ตอนที่ 20 ขอบคุณนะ ซูฉิง

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น

ซูฉิงโค้งคำนับและพูดว่า “ขอโทษนะคะ ฉันขอออกไปข้างนอกสักครู่นะคะ”
“เธอจะไปไหน?” ฮ่อหยุนเฉิงถามพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เดี๋ยวก็จะทานอาหารกันแล้วนะ”
ซูฉิงมีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องทำอย่างนั้นหรือ ทำไมถึงต้องไปตอนนี้?
“ฉันมีเรื่องด่วน” ซูฉิงลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ประตู
เธอโทรหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงและถามว่า “หมอจาง สวัสดีคะ ฉันชื่อซูฉิง ลูกหมาที่ฉันส่งไปครั้งล่าสุดเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
เสียงของหมอจางดังมาจากปลายสาย “ตอนนี้มันหายดีแล้ว”
ซูฉิงพยักหน้า “งั้นฉันจะไปรับมันเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ในภาพเมื่อสักครู่นี้ ซูฉิงเห็นว่าสุนัขที่คุณปู่ฮ่อถืออยู่นั้นคล้ายกับสุนัขจรจัดที่เธอเคยช่วยชีวิตไว้ก่อนหน้านี้มาก กุญแจสำคัญคือปลอกคอที่คอของมันซึ่งเหมือนกันทุกประการ
ดังนั้น ซูฉิงจึงจะแน่ใจว่าสุนัขจรจัดที่เธอเคยช่วยเหลือมาก่อนคือสุนัขที่คุณปู่ฮ่อทำหาย
เมื่อได้ยินฮ่อหยุนเฉิงกล่าวว่าคุณปู่ฮ่อมีความผูกพันกับสุนัขตัวนี้มาก เธอจึงตัดสินใจไปรับสุนัขตัวนั้นกลับมาและมอบให้คุณปู่ฮ่อทันที
เมื่อเห็นซูฉิงจากไปอย่างกะทันหัน แม่ฮ่อก็ไม่พอใจอย่างมาก “ซูฉิงกำลังทำบ้านอะไรกัน? ไม่มีมารยาทเอาซะเลย”
สวีหว่านเอ๋อร์เห็นด้วย “นั่นสิคะ หรือต้องให้ทุกคนรอเธอกลับมาก่อนถึงจะทานข้าวได้?”
ฮ่อหยุนเฉิงเหลือบมองไปที่คุณปู่ฮ่อ และกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจนมาก “บริษัทกำลังมีเรื่องด่วน ซูฉิงไปจัดการกับมันสักครู่ครับ”
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นซูฉิงถึงได้รีบออกไปอย่างนั้น แต่โดยไม่รู้ตัวฮ่อหยุนเฉิงก็ไม่ต้องการให้คนอื่นนินทาเธอได้ โดยเฉพาะแม่ของเขา
“มีเรื่องด่วนอะไรกัน สำคัญกว่าคุณปู่อย่างนั้นเหรอ?” แม่ฮ่อขึ้นเสียงเล็กน้อย “พวกบ้านนอก ก็คือ พวกบ้านนอก หยาบคาย ไม่มีมารยาท หว่านเอ๋อร์ผู้รอบรู้ดีย่อมดีกว่า และเหมาะสมกว่าเป้นไหนๆ”
เมื่อเห็นแม่ฮ่อชมเชยเธอ สวีหว่านเอ๋อร์ก็ดูภูมิใจและแสร้งทำเป็นเขิลอาย “คุณป้า คุณพูดเกินไปแล้วค่ะ”
ใบหน้าของคุณปู่ฮ่อดูมืดมนลง “ฉิงฉิงได้รับข่าวจากทางบริษัทแล้วเธอก็รีบออกไปแบบนี้ มีความรับผิดชอบมาก ดีมาก”
ผู้เฒ่าฮ่อเปิดปากของเขา และแม่ฮ่อก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป แต่ความเกลียดชังของสวีหว่านเอ๋อร์ในใจเธอยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
สวีหว่านเอ๋อร์กัดริมฝีปากของเธออย่างลับๆ ในใจเต็มไปด้วยความหึงหวงและไม่พอใจ
เหตุใดคุณปู่ฮ่อจึงให้ความสำคัญกับซูฉิงซึ่งเป็นแค่คนบ้านนอก?
ในแง่ของภูมิหลัง ในแง่ของรูปลักษณ์ มีอะไรที่เธอสู้ไม่ได้กับซูฉิงอย่างนั้นหรือ?
ทำไมเธอถึงไม่อยู่ในสายตาของคุณปู่ฮ่อ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สวีหว่านเอ๋อร์ก็ปกปิดความรู้สึกของเธอและแสร้งทำเป็นกังวล “แต่ซูฉิงควรบอกนะคะว่าเธอจะกลับมาเมื่อใด มิฉะนั้นเราทุกคนก็ต้องรอเธออยู่แค่คนเดียว โดยเฉพาะคุณปู่ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง คงจะหิวมากแล้ว”
“พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ ไม่ต้องรอเธอหรอก” ฮ่อหยุนเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากบางๆของเขาแสดงความไม่แยแสเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นจุดประสงค์ที่แม่ฮ่อพาสวีหว่านเอ๋อร์มาที่นี่ในวันนี้
แม้ว่าเขากับซูฉิงจะเป็นแค่คู่หมั่นตามสัญญา แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม ลึกๆ แล้วเขาถึงไม่อยากให้ใครใส่ร้ายซูฉิง
“เหล่าหลี่ ตั้งโต๊ะเถอะ” คุณปู่ฮ่อกล่าว
“ครับ” ลุงหลี่กล่าวด้วยความเคารพ และสั่งให้คนครัวนำอาหารมา
“คุณปู่ฮ่อ คุณกินน่องไก่เพื่อเติมพลังให้ร่างกายหน่อยนะคะ”สวีหว่านเอ๋อร์เอาใจปู่ฮ่ออย่างขยันขันแข็ง…
ผู้เฒ่าฮ่อตอบอืมเบา ๆ แต่ไม่ได้กินขาไก่ที่สวีหว่านเอ๋อร์ตักให้แต่อย่างใด
สวีหว่านเอ๋อร์รู้สึกอึดอัด และหันไปมองฮ่อหยุนเฉิง
วันนี้ ฮ่อหยุนเฉิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทลายสก๊อตสีน้ำเงินของเขาหลวมเล็กน้อย และแขนเสื้อของเขาถูกม้วนขึ้น เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่พิถีพิถันของเขาก่อนหน้านี้ เขาดูสบายๆ กว่าทุกครั้งมาก
มือใหญ่เรียวกำลังจับกุ้งแกะเปลือกอยู่ในขณะนี้
ช่างดูสง่างาม หรูหรา และสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
แม้จะเป็นเพียงการกระทำธรรมดาๆ ก็ยังมีความครอบงำ เผยให้เห็นพฤติการณ์ของกษัตริย์
ดวงตาของสวีหว่านเอ๋อร์ดูหมกมุ่นอยู่เล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้ที่เธอรักมาหลายปีแล้ว ทำไมเขาถึงไม่มองเธอแม้แต่น้อยล่ะ?
สวีหว่านเอ๋อร์แกะกุ้งอย่างรวดเร็วแล้วใส่ลงในชามของฮ่อหยุนเฉิงอย่างอ่อนโยน “หยุนเฉิง ลองกินที่ฉันแกะให้คุณสิ”
ฮ่อหยุนเฉิงขยับชามไปด้านข้างด้วยท่าทางไม่แยแส “ไม่เป็นไร ฉันไม่ชินกับการกินของที่คนอื่นแกะให้”
ในเวลานี้กุ้งตกลงไปที่โต๊ะแล้วกลิ้งลงกับพื้น
สวีหว่านเอ๋อร์ตกตะลึงมาก เธอเป็นถึงคุณหนูของตระกูลสวี และเธอก็ยอมช่วยฮ่อหยุนเฉิงแกกุ้งด้วยความยากลำบาก
แต่กลับถูกเขารังเกียจ
เธอรู้สึกเสียใจอย่างมาก “หยุนเฉิง นี่ฉันอุตส่าห์แกะให้นายนะ”
“นั่นสิ หยุนเฉิง หว่านเอ๋อร์ตั้งใจมากเลยนะ ” แม่ฮ่อช่วยเธอพูด
ฮั่วหยุนเฉิงเม้มริมฝีปากด้วยความเฉยเมยเล็กน้อยขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หางตาของเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยและสวยงาม
ฮ่อหยุนเฉิงเริ่มยิ้มเล็กน้อยและเขาก็เลิกคิ้วขึ้น “ซูฉิง”
หลังจากการจ้องมองของฮ่อหยุนเฉิง สวีหว่านเอ๋อร์ก็เห็นว่าซูฉิงวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับลูกสุนัขสีขาวในอ้อมแขนของเธอและอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องว่า “ซูฉิง เธอเอาสุนัขมาทำอะไรที่นี่? พวกเรากำลังกินข้าวกันอยู่นะ!”
ก่อนที่ซูฉิงจะพูดอะไร สุนัขที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอก็พยายามกระโดดลงมา
“แกดูรีบร้อนนะ” ซูฉิงยิ้ม ก้มลงแล้วปล่อยสุนัขลง มันวิ่งไปข้างหน้า และกระโดดขึ้นไปบนตักของคุณปู่ฮ่อ และมันก็อ้อนเขาอย่างน่ารัก
“โตลี่!” ดวงตาของคุณปู่ฮ่อเป็นประกายขึ้นทันที มือที่รู้สึกตื่นเต้นของเขาสั่นเล็กน้อย และเขามองดูสุนัขที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “โตลี่ เป็นแกจริงๆ!”
“โฮ่งโฮ่งโฮ่ง!” โตลี่เห่าเสียงดังราวกับตอบสนองต่อคุณปู่ฮ่อ
“แกกลับมาแล้วก็ดี” คุณปู่ฮ่อลูบหัวโตลี่ด้วยท่าทางที่มีน้ำตาคลอ
โตลี่ที่หายไปนานมาก ในที่สุดก็กลับบ้านแล้ว!
“ซูฉิง เธอไปเจอโตลี่ที่ไหนงั้นเหรอ?” ดวงตาที่ดูสงสัยของฮ่อหยุนเฉิงจ้องไปที่ซูฉิง
ที่แท้ ที่เธอรีบออกไป ก็เพราะไปหาโตลี่เองงั้นเหรอ
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฉิงเห็นรูปถ่ายของโตลี่ เธอหามันเจอเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?
มีคำถามมากมายในใจของเขา
ในตอนนี้ซูฉิงวิ่งไปกลับไปจนหมดแรงและหายใจไม่ออก
เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งแล้วยกริมฝีปากขึ้น “นายจำวันที่ฉันมาสายเมื่อสองสามวันก่อนและเกือบโดนเซี่ยซิงซิงไล่ออกได้ไหม?”
ฮ่อหยุนเฉิงพยักหน้า
ครั้งนั้น ซูฉิงขอลาและบอกว่ามีบางอย่างต้องจัดการ ต่อมาเซี่ยซิงซิงก็ไปที่ห้องของประธานและยืนยันว่าจะต้องไล่ซูฉิงออกให้ได้ ต่อมาก็เป็นเขาที่ออกหน้าสั่งให้เซี่ยซิงซิงขอโทษซูฉิง
“เช้าวันนั้น รถของไป๋เซียวเซียวเกือบชนโตลี่ และฉันก็เสียเวลาเอาโตลี่ไปส่งไปที่โรงพยาบาลสัตว์” ซูฉิงอธิบาย
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
เพียงแค่ว่าวันนั้นซูฉิงไม่รู้ว่าโตลี่คือสนัขที่หายไปจากคุณปู่ฮ่อ
ดังนั้นเธอจึงเลื่อนงานของเธอออกไปเพื่อช่วยลูกสุนัขจรจัด และถูกคนอื่นเข้าใจผิดถึงกับทำให้วุ่นวาย
ความเมตตาเช่นนี้ มีค่ามากจริงๆ
ฮ่อหยุนฉิงมองไปที่ซูฉิงด้วยดวงตาที่ลึกซึ้งและกล่าวอย่างจริงใจว่า ” ขอบคุณนะ ซูฉิง”