ตอนที่ 25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่  25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจว

ซ่างหลินโจวอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำออกไปร้อยเมตร ในยามนี้ได้มีเรือสำเภาเทียบฝั่งอยู่หลายลำ

บนเกาะแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงสวนเจียงหนาน ศาลาพักผ่อน ศาลาทางเดิน ล้อมรอบไปด้วยภูเขาจำลอง และมีสะพานข้ามแม่น้ำทุกหนแห่ง

เรียบง่าย หรูหรา และวิจิตรงดงามยิ่งนัก

ไฟบนเกาะได้สว่างขึ้นแล้ว มองไปรอบ ๆ ทั่วสารทิศจากหอชมดาวตรงใจกลางที่สูงที่สุด ราวกับมีดวงดาวฝังอยู่ ณ ที่นี้จริง ๆ

ณ บนชั้นห้าของหอชมดาว เสียนชินอ๋องหยูอันฝูกำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกับอาจารย์ฉิน อาจารย์หลี่ และยังมีอาจารย์เถียนอีกด้วย

นี่คือที่ที่สูงที่สุดของหอชมดาว พื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้หลายพันคน กลับมีเพียงคนอยู่ไม่กี่คน ซึ่งทำให้ดูรกร้างไปเล็กน้อย แต่เสียนชินอ๋องกลับกล่าวว่า เรื่องครื้นเครงนั้นปล่อยให้พวกผู้เยาว์ ถ้าหากพวกเราไปเข้าร่วม พวกเขาคงยับยั้งชั่งใจ หากมีบทกวีดี ๆ พวกเขาจะประพันธ์มันขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

อาจารย์ฉินและพวกเขาทั้งสามคนหาได้ใส่ใจไม่ และจมดิ่งไปกับความสงบ

แต่ที่ชั้นสี่ของหอชมดาวในยามนี้ กลับครึกครื้นเป็นอย่างมาก

หยูหงอี้ซื่อจื่อในฐานะหนึ่งในเจ้าภาพงานซ่างหลินโจว ก็กำลังต้อนรับแขกเหรื่อ

หยูหงอี้และหยูเวิ่นหวินนั้นนั่งอยู่ด้านบน เบื้องล่างมีโต๊ะอีกหลายร้อยตัว แต่พื้นที่ตรงกลางนั้นกลับเป็นเวทีเต้นรำขนาดใหญ่

ชั่วยามนี้จานชามบนโต๊ะได้ถูกนำออกไป มีเป็นผัก ผลไม้ และเครื่องดื่มขึ้นมาแทนที่ ทุกคนต่างนั่งรวมกันสามถึงห้าคนต่อหนึ่งกลุ่ม ดื่มชาและพูดคุย สนุกสนานกันถึงที่สุด และมีคนอีกมากมายที่มองออกไป ณ ที่ห่างไกล แต่ในศีรษะนั้นกลับกำลังครุ่นคิดถึงบทกวีที่ยังไม่เข้ารูปเข้าร่างนัก

และปัจจัยหลักของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ก็คือ งานชุมนุมกวีซ่างหลิน

หากครั้งนี้ประพันธ์บทกวีออกมาได้ดีก็จะยิ่งมีชื่อเสียง หากสามารถเข้าพระเนตรเสียนชินอ๋องได้ มิแน่ว่าอาจจะได้รับรางวัลอีกมากมายก็เป็นได้

หยูเวิ่นหวินมองไปทางหยูหงอี้ ใบหน้าของหยูหงอี้มีเพียงรอยยิ้มขมขื่น

“ข้าได้ส่งเทียบเชิญไปให้บิดาของเขา บิดาเขาย่อมส่งมันให้กับเขาเป็นแน่”

“หากมิได้ให้เล่า?”

“เป็นไปมิได้ เจ้าอาจไม่รู้ว่าความปรารถนาสูงสุดทั้งชีวิตของฟู่ต้ากวนคือสิ่งใด เขาปรารถนาให้บุตรชายของตน มีชื่อเสียงทางด้านวรรณกรรมบ้าง ในวันนี้บุตรชายของเขาเริ่มเผยแววทางด้านวรรณกรรมแล้ว เขาย่อมปรารถนาให้บุตรชายของเขามีชื่อเสียงเป็นแน่ ที่นี่คือสถานที่ที่มีชื่อเสียง ฟู่ต้ากวนจะพลาดโอกาสเยี่ยงนี้ไปได้หรือ?”

หยูเวิ่นหวินคิ้วขมวด “หากพูดเยี่ยงนั้น… หรือว่าคนผู้นั้นไม่เต็มใจที่จะมา ? ”

“บางทีข่าวลือนั่นอาจจะเป็นจริงก็ได้ ฟู่เสี่ยวกวน… อาจจะดีแต่เปลือก บทกวีเหล่านั้นเป็นผู้อื่นที่ประพันธ์ขึ้น เขาเลยไม่กล้ามาเข้าร่วม”

คิ้วของหยูเวิ่นหวินขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ “ชูหลานมิมีทางหลอกข้า ชูหลานเป็นคนที่ฉลาดถึงเพียงนั้น มิมีทางถูกเจ้าเด็กนั่นหลอกได้เสียหรอก”

 “แต่ไม่ว่าเยี่ยงไร เขาก็มิมา เยี่ยงนั้นงานชุมนุมบทกวีนี้ยังจะดำเนินต่อไปหรือไม่?”

หยูเวิ่นหวินขบกรามแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และสะบัดแขนเสื้อ “ดำเนินต่อไป!”

หยูหงอี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ เดินไปยังเวทีที่อยู่ใจกลางห้องโถง และยืดอกอย่างภาคภูมิ “ทุกท่าน ข้าขอประกาศ ณ ยามนี้ งานกวีซ่างหลิน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”

เสียงปรบมือดังกึกก้อง เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตื่นเต้น หยูหงอี้เดินไปทางหยูเวิ่นหวินด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อย ๆ

หลังจากนั้นพิธีกรก็ขึ้นไปยังบนเวที

“มีสุราและผลไม้อยู่ที่โต๊ะ ทุกท่านสามารถนำไปรับประทานได้ วันนี้พวกข้ายังได้เชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์จากหออี้หง และแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟางมามอบความสำราญให้แก่ทุกท่าน ถัดจากนี้ขอเชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์บรรเลงดนตรีที่กำลังโด่งดังที่หลินเจียงในช่วงนี้ มองเจียงหนาน!”

ฝานตั่วเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นในชุดเต็มยศ มือหยกลูบไล้ฉิน เสียงโหมโรงดังขึ้น ทันใดนั้นทั้งงานก็เงียบเสียงลง

ยามที่นางเริ่มเอื้อนเอ่ย ประหนึ่งเสียงของธรรมชาติ บทเพลงนี้ทุกคนต่างได้ยินกันจนคุ้นหู จึงได้นำมาร้องอีกครา

มีท่านหนึ่งได้ฟังกวีบทนี้จนมัวเมา ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ และปรี่ไปยังโต๊ะหนังสือทันที

เขาตวัดปลายพู่กัน และเกิดเป็นกวีหนึ่งบท

เมื่อตั้งใจอ่านอย่างถี่ถ้วนอีกครา เหมือนว่าจะมิได้ด้อยไปกว่ามองเจียงหนานบทนั้น เพราะที่เขาเขียนนั้นก็คือมองเจียงหนานเช่นกัน มีชื่อเต็มว่า มองเจียงหนาน บันทึกที่ซ่างหลิน ผู้ประพันธ์หลี่ชุ่นเฟิง

มีสาวใช้รับกระดาษมา และส่งไปยังเบื้องหน้าของหยูเวิ่นหวิน

หยูเวิ่นหวินเมียงมอง แต่ไม่ได้พูดอันใด

หลังจากนั้นอีกหลายท่านก็เริ่มขยับเคลื่อนย้าย พวกเขาต่างทยอยกันไปที่โต๊ะหนังสือเพื่อลงพู่กัน ฝากผลงานของตนเองที่คิดว่าน่าพึงพอใจเหล่านั้นไปกับสาวใช้ เพื่อส่งให้ถึงหยูเวิ่นหวิน

ผู้มีพรสวรรค์ทั้งสามแห่งหลินเจียงในยามนี้ก็ได้ยืนพิงอาคารและเฝ้ามองมา

ทันใดนั้นหลิวจิ่งหางก็หัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ในยามนี้ข้าชื่นชมเขายิ่งนัก ไม่ไว้หน้าแม้แต่จวนชินอ๋อง… คราแรกที่ข้าได้ไปเชิญชวนเขาถึงจวนฟู่ เพียงแต่เขาปฏิเสธ ข้ายังเดือดดาลไปถึง 2 วัน”

“เยี่ยงนี้นอกจากเทศกาลไหว้พระจันทร์เดือนแปดที่หนึ่งปีจะมีเพียง 2 ครั้ง แต่เขากลับไม่มา นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ฟู่เสี่ยวกวนไม่กล้ามาอย่างแท้จริง” ถังซูยวี่รู้สึกว่าตัวเองมองคนผู้นั้นออกแล้ว จึงไม่อยากจะเอ่ยถึงอีก และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “จิ่งหาง เจ้ามีผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้วหรือยัง?”

“ข้ายังต้องเตรียมการอีกเสียหน่อย”

“พี่หยุ๋นชิงล่ะ?”

หยูหยุ๋นชิงมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา แล้วครุ่นคิด “ยังไม่สมบูรณ์นัก”

“เจ้าทั้งสองจะถ่อมตนกันไปแล้ว เยี่ยงนั้นข้าจะมิเกรงใจแล้ว”

“เชิญพี่ถัง”

ถังซูยวี่เดินไปทางโต๊ะหนังสือ สงบนิ่งไปหลายอึดใจ ก่อนจะยกพู่กันและจรดลง

“ความสุขที่เงียบสงบ ค่ำคืน ณ ซ่างหลิน”

“สายลมแผ่วไม่ยอมหยุด กลับแยกต้นไม้กลางบุปผา

หลงในเงาสีเงินที่ตื้นเขิน สะพานนางแอ่นจันทร์แรมทางดารา

เรือประมงแล่นในแม่น้ำอย่างเชื่องช้า วังหลวงชั้นเซียนเลือนลับตา

แตกสลายร่วงกราวเสียงแผ่วเบา แต่ฟ้าโปร่งและเมฆจืดจางไป”

ถังซูยวี่

เขายื่นกวีบทนั้นให้แก่สาวรับใช้ แล้วจึงกลับมายังระเบียง หลิวจิ่งหางเอ่ยถาม “เสร็จแล้วรึ ? ”

ถังซูยวี่เพียงยิ้ม แล้วพยักหน้า

“เยี่ยงนั้นข้าก็จะไปด้วย”

“อือ”

หยูหยุ๋นชิงครุ่นคิด และเดินไปทางโต๊ะหนังสือเช่นกัน

ถังซูยวี่หันหลังพิงอยู่กับระเบียง จึงได้เห็นว่าบนเวทียามนี้ได้เปลี่ยนคนไปเสียแล้ว

ผู้นั้นคือแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟาง

ในยามนี้นางกำลังร่ายร้องกวีอีกหนึ่งบทที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์: บทกวีทิศใต้·ชื่มชมท่องเที่ยว

ถังซูยวี่จ้องมองด้วยความสนใจ นึกถึงสถานการณ์ครึกครื้นที่ตรอกฉือปาหลี่ในวันนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกอยากจะดื่มอีกสักสองแก้ว

เขาก้าวไปทางเวที แล้วหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งขวด ซึ่งเป็นเซียงเฉวียนของหยู๋ฝูจี้

เขารินหนึ่งแก้ว ถือไปยังบริเวณระเบียง ยืนพิงดื่มไปเพียงหนึ่งอึก ในยามที่ไป๋ชิวกำลังร้องบทเพลงบทกวีทิศใต้ หลิวจิ่งหางและหยูหยุ๋นชิงก็ได้เดินมา

“เสร็จแล้วรึ ? ”

ทั้งสองคนต่างพยักหน้า

“ความจริงข้าหวังเป็นอย่างมากว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้มีความสามารถ พวกเจ้าลองฟังท่วงทำนองของสองบทนี้สิ อยู่ในระดับสูงอย่างยิ่ง น่าเสียดายนัก”

“ท้ายที่สุดเขากลับไม่กล้ามา… นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ดังนั้น ข้าคิดว่าเขาหลักแหลมยิ่งนัก”

“ข้ายอมรับว่าเขาหลักแหลมเป็นอย่างมาก มิอย่างนั้นสุราราคาสูงเสียดฟ้านี้คงมิมีผู้คนมาแย่งชิงกันถึงเพียงนี้”

หยูหยุ๋นชิงหัวเราะ “ข้าเองก็ไปคว้ามาได้ 2 ขวด ยังมิกล้าลิ้มรส วันหน้าหากมีเวลาว่าง น้องชายทั้งสองมารวมตัวด้วยกันเถิด”

“เยี่ยงนั้นย่อมยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง!” หลิวจิ่งหางและทั้งสองต่างกล่าวยิ้ม ๆ

“ทางนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ถังซูยวี่ชี้ไปทางด้านหน้าประตูของชั้นที่สี่

หยูหยุ๋นชิงและหลิวจิ่งหางต่างหันไปมองตาม…

ชุนซิ่วกังวลเป็นอย่างมาก

นางตามหลังทหารยามมาหนึ่งนาย ก้าวเท้าขึ้นมาทีละก้าว

ทหารยามผู้นั้นกระซิบที่ข้างหูของสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู สาวใช้ผู้นั้นราวกับประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยนามหนึ่งขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวนรึ ? ”

เสียงของสาวใช้ผู้นั้นค่อนข้างดัง ยามนั้นประจวบเหมาะกับที่ไป๋ชิวบนเวทีร้องเพลงจบ ดังนั้นจึงมีผู้คนบางส่วนที่ได้ยินไปโดยปริยาย

“ฟู่เสี่ยวกวนรึ เขามาแล้วรึ?”

เสียงกระจายออกไป จนพวกหลิวจิ่งหางทั้งสามคนเองก็ได้ยิน

“เขาล่ะ?”

“ไม่เห็น”

“แล้วเยี่ยงนั้นเสียงดังอันใดกันขึ้นมา?”