บทที่ 29 ฉือจิ้ว พี่ดีต่อเจ้าเสมอ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

เขาเหลือบมองญาติผู้น้อง ฝ่ายหลังสีหน้าเรียบเฉย

“ผู้อาวุโสทั้งสองมีเมตตา หนิงเยี่ยนเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้าฝึกฝนวิทยายุทธ ในวัยเด็กแม้จะเคยเรียนหนังสือ แต่เวลานี้ได้ละเลยการเรียนมานานแล้ว” สวี่ชีอันไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์จึงไม่กล้าตอบรับ

“ไม่เป็นไร การศึกษาหาความรู้เป็นเรื่องที่ทำได้ตลอดชีวิต ถึงอย่างไรก็ไม่มีคำว่าสายเกินไป” หลี่มู่ไป๋หัวเราะพร้อมกับลูบเคราแพะ

เมตตาข้ามากขนาดนี้เลยหรือ…สวี่ชีอันรู้สึกตกใจ

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ มองดูญาติผู้น้องอีกครั้งหนึ่ง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จริงดั่งท่านกล่าว การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ข้าน้อยมีพรสวรรค์ในการเรียนจริงๆ ขอบคุณท่านทั้งสองที่ชื่นชอบข้า หากข้าไปอยู่ที่สำนัก จะต้องเป็นผู้มาทีหลังที่ก้าวล้ำหน้าผู้อื่น เก่งกว่าฉือจิ้วอย่างแน่นอน”

เมื่อสวี่ฉือจิ้วได้ยินดังนั้นก็ทำเสียง ‘ฮึ’ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนงว่า “อาจารย์และท่านมู่ไป๋ชื่นชอบบทกวีของเจ้าต่างหาก เช่นบทกวี ‘ศาลาเหมียนหยางส่งหยางกงสู่ชิงโจว’ ”

พูดจบ ใบหน้าของสวี่เอ้อร์หลางก็บึ้งตึง ไม่กล้ามองหน้าอาจารย์และหลี่มู่ไป๋ จึงก้มหน้าเล็กน้อย

ศาลาเหมียนหยางส่งหยางกงสู่ชิงโจว…หยางกง…ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…สวี่ชีอันทำเป็นเล่นตัวบวกนิสัยปากร้ายของเขา เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว

เกิดความคิดหาคำตอบอีกครั้งก็เข้าใจเจตจำนงของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง

นี่เป็นทางลัดที่จะได้บันทึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ พิจารณาจากเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อวางหลุนก็รู้แล้ว สหายคนนี้ประจบเอาใจหลี่มู่ไป๋จนเป็นที่พึงพอใจแล้วก็มีชื่อเสียงสถิตชั่วนิรันดร์ได้อย่างง่ายดาย แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน

จากจุดนี้จะเห็นได้ว่า การประจบเอาใจก็นับเป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ในสมัยโบราณการพินอบพิเทา ประจบเอาใจสหาย ก็ทำให้มีชื่อเสียงสถิตชั่วนิรันดร์ แต่ปัจจุบันพินอบพิเทา เอาอกเอาใจผู้หญิงจนสิ้นเนื้อประดาตัว ชื่นชมสมัยโบราณและดูแคลนปัจจุบัน ไม่ถือว่าไม่เป็นธรรม

เส้นทางราชการในสำนักอวิ๋นลู่นั้นลำบากยากเข็ญอย่างไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ ไม่สามารถเป็นขุนนางชั้นสูง ย่อมไม่ได้รับการบันทึกลงในหนังสือประวัติศาสตร์ นี่เป็นเวลาแสดงบทบาทนักกวีของสวี่ชีอันแล้ว

ชายชราสกปรกร้ายกาจมาก…สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เพราะเขารับศิษย์ไม่ใช่เพราะชื่นชอบหน้าตาอันหล่อเหลาและท่าทางองอาจของเขา แต่รับเพราะอยากได้บทกวีของเขา

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่าทางป่าเถื่อน รอยยิ้มยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

สวี่ชีอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ขอบพระคุณท่านทั้งสองที่ให้เกียรติ หนิงเยี่ยนเป็นผู้ใฝ่รู้จึงไม่อาจปฏิเสธได้ หลายวันมานี้มีลางสังหรณ์จึงได้แต่งบทกวีดีๆ ไว้หลายบท ข้าขอจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมอาจารย์ทั้งสอง”

‘อาจารย์ทั้งสอง…’ ญาติผู้พี่ของสวี่ฉือจิ้วกลับฉลาดหลักแหลมกว่าตัวเขา…หลี่มู่ไป๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

หากยืนกรานที่จะแย่งชิงศิษย์กับจางเซิ่น อีกฝ่ายนั้นมีสัมพันธ์กับสวี่ฉือจิ้ว โอกาสที่จะชนะของตัวเองนั้นมีไม่มากจริงๆ

คำพูดนี้สวี่ชีอันพูดได้อย่างสวยงาม

“เมื่อเป็นเช่นนี้เราสองคนจะรอเจ้าอยู่ที่สำนักอวิ๋นลู่” หลังจากที่จางเซิ่นพูดจบ เขาก็จ้องมองสวี่ซินเหนียน

“ฉือจิ้วเอ๋ย การฝึกฝนให้ยึดมั่นในคุณธรรมต้องอบรมบ่มนิสัยก่อน เจ้าได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถฝึกฝนตนเองได้…อืม กลับไปคัดคติพจน์และถอดคำพูดของยอดนักปราชญ์สามร้อยจบ อีกสิบวันนำมามอบให้ข้า”

สวี่ซินเหนียนเหมือนถูกฟ้าผ่า

ชายชราเดินจากไปอย่างรวดเร็ว จางเซิ่นหันหลัง เดินออกไป และหายไปในทันที

หลี่มู่ไป๋จงใจอวดฝีมือ ใช้ปลายเท้าวาดวงกลมรอบตัว แล้วมองไปทางสวี่ชีอัน พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ภายในเวลาอันรวดเร็ว ข้าจะหายไปจากที่นี่ ไปอยู่ที่ประตูเมือง”

พูดจบ ร่างของเขาก็หายไปในทันที

สวี่ชีอันเบิกตากว้าง!

“ฉือจิ้ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านนี้อยู่ในระดับใด”

สวี่ซินเหนียนยังไม่หลุดพ้นจากความสิ้นหวังเรื่องคติพจน์ของยอดนักปราชญ์สามร้อยจบ อารองจึงพูดว่า “ได้ยินเหนียนเอ้อร์พูดว่าเป็นระดับห้าศีลธรรม ขั้นศีลธรรมและความประพฤติของสำนักขงจื๊อ”

เขาแบ่งปันเรื่องที่เขาเห็นที่นอกเมืองกับหลานชายอย่างกระตือรือร้น

ขอแค่ข้าคุยโวให้มากพอ ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้เช่นนั้นหรือ สวี่ชีอันตกใจอีกครั้ง

สวี่ซินเหนียนถอนใจแรง เหลือบมองต้าหลางอย่างสำนึกผิดแล้วพูดด้วยอารมณ์ไม่ดีว่า “ขั้นศีลธรรมและความประพฤติสามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้คน และใช้คำพูดบงการผู้อื่นได้เช่นนั้นหรือ”

“ความสามารถของระดับนี้คือการควบคุมขั้นต้น คือสั่งแล้วต้องปฏิบัติทันที สามารถบิดเบือนกฎต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ใช้หนังสือเป็นบ่อนทำลายกฎหมาย’ ”

“แน่นอนว่าวิธีการของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองไม่ใช่ขั้นศีลธรรมและความประพฤติทั่วไปจะสามารถทำได้”

ทหารสองคนฟังอย่างตั้งใจ อารองพูดด้วยความเสียดายว่า “ระบบใหญ่ทุกระบบล้วนมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มีเพียงทหารเท่านั้นที่องอาจน่าเกรงขาม”

‘ดังนั้นจึงหยาบคาย’ …สวี่ซินเหนียนซึ่งเป็นศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้หยิ่งทะนงพิจารณาแล้วว่าคนหยาบคายทั้งสองล้วนสูงส่งกว่าตัวเอง มีเหตุผลเพียงพอที่จะใช้พฤติกรรมหรือวาจาที่หยาบคาย แต่ไม่ได้พูดออกมา

จากนั้น เขาก็พบว่าญาติผู้พี่ของเขากำลังมองเขาด้วยแววตาสุกใส

“เอ้อร์หลาง…”

“หืม”

“ปกติพี่ดีต่อเจ้าเสมอ”

“ก่อนที่พี่ใหญ่จะพูดเช่นนี้ โปรดพิจารณาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวท่านก่อน”

“พี่มีเรื่องจะขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง”

“…พูดมา”

“ในอนาคต เมื่อเจ้าบรรลุถึงขั้นศีลธรรมและความประพฤติแล้ว ข้าต้องการคำสัญญาจากเจ้าข้อหนึ่ง”

“…พูดมา”

“เจ้าต้องพูดกับข้าว่า ‘เตียวฉาน[1]ของท่านพี่อยู่ที่ไหน อ้อ เตียวฉานของพี่อยู่ที่เอว!’ ”

“เจ้าช่างต่ำช้านัก!” สวี่เอ้อร์หลางสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

สวี่ผิงจื้อได้ยินคำพูดของหลานชายก็เริ่มครุ่นคิด

สวี่ชีอันจะไปสำนักโหราจารย์ สวี่ผิงจื้อและลูกชายไปที่ที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ ก่อนออกเดินทางอารองได้สั่งให้ลูกสาวของเขารอที่ในห้องรับรองของที่ว่าการอำเภอ

มาหอดูดาวครั้งแรก เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมืองนี้ สวี่ชีอันทำเสียง ‘จุ๊ๆ’ มองดูด้วยความสนใจ

“เคยมาหอดูดาวมาก่อนหรือไม่” ซ่งชิงถาม

“นี่เป็นครั้งแรก”

“แต่ท่าทางของเจ้าดูไม่ประหลาดใจเลย” ซ่งชิงเห็นคำว่า ‘ไม่มีอะไรแปลก’ สี่คำได้จากแววตาเขา

แต่ทุกคนที่เห็นหอดูดาวเป็นครั้งแรก ต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ ฐานรากของมันสูงเป็นสองเท่าของบ้านทั่วไป เสาหนากว่าเสามังกรในวังหลายเท่า และอิฐของมันสูงกว่าคนเสียอีก… กำลังคน วัสดุ และกำลังทรัพย์เท่ากับหนึ่งในสามของเงินภาษีประจำปีของราชวงศ์ต้าฟ่ง และสิ่งที่ทำให้คนของสำนักโหราจารย์ภาคภูมิใจก็คือ หอดูดาวนั้นสูงที่สุดในโลก และเป็นเรื่องยากที่จะมีใครในโลกที่จะสามารถสร้างหอที่สูงกว่านี้ได้ นักเล่นแร่แปรธาตุของสำนักโหราจารย์ออกแบบร่วมกับกรมโยธา สร้างขึ้นโดยใช้เวลาถึงสิบสองปี และเป็นหนึ่งเดียวในโลก

เป็นเพราะข้าเห็นตึกสูงๆ จนชินแล้ว…สวี่ชีอันยิ้มแล้วพูดว่า “อารองของข้ามักจะพูดว่า ข้าเป็นคนสงบเงียบมาตั้งแต่ยังเด็ก ต่อให้ภูเขาถล่มตรงหน้า หน้าของข้าก็ไม่เปลี่ยนสี บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มา”

ดวงตาของซ่งชิงเป็นประกาย พูดด้วยความดีใจว่า “มีเพียงความสงบเช่นนี้เท่านั้นจึงคู่ควรที่จะทำงานกับข้า”

สวี่ชีอันมองรอยคล้ำที่ใต้ตาของอีกฝ่าย รู้สึกว่าตัวเองอาจจะพูดอะไรผิดไป

ได้พบกับฉู่ไฉ่เวยที่เคยพบกันครั้งหนึ่งบนชั้นเจ็ดของหอดูดาว นางสวมชุดกระโปรงสีเหลือง นั่งอยู่ที่โต๊ะที่มีของกินวางเรียงรายอยู่มากมาย

แกะนึ่ง อุ้งเท้าหมีนึ่ง หางกวางนึ่ง เป็ดย่าง ไก่ย่าง ห่านย่าง…ในสมองของสวี่ชีอันปรากฏความคิดบางอย่างขึ้น

“เหตุใดเจ้าจึงก่อเรื่องอีกแล้ว” ฉู่ไฉ่เวยเหลือบมองมือปราบที่เคยพบกันครั้งหนึ่ง แก้มตุ่ย ทักทายด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้อยู่ที่หอดูดาวหรือ” สวี่ชีอันได้รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจากซ่งชิง

“ไปเรียกเอาเงินทองจากองค์หญิงใหญ่” ฉู่ไฉ่เวยกล่าว

สวี่ชีอันกำลังหิวพอดีจึงนั่งที่โต๊ะเหมือนคุ้นเคยกันมานาน พร้อมเอื้อมมือไปหยิบน่องไก่

‘เพียะ’ …

มือเล็กๆ ของฉู่ไฉ่เวยตีมือของเขา ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “ไม่ได้กินข้าวมาหรือ”

“อ่า”

“พี่ซ่งท่านพาเขากลับไปเถิด กินอิ่มแล้วค่อยส่งกลับมา”

…ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นหน้าตาของสวี่หลิงอินตอนโต! สวี่ชีอันรู้สึกติดคอขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าควรจะคายออกมาหรือไม่

“เจ้ามีเรื่องกับคนแซ่โจวได้อย่างไร” ฉู่ไฉ่เวยกินอยู่ดีๆ ก็ถามขึ้นมา

“ข้าพาน้องสาวไปเดินเที่ยว คนแซ่โจวสะดุดตากับรูปโฉมของนาง”

“น้องสาวเจ้างามหรือไม่”

“ไม่ต่างกับเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องงามราวนางฟ้านางสวรรค์อย่างแน่นอน ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป”

สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นมองนาง แสงแดดส่องผ่านช่องลมของผนังเข้ามา ใบหน้ารูปไข่สวยงามเปล่งประกายสุขภาพดีและอ่อนโยน ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสดุจดวงดาว สวี่ชีอันแทบจะไม่เคยเห็นดวงตาในมิติแบบนี้มาก่อน

หน้าตาแบบนี้เหมาะสมเป็นภรรยาของข้าเมื่อชาติที่แล้ว…

“คดีเงินภาษีจบลงแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนแอบสับเปลี่ยนเงินภาษีของอารองของเจ้า” ฉู่ไฉ่เวยดูดนิ้วตัวเอง

สวี่ชีอันส่ายหน้า “ข้าเป็นแค่มือปราบตัวเล็กๆ”

ฉู่ไฉ่เวยลืมตาขึ้นมอง จากนั้นก็ก้มหน้าลงกัดหนังเป็ดย่างกรอบ “ผู้ที่แอบสับเปลี่ยนเงินภาษีคือลู่ชางจือหัวหน้ากองพันแห่งกองดาบและเจิ้งซินผู้กำกับดูแลกรมการคลัง”

“ดังนั้น?” สวี่ชีอันเลิกคิ้ว

“ข้าได้ยินมาว่า โจวเสี่ยนผิง รองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังเป็นผู้สนับสนุนพวกเขา”

‘!!!’

อะไรนะ…สวี่ชีอันอยากจะสบถคำหยาบออกมา

ในสมองของเขาเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน ในพริบตาเดียวเขาสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆ มากมาย

ดังนั้น หลังจากได้ยินข้าบอกชื่อแซ่ของตัวเองแล้ว คนแซ่โจวจึงตั้งใจจะฆ่าข้าให้ตาย เพราะข้าเป็นคนคลี่คลายคดีเงินภาษี ทำลายงานสำคัญของเขา เขาต้องการแก้แค้น ไม่สิ บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาอาจจะวางแผนไว้นานแล้ว…จวนรองเจ้ากรมโจวอยู่ในเมืองชั้นใน ทั้งสองที่อยู่ไกลกันมาก แต่คนแซ่โจวกลับมาใกล้จวนสกุลสวี่?

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะจงใจเดินวนเวียนอยู่บริเวณใกล้ๆ จวนสกุลสวี่…คนแซ่โจวเคยตรวจสอบข้า แล้วจะไม่ทราบลักษณะหน้าตาของหลิงเยวี่ยได้อย่างไร…การเกี้ยวพาราสีบุตรสาวคนอื่นคือการแสดง แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงต้องการหาเรื่อง ใช้ข้ออ้างนี้เพื่อสังหารข้าให้ตาย

แผ่นหลังของสวี่ชีอันเหมือนมีงูตัวเย็นๆ เลื้อยผ่าน ในใจรู้สึกหนาวเหน็บ

……………………………………………………

[1] เตียวฉาน เครื่องประดับหมวกของขุนนาง