 

“พวกเจ้าออกไปเฝ้าดูข้างนอกเอาไว้ เดี๋ยวข้าโน้มน้าวคุณหนูเอง” แม่ติงจัดการส่งหลิงอวิ้นและหลิงหยินออกไปด้านนอก แล้วจึงเริ่มกล่าวโน้มน้าว “เสี่ยวเจี่ยะ อย่าร้องให้อีกเลยนะเจ้าคะ สุขภาพจิตเสียสุขภาพร่างกายก็เสียด้วย อีกทั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์เช็ดหยาดน้ำตา และกล่าวด้วยเสียงอื้ออึงในจมูกและสะอึกสะอื้น “ข้าน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรือ” 

 

 

“เสี่ยวเจี่ยะพูดอะไรออกมาเจ้าคะ เสี่ยวเจี่ยะเป็นถึงคุณหนูรองแห่งตระกูลเยี่ย เป็นบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของท่านพ่อท่านแม่ เป็นแก้วตาดวงใจของท่านตาท่านยาย ใครหน้าไหนจะกล้ารังเกียจเสี่ยวเจี่ยะหรือ” แม่ติงกล่าวอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะชะงักไปชั่วครูแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “หากหมายถึงเปี่ยวเส้าเหยีย เดิมทีเขาก็เป็นผู้ที่มีลักษณะเย็นชาอยู่แล้ว และก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่กับเสี่ยวเจี่ยะเสียหน่อยเจ้าค่ะ” 

 

 

“ไม่ใช่ว่าเป็นแต่กับข้างั้นหรือ เมื่อเขาพบเจอข้าก็ดูเหมือนว่าคอยแต่จะหลีกเลี่ยง เขาไม่ได้เป็นเช่นนี้เมื่อตอนยังเยาว์วัย และสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อหลินหลันก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ด้วย” เยี่ยซินเอ๋อร์กล่าวด้วยความคับแค้นใจ 

 

 

แม่ติงได้แต่แอบถอดถอนหายใจ ที่เปี่ยวเส้าเหยียทำเช่นนั้นก็มิใช่ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการที่ผู้อื่นจะพากันสงสัยหรอกรึ… 

 

 

“เสี่ยวเจี่ยะ ฟังคำแนะนำของแม่นมสักหน่อยนะเจ้าคะ เรื่องบางเรื่องควรต้องปล่อยวางก็ปล่อยวางเสียเถิด! ท่านทรมารตนเองอยู่เช่นนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไรหรือ” แม่ติงพยายามเกลี้ยกล่อม 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างดื้อดึง ภายใต้หยาดน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกซึ่งไม่อาจเต็มใจยอมรับได้ “ข้าปล่อยวางไม่ได้” 

 

 

แม่ติงเห็นท่าทีของนางเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก นิสัยของเสี่ยวเจี่ยะนางเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งใดๆ ก็ตามที่อยากได้ก็เป็นต้องเอามาครอบครองให้ได้ ไม่ว่าจะพูดโน้มน้าวให้ตายอย่างไรก็ไม่เป็นผลอยู่ดี แม่ติงครุ่นคิดไปชั่วขณะ และสีหน้าแห่งการตัดสินใจเด็ดขาดก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาที่กำลังฉายความโหดเหี้ยมออกมาอย่างเด่นชัด “ในเมื่อปล่อยวางไม่ได้ เช่นนั้นก็สู้ต่อไปเจ้าค่ะ เพียงแต่…ต้องไม่ใช่การสู้ด้วยวิธีเช่นนี้” 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายขึ้นจนเห็นได้อย่างชัดเจน และจ้องมองไปที่แม่ติงอย่างกระตือรือร้น 

 

 

“เสี่ยวเจี่ยะท่านรองคิดดูนะเจ้าคะ เส้าฟูเหรินผู้หญิงเช่นนั้น หากเปี่ยวเส้าเหยียรักใคร่นางด้วยใจจริงแล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะพานางมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงเช่นนี้ ในตอนนี้ทั้งดวงใจของเปี่ยวเส้าเหยียยกให้เส้าฟูเหรินแต่เพียงผู้เดียว ต่อให้เสี่ยวเจี่ยะทำดีต่อเขาเพียงใดก็ไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวได้หรอกเจ้าค่ะ มีแต่จะยิ่งทำให้รู้สึกรำคาญใจเปล่าๆ ” 

 

 

“เช่นนั้น…จะต้องทำอย่างไรล่ะ?” เยี่ยซินเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน ไร้ซึ่งความคิดเห็นใดๆ 

 

 

แม่ติงยกมุมปากแสยะยิ้มเย็นชา “แม้ว่าเหล่าไทเหย่และเหล่าฟูเหรินจะเห็นชอบต่อเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องได้รับการยอมรับจากท่านลุงเขยสามในเมืองหลวงนั้นด้วย หากท่านลุงเขยสามไม่เห็นด้วยอย่างหัวเด็ดตีนขาด ท่านคิดว่า เปี่ยวเส้าเหยียจะยอมกลายเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าลูกอักกตัญญูเพียงเพื่อนางหรอกหรือ และเป็นไปได้หรือที่เขาจะยอมสละทิ้งอนาคตที่ดีๆ ได้ลงคอ” 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์นิ่งเงียบ ถ้าหากลูกพี่ลูกน้องของนางทำเช่นนั้นเพื่อหลินหลันขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เขาเป็นคนที่มากด้วยความสามารถยิ่งนัก แต่เมื่อต้องถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอักกตัญญู อนาคตภายภาคหน้าก็คงไม่อาจรับประกันอะไรได้อีกแล้ว 

 

 

“แต่ว่า…ท่านตาท่านยายล้วนก็เห็นดีเห็นงามไปแล้ว แล้วทางด้านท่านลุงเขยสามนั้น…” เยี่ยซินเอ๋อร์กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวล 

 

 

“นี่ก็เป็นอีกปัญหา เนื่องจากท่านลุงเขยสามละอายแก่ใจในการกระทำผิดต่อตระกูลเยี่ย เขาจึงไม่สามารถที่จะไม่คำนึงถึงความต้องการของเหล่าไทเหย่และเหล่าฟูเหรินได้ แต่จะเป็นอย่างไรหากหลินหลันไม่เพียงแค่มาจากภูมิหลังที่ต่ำต้อย แต่ยังมีพฤติกรรมที่เลวร้ายอีกด้วย” นัยน์ตาของแม่ติงเผยให้เห็นถึงความเย็นชาออกมาชั่วขณะ 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ครุ่นคิดในคำพูดของแม่ติง และสีหน้าอารมณ์ก็แปรเปลี่ยนไป “พฤติกรรมที่เลวร้ายงั้นหรือ แล้วจะเริ่มจากตรงไหนล่ะ” 

 

 

หลินหลันแม้ว่าจะดูน่าเกลียด นั่นเป็นเพราะนางยืนอยู่ข้างกายของเปี่ยวเกอ และแบกรับสถานะภรรยาของท่านชายน้อยเอาไว้ หากจะให้พูดว่านางมีพฤติกรรมที่เลวร้ายอย่างใหญ่หลวง ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนจริงๆ 

 

 

แม่ติงแสยะยิ้มเย็นชา “มีคำกล่าวที่เรียกว่าปั้นน้ำเป็นตัว และยังมีคำกล่าวที่ว่าเสียงปากของคนจำนวนมากที่พูดไปพูดมาย่อมสามารถทำให้ผิดกลายเป็นถูก ถูกกลายเป็นผิดได้ ในเมื่อนางไม่มี พวกเราก็หาวิธีทำให้นางมีขึ้นมาสิเจ้าคะ ตราบใดที่ทำให้เผยแพร่กระจายออกไปในเมืองหลวงนั่นได้ ใครจะไปมีเวลาว่างขนาดที่จะไปตรวจสอบว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริงเรื่องใดเป็นเรื่องเท็จ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านลุงเขยสามเพื่อรักษาไว้ซึ่งหน้าตาชื่อเสียงแห่งตระกูลหลี่ก็จะไม่ยอมรับหลินหลันเข้ามาเป็นอันแน่นอน” 

 

 

คิ้วและดวงตาของเยี่ยซินเอ๋อร์ค่อยๆ ผ่อนคลายลง “จริงด้วย พวกเราจะต้องคิดว่าวิธีหยุดยั้งเรื่องนี้ให้ได้ เพื่ออนาคตของเปี่ยวเกอ จะให้นางมาทำลายเปี่ยวเกอไม่ได้เป็นอันขาด” 

 

 

สีหน้าท่าทีของแม่ติงก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน แต่ยังคงไว้ซึ่งความเคร่งขรึม “ดังนั้น เสี่ยวเจี่ยะเพียงแค่ทำใจให้สบายขณะอยู่บนเรือนี่ ไม่ต้องเปลืองแรงไปคิดเรื่องไร้สาระพวกนั้นอีก เป็นหญิงเป็นนาง ต้องรักษาชื่อเสียงเอาไว้ให้ดี หากถูกนำไปนินทาว่าร้ายแม้เพียงเล็กน้อย จะเป็นการไม่ดีต่อตัวเสี่ยวเจี่ยะเอง เรื่องเช่นนี้ ต้องค่อยเป็นค่อยไปเจ้าค่ะ” 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์พยักหน้าอย่างช้าๆ แล้วนึกย้อนกลับไปถึงตนเองในหลายวันมานี้ พยายามคิดค้นหาทุกวิถีทาง จนความคิดและจิตใจต่างยุ่งเหยิงไปหมด