บทที่ 44 กลัวแล้วหรือไร

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ซินหรูกลั้นลมหายใจของตนเอาไว้ นางมองร่างของหมัวมัวที่นอนอยู่บนพื้นแน่นิ่งด้วยดวงตาเบิกกว้าง จวบจนรู้สึกตัวว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจจึงหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ภายในเรือนหลังเล็กอันมืดมิดนี้ได้ยินเพียงเสียงหายใจของซินหรูที่ดังชัดเจน

ซินหรูหายใจเข้าระรัว จากนั้นน้ำตาหยดใหญ่ๆ ไหลพรากลงมา

หลินชิงเวยเก็บเข็มเงินของตนคืนมา ร่างกายของหมัวมัวมองไม่เห็นแม้แต่บาดแผลไม่พบแม้แต่น้อย นี่เป็นเหตุผลที่นางไม่ใช้แส้ และไม่ให้ชิงหลันกัดนาง

เสื้อผ้าของหลินชิงเวยถูกโลหิตที่ไหลลงมาจากลำคอย้อมจนกลายเป็นสีแดงฉาน นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เอียงหน้ามามองซินหรูที่เงียบงัน ราวกับเป็นนายพรานที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการสังหารเหยื่อในมือ ร่างของนางยังเต็มไปด้วยเลือดของเหยื่อทว่าเลือดบนร่างของนางมิใช่เลือดของเหยื่อ กลับเป็นเลือดของนางเอง

ซินหรูหายใจเข้าอีกเฮือกหนึ่ง พยายามที่จะขดกายเข้าหามุมกำแพง ชัดเจนยิ่งนั่งว่านางกำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างที่สุด ราวกับสายตาของหลินชิงเวยยังคงแข็งค้างและเยียบเย็น มันเต็มไปด้วยความมืดหม่นส่งผลให้ซินหรูตื่นตระหนก หลินชิงเวยได้สติ สายตาจึงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง นางมองซินหรูพร้อมกล่าวว่า “เจ้ากลัวแล้ว?”

ซินหรูกัดริมฝีปาก เอ่ยขึ้นตะกุกตะกัก “นาง…นาง นาง…”

หลินชิงเวยกล่าว “นางตายแล้ว”

เป็นไปได้อย่างไร นาทีก่อนหน้านี้ยังมีชีวิตอยู่ นาทีนี้นางตายแล้ว นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น มือของซินหรูสั่นสะท้าน นางพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะควบคุมความหวาดกลัวที่มีต่อหลินซินหรู ปากเล็กๆ นั้นกัดปลายนิ้วของตนไม่ยอมปล่อย กล่าวเสียงอู้อี้ว่า “ท่านฆ่านางแล้ว…”

หลินชิงเวยกล่าว “ข้าไม่ฆ่านาง นางก็จะฆ่าเจ้า จากนั้นจึงฆ่าข้า”

“แต่…แต่…”

“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยเห็นคนตายหรือ เมื่ออยู่ในตำหนักเย็น” หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ “สตรีสติฟั่นเฟือนกลุ่มนั้นในตำหนักใน พวกนางล้อมคนอ่อนแอเล็กๆ คนหนึ่งเพื่อทุบตี นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดากระมัง เจ้าต้องเคยเห็นมาก่อนเป็นแน่ แต่ข้างนอกนี้ไม่เหมือนกัน สตรีที่อยู่ข้างนอกล้วนเป็นสตรีที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและเฉลียวฉลาด พวกนางจะไม่ล้อมวงกันเพื่อทุบตีผู้อื่นอย่างคลุ้มคลั่ง แต่จะค่อยๆๆ ใช้วิธีการทรมานให้ผู้อื่นต้องมีชีวิตอยู่อย่างอยู่มิสู้ตาย เจ้าว่าแบบไหนน่ากลัวกว่ากัน? คืนนี้หากนางไม่ตาย รอกระทั่งถึงพรุ่งนี้เช้าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ย่อมต้องมีศพสองศพถูกหามออกไปจากห้องนี้ ถูกทิ้งไว้มุมใดมุมหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ หรืออาจจะถูกนำไปเลี้ยงสุนัขจรจัด กลายเป็นศพที่ตายอย่างไร้ที่ฝัง”

ซินหรูที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวนั้น ได้ยินคำพูดสุดท้ายของหลินชิงเวย ร่างกายค่อยๆ ผ่อนคลายจากความตึงเครียดและสงบลงในที่สุด

หลินชิงเวยยกชายกระโปรงแล้วลุกขึ้นเดินมาหยุดข้างกายซินหรูแล้วนั่งลง ซินหรูค่อยๆ เอียงศีรษะลงมาซุกอยู่ในอ้อมกอดของหลินชิงเวย

ร่างของคนทั้งสองเต็มไปด้วยร่องรอยของหยดเลือด ต่างพึ่งพิงกันเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่กัน

ค่ำคืนในช่วงต้นวสันตฤดูช่างหนาวเหน็บเสียจริงๆ

ซินหรูเบิกตากว้างทั้งคืน นางไม่กล้าหลับตาลงยิ่งไม่กล้าหลับ นางกลัวว่าจะมองเห็นศพที่นอนอยู่บนพื้น แต่ก็มิอาจบังคับตนเองไม่ให้กลอกตาเหลือบไปดูได้ นางกลัวว่าศพนั้นจะตื่นขึ้นมาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวว่าศพร่างนั้นจะพลันตื่นขึ้นมา

กระทั่งฟ้าสาง ศพของหมัวมัวผู้นั้นจึงแข็งไปทั้งร่าง ผิวของนางเปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับหิมะ ขาวจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำ

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากภายนอกฟังดูรีบเร่งอยู่บ้าง เมื่อเสียงฝีเท้านั้นมาถึงหน้าประตูเรือนหลังเล็กอันมืดมิด พบว่าประตูถูกขัดเอาไว้ จึงเกิดเสียงดังขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจ ทว่าคนข้างนอกออกแรงผลักอย่างไรก็มิอาจเปิดประตูเรือนหลังเล็กนี้ได้

ต่อมาตำหนักคุนเหอได้ตามตัวองครักษ์มา องครักษ์ใช้เท้าถีบประตูนี้อยู่หลายครั้งหลายคราจึงทลายประตูของเรือนหลังเล็กลงได้ หมัวมัวนางหนึ่งก้าวเข้ามาก่อนจึงพบว่าประตูถูกขัดให้ปิดตายจากด้านใน

ที่แท้เมื่อคืนนี้เซียวจิ่นฟื้นขึ้น เมื่อได้รู้จากเซียวเยี่ยนว่าผู้ที่รักษาอาการเขาก็คือนางสนมผู้ถูกทอดทิ้ง หลินชิงเวย ไทเฮามีทีท่าตื่นตะลึงต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

เพื่อให้นางได้ถวายการรักษาให้กับฮ่องเต้ต่อไปจึงจำเป็นต้องไว้ชีวิตหลินชิงเวย เดิมทีไทเฮาคิดจะขังนางสักคืนหนึ่ง เพื่อเป็นการให้บทเรียนแก่นาง รอวันรุ่งขึ้นค่อยปล่อยตัวนางออกมา

สำหรับเรื่องที่จะอยู่หรือตายนั้นล้วนเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิต

หมัวมัวผู้ที่มารับคนเพียงเหลือบตาดู เห็นหลินชิงเวยและซินหรูนั่งอยู่ในมุมๆ หนึ่ง ไม่เคลื่อนไหวราวกับเป็นหุ่นขี้ผึ้งอย่างไรอย่างนั้น แสงอุษาแสงแรกของวสันตฤดูที่ส่องลอดเข้ามาจากภายนอกตกลงบนใบหน้าของหลินชิงเวย ใบหน้านั้นขาวสะอาดไร้ตำหนิทว่ากลับดูเย็นชาผิดธรรมดา ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สะท้อนกลับมาดวงตาทั้งคู่ของนางวับวาวราวกับกระจกสีทอง

หมัวมัวยังไม่ทันได้เอ่ยวาจาสักประโยคแต่กลับหันไปเห็นร่างของคนที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นจึงส่งเสียงร้อง “อ๊า–” ออกมา

ดูเหมือนหมัวมัวท่านนี้น่าจะไม่ค่อยได้พบคนตายมาก่อน จึงได้มีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนั้น นางตื่นตระหนกตกใจอย่างรุนแรง ใบหน้าของนางไร้สีเลือด หลังจากนั้นไม่นานนักมีนางกำนัลจากตำหนักคุนเหอมาที่นี่ นำด้วยขันทีที่เข้ามาย่อกายลงเบื้องหน้าศพนั้น ลำพังเพียงแค่ดูจากสีหน้าแล้วก็รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้วทว่าเขายังคงยื่นนิ้วมือไปทดสอบลมหายใจของนาง

ขันทีผู้นั้นตกตื่นตะลึงจนนั่งแปะลงกับพื้น ร้องตะโกนลั่นว่า “หรงหมัวมัวตายแล้ว!”

ข่าวนี้ถูกแพร่สะพัดไปถึงตำหนักคุนเหออย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างรู้สึกเหลือเชื่อ

หรงหมัวมัวผู้นี้เป็นสาวใช้คนสนิทที่ติดตามเข้าวังมาพร้อมกับไทเฮาเมื่อครั้งไทเฮาแต่งเข้าวังหลวงมา นางมีความสำคัญประดุจแขนซ้ายแขนขวาของไทเฮาก็ว่าได้ บัดนี้นางจากไปแล้วไทเฮาย่อมต้องเดือดดาลอย่างที่สุด

ทว่าบรรดาบ่าวไพร่ในวังหลวงเหล่านั้นกลับมีความคิดแตกต่างออกไป

อาจเป็นเพราะเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่หรงหมัวมัวผู้นี้มักจะใช้อำนาจกดขี่คนในวัง เผด็จการไร้เหตุผล ข้าหลวงในวังจำนวนไม่น้อยที่เคยได้รับความทุกข์ทรมานและเสียชีวิตจากน้ำมือของนาง

ร่างของหลินชิงเวยเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นที่ผุดออกมา ผนวกกับรอยเลือดตามร่างกาย นางรู้สึกสับสนมึนงง มีคนเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับลากตัวนางและซินหรูออกไป

ภายในตำหนัก ไทเฮาประทับอยู่เบื้องบน ศพของหรงหมัวมัวที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวนอนอยู่กลางโถงของตำหนัก หลินชิงเวยและซินหรูถูกลากตัวเข้าไปในตำหนักอย่างไม่เบามือ เมื่อหัวเข่ารู้สึกเจ็บอีกครั้งทั้งสองนางได้คุกเข่าลงกับพื้นแล้ว

ไทเฮาตบโต๊ะและกล่าวว่า “หลินซื่อ เจ้าช่างกล้าหาญชาญชัยนัก ถึงกับกล้าสังหารหมัวมัวของเปิ่นกง!”

หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้น จ้องมองไทเฮาตรงๆ “ไทเฮามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าหม่อมฉันเป็นผู้สังหารหรงหมัวมัวเพคะ?”

ไทเฮาไม่แม้แต่จะไต่ถาม นางสั่งการทันที “คนชั้นต่ำเช่นนี้ยังกล้าปากแข็ง เด็กๆ โบยนางเดี๋ยวนี้ เปิ่นกงอยากจะดูเหมือนกันว่า ความตายกำลังจะมาเยือนเจ้าอยู่แล้วเจ้ายังจะปากแข็งอีกหรือไม่!”

นางกำนัลนางหนึ่งก้าวขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย กดร่างของหลินชิงเวยและซินหรูลงบนพื้น บาดแผลที่เพิ่งจะแห้งและแข็งตัวอย่างไม่ง่ายดายจากเมื่อคืนต้องปริแตกอีกครั้ง เลือดสดๆ ไหลออกมาจากบาดแผลเหล่านั้น หลินชิงเวยถูกกดกระทั่งใบหน้าแนบไปกับพื้นอันเย็นเยียบ ทว่านางยังคงใช้สายตาแน่นิ่งไม่ไหวติงจับจ้องไปยังไทเฮา “เวลานี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัวคือพวกเรา หรงหมัวมัวไม่มีบาดแผลแม้สักกระผีก ไทเฮาถือดีอย่างไรจึงตัดสินว่านางถูกหม่อมฉันสังหารเพคะ? !”

“โบย!”

“หรือที่แท้ไทเฮาเป็นคนเช่นนี้เอง ไม่แยกแยะถูกผิดไม่ไต่สวนหาความจริง ใช่หรือไม่เพคะ? !”

ไม้กระบองนั้นโบยลงมา แค่เพียงหนึ่งไม้ความเจ็บปวดนั้นราวกับจะทำให้กระดูกสันหลังของหลินชิงเวยหักเป็นสองท่อน นางเห็นซินหรูกัดริมฝีปากแน่น บนริมฝีปากของซินหรูปรากฏรอยเลือดที่เกิดจากรอยฟัน นางจึงไม่อาจคิดพิจารณาอะไรได้อีก ความแค้นในวันนี้ถูกจดจำเอาไว้แล้ว หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นกล่าวเสียงแหบพร่าว่า “ไทเฮาเพคะ! คิดดูแล้วเมื่อคืนไทเฮาเสด็จไปเยี่ยมฝ่าบาทมาและทรงทราบแล้วว่าหม่อมฉันเป็นผู้ถวายการรักษาพระอาการประชวรของฝ่าบาท เวลานี้พระอาการประชวรของฝ่าบาทยังไม่ใคร่หายดี ฝ่าบาทยังต้องการความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน ทว่าวันนี้ไม่รอให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย ไทเฮากลับรีบร้อนจะประหารหม่อมฉัน ไทเฮามีเจตนาอันใดแอบแฝงกันแน่!”

คำพูดแต่ละคำที่เปล่งออกมานั้นชัดเจน เมื่อสิ้นเสียงส่งผลให้ทั้งห้องโถงเหลือเพียงความเงียบงัน