ตอนที่ 26 ค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตา
บ่าวผู้นั้นนำชุนซิ่วมาเข้าพบองค์หญิงเก้า นางกระซิบที่ข้างหู องค์หญิงเก้าเองก็ตกตะลึงเช่นกัน นางมองมาทางชุนซิ่วและเอ่ยถามว่า “เจ้าคือบ่าวรับใช้ของฟู่เสี่ยวกวนอย่างนั้นหรือ ? ”
ชุนซิ่วกำชายเสื้อไว้แน่น เม้มปากและพยักหน้า
“คุณชายของเจ้า เหตุใดจึงไม่เดินทางมาด้วยตัวเอง?”
“คุณชายกล่าวว่า ขออภัยด้วย เขามีธุระสำคัญมากที่ต้องไปจัดการ……เขากล่าวว่า ให้ข้าน้อยเดินทางมากล่าวขออภัยแทนคุณชาย หากมีโอกาสในครั้งหน้า คุณชายจะมาขออภัยโทษด้วยตนเอง”
“เพียงเท่านี้หรอกหรือ?”
“มิใช่……” ชุนซิ่วหยิบม้วนกระดาษออกมา แล้วยื่นให้แก่หยูเวิ่นหวิน แล้วเอ่ยว่า “แม้คุณชายจะไม่สามารถเดินทางมาด้วยตนเอง แต่ท่านฝากบทกวีนี้มากับข้าน้อย หวังว่าทุก ๆ ท่านคงจะถูกใจ”
บัดนี้ห้องโออ่ากว้างขวางนั้นเงียบลงไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ผู้คนมากมายรู้ข่าวว่าจวนชินอ๋องส่งจดหมายเชิญไปยังตระกูลฟู่ พวกเขาจึงได้เดินทางมา เพื่อดูหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เนื่องจากพวกเขาได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ นานาของฟู่เสี่ยวกวนซึ่งกระจายไปทั่วเมืองหลินเจียงมาไม่น้อย
มีคนกล่าวว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านวรรณกรรม เพียงหยิบพู่กันก็สามารถแต่งกวีได้
และมีคนกล่าวว่าเขานั้นคัดลอกกวีมาจากบุคคลอื่น
แต่ในสายตาของผู้อื่นนั้น เมื่อก่อนนี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคุณชายที่ไม่ทำการทำงาน ไม่ศึกษาหาความรู้ แต่บัดนี้เขากลับแต่งบทกวีที่งดงามเช่นนี้ได้ อีกทั้งกวีบทนี้ยังแพร่หลายไปในชุมชน การเปลี่ยนเเปลงเช่นนี้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ในโอกาสนี้พวกเขาจะได้เห็นกับตาตนเองเสียทีว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะไม่เดินทางมาในวันนี้
แสดงว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เชิญผู้มีความสามารถมา และคัดลอกบทกวีทั้งสองของเขาด้วยตัวอักษรบรรจง
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น เขากลับส่งบ่าวรับใช้ให้นำกวีอีกหนึ่งบทมามอบให้กับหยูเวิ่นหวินในงานเลี้ยง……เขาต้องการสิ่งใดกัน?
กวีบทนี้จะเป็นเช่นไรกัน?
สายตาทุกคู่จับจ้องมายังหยูเวิ่นหวิน หลิวจิ่งหางเองก็เช่นกัน
หยูเวิ่นหวินรับกระดาษไปแล้วขมวดคิ้ว เช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่เพิ่งพบเจอฟู่เสี่ยวกวนในครั้งแรก ตัวอักษรนี้……ช่างไม่น่ามองเสียจริง!
แต่ต่อจากนั้น นางก็มีสีหน้าสบายใจขึ้น
ริมฝีปากสีแดงของนางนั้นเริ่มขยับเพื่ออ่านบทกลอน
“ค่ำคืนที่เมามาย
ดวงดาวและสายลมในยามค่ำ หอวาดภาพชายตะวันตกไปยังป่าตะวันออก
ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน
เกี่ยวส่งสุราอุ่นดั่งหน้าร้อนไปยังที่นั่งแยกห่าง พลิกคว่ำเทียนไขเปลวไฟแดงแล้วแยกจาก
ถอนใจเมื่อได้ยินเสียงกลองยามเลิกรา เฆี่ยนม้ามาหลานถายแล้วเปลี่ยนทิศไปตามลม”
ทุกคนล้วนเงียบสงัด
หยูเวิ่นหวินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ หลับตาลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แต่ยังคงมิเอ่ยสิ่งใด
ผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินบทกวีที่หยูเวิ่นหวินอ่านขึ้น พวกเขาต่างพากันเงียบ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดออกมา เพราะบทกวีนี้งดงามสูงส่งยิ่งนัก จนพวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้
ภายในใจท่องเพียงแค่ว่า……ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……
ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปเช่นหลิวจิ่งหาง พวกเขามิได้ยินกวีที่หยูเวิ่นหวินอ่านออกมา แต่พวกเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อธิบายไม่ได้จากความเงียบนี้
เสมือนหินก้อนใหญ่ทับลงกลางทรวงอก ที่แม้แต่การหายใจก็เป็นไปได้อย่างลำบาก
หยูเวิ่นหวินลืมตาขึ้น นางมองมายังชุนซิ่ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……คุณชายของเจ้าแต่งกวีบทนี้เพื่อผู้ใดกัน?”
ชุนซิ่วมองไปรอบ ๆ จิตใจของนางค่อย ๆ สงบลง กวีของคุณชายบทนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
นางยืดคอขึ้นแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เมื่อครั้นคุณชายเขียนกวีนี้ ข้าน้อยเองก็ได้เอ่ยถามเช่นกันว่าคุณชายมีใจสื่อสารไปถึงผู้ใด?”
“คุณชายของเจ้าได้ตอบว่าอย่างไร?”
“คุณชายฟู่ตอบว่า แน่นอนว่าคือคุณหนูต่งชูหลาน”
“อ้อ……”
หยูเวิ่นหวินเดินถือกระดาษแผ่นนี้ขึ้นสู่เวทีส่วนกลาง สายตาของนางมองไปยังผู้คนทั้งหลาย ชูกระดาษที่อยู่ในมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นี่คือกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้น แต่เนื่องจากเขานั้นมีธุระสำคัญจึงทำให้เดินทางมาร่วมงานในครานี้ไม่ได้ จึงส่งบ่าวรับใช้มามอบกระดาษนี้ให้แก่ข้า กวีบทนี้ข้าจักอ่านให้พวกท่านทุกคนได้รับฟัง”
หลิวจิ่งหางพวกเขาทั้งสามคนเดินหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ผู้คนจำนวนไม่น้อยล้อมรอบเวที แม้แต่ฝานตั่วเอ๋อร์และไป๋ชิวก็เช่นกัน
ไม่มีใครคิดว่ากวีที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้นเพียงสองบทนั้นจะส่งผลต่อหลินเจียงถึงเพียงนี้
แม้แต่สตรีที่อยู่ในหอนางโลมเช่นฝานตั่วเอ๋อร์เองก็มีความคาดหวังต่อกวีของฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน
มิใช่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกหรือสิ่งอื่นใด เพียงเพราะเพื่อการขับร้องและการบรรเลง
หากสามารถขับร้องกวีของฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นคนแรก ก็บ่งบอกถึงความสามารถและจุดยืน ณ ที่นี้
ท่ามกลางสายตาอันเร่าร้อนของทุกคน หยูเวิ่นหวินได้อ้าปากขึ้นอีกครั้งเพื่ออ่านมันออกมา
“ดวงดาวและสายลมในยามค่ำ หอวาดภาพชายตะวันตกไปยังป่าตะวันออก
ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……”
……
……
ถังซูยวี่ดื่มเหล้าในมือเสียจนหมดถ้วย เขารินเหล้าใหม่และดื่มอีกจนหมดถ้วย
หลิวจิ่งหางไม่ได้มีท่าทางใด ๆ ร่างกายเขาแข็งทื่อประดุจต้นไม้
หยูหยุ๋นชิงกล่าวเยาะเย้ยว่า “จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……ต่อไป เขาผู้นี้คงเป็นผู้มีความสามารถแห่งหลินเจียง”
ขณะที่หยูเวิ่นหวินกำลังจะก้าวลงจากเวทีนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ข้าน้อยยังไม่เชื่ออยู่ดีว่า กวีบทนี้แต่งขึ้นโดยฟู่เสี่ยวกวน!”
นางสอดส่องสายตาไปยังต้นเสียง พบว่าเป็นชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นชาวหลินเจียง ข้าน้อยไม่เชื่อว่าพวกท่านไม่รู้จักนิสัยของฟู่เสี่ยวกวน!พี่ชายของข้าก่อนหน้านี้ได้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวน เขาผู้นี้มิได้มีความสามารถด้านการประพันธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ยังไม่เคยได้อ่าน ข้าน้อยมิขอเอ่ยถึงนิสัยของท่านผู้นี้ เพียงหยิบยกเรื่องกวีมาหนึ่งเรื่องเพียงเท่านั้น พวกท่านทั้งหลายเชื่อว่าคนที่ไม่เคยแต่งกวีมาก่อน กลับสามารถแต่งกวีที่มีชื่อเสียงได้มากมายเพียงนี้หรือไม่ บนโลกนี้มีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ?เกรงว่าแม้แต่บทละครยังมิกล้าเขียนบทให้มีตัวละครเช่นนี้อยู่จริง!”
ฝูงชนเริ่มกระซิบกระซาบ และการพูดคุยก็ค่อย ๆ ดังขึ้น แต่เหตุผลที่มีน้ำหนักมากที่สุดนั้นคือ หากฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถแท้จริง เหตุใดทุกครั้งจึงปฏิเสธการเข้าร่วมการรับเชิญไปงาน รวมทั้งงานกวีแห่งซ่างหลินก็เช่นกัน!
สิ่งนี้คือคำถามที่อยู่ในใจของหยูเวิ่นหวินเช่นกัน
งานกวีนั้นเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในราชวงศ์หยู ราชวงศ์หยูใช้กำลังทหารในการก่อตั้ง และใช้วรรณกรรมในการปกครอง ระยะเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมา วรรณกรรมได้เกิดความรุ่งเรืองอย่างยิ่ง แม้แต่ในวัดวาอาราม ก็มีนักกวีมากกว่าทหารเสียด้วยซ้ำ
สำหรับผู้ที่ร่ำเรียนตำราแล้ว การเข้าร่วมงานกวีเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับพวกเขา สามารถทำให้พวกเขาได้มีชื่อเสียงหรือได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตาขึ้น สามารถคบค้าสมาคมกับผู้รู้หนังสือด้วยกันเองเป็นต้น ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่พวกเขาจะปฏิเสธงานเช่นนี้ แต่เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงไม่เดินทางมา?
บรรดาฝูงชนกระตือรือร้นขึ้นเรื่อย ๆ ส่งเสียงดังขึ้นตามลำดับ คำพูดต่าง ๆ นั้นยิ่งฟังยิ่งไม่ไพเราะ หยูเวิ่นหวินตัดสินใจจะหยุดสถานการณ์นี้ แต่กลับพบว่าบ่าวรับใช้ของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้เดินหน้าขึ้นมาก่อนแล้ว
ชุนซิ่วโกรธมาก!
คุณชายของข้าคือคนที่พวกเจ้าจะมาใส่ร้ายได้งั้นหรือ!
มือทั้งสองข้างของนางเท้าอยู่ที่สะเอว แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”
คาดไม่ถึงว่าผู้คนในที่นี้หยุดพูดลงจริง ๆ
ชุนซิ่วชี้นิ้วไปทางฝูงชนแล้วกล่าวว่า
“พวกเจ้า……ล้วนเป็นขยะ!”
“ข้าจะเอ่ยให้เอาบุญ คุณชายของข้านั้นมิเพียงแต่จะมีความสามารถทางด้านกวี แต่เขายังแต่งหนังสือได้อีกด้วย ขยะอย่างพวกเจ้าจะมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร!”
พูดจบ นางก็ลงจากเวทีไปด้วยความโมโห นางเดินตรงไปยังประตูใหญ่ เปิดประตูออกด้วยความไม่พอใจแล้วเดินจากไป ประตูถูกปิดลงเสียงดัง ภายในใจร้อนรน แล้วรีบก้าวเดินจากไป