ความโกรธเกรี้ยวของไทเฮานั้นสูงเทียมฟ้า สายตาที่นางมองหลินชิงเวยนั้นเคียดแค้นชิงชังเสียจนอยากจะใช้คมดาบฟาดฟันลงบนร่างของนาง “เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้ากล้าพูดอีกครั้งหรือไม่?”

หลินชิงเวยคลี่ริมฝีปาก รอยยิ้มนั้นมีนัยลึกลับซับซ้อน นางยังกล่าวอีกว่า “เมื่อคืนนี้ฝ่าบาทเพิ่งจะฟื้นคืนสติไทเฮาในฐานะของมารดาของฝ่าบาท เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้คนไปสอบถามให้ชัดเจน ทว่าเมื่อคืนหลังจากไทเฮาทรงทราบข่าวที่ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว พระองค์ไม่มีความยินดีและไม่มีความประหลาดใจ ไม่ได้รีบรุดเสด็จไปดูฝ่าบาททันทีที่ทราบข่าวแต่กลับต้องการจัดการกับพวกหม่อมฉันก่อน ไทเฮาเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดฝ่าบาทหรือไม่เพคะ?”

ดวงตางดงามทั้งคู่ของไทเฮาเบิกกว้าง

หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก “ไม่ใช่จริงๆ ด้วยเพคะ ทั้งๆ ที่ไทเฮาทรงทราบว่าพระอาการประชวรของฝ่าบาทยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากหม่อมฉัน ยามนี้กลับต้องการประหารข้าอย่างเร่งรีบ ด้วยเหตุอันใดเล่า?”

“เจ้า…” ไทเฮาได้สติกลับมา จึงชี้นิ้วที่สั่นระริกนั้นมาทางนาง “เจ้า…เจ้ากล้าหมิ่นเบื้องสูง ไม่อาจละเว้นได้!”

หลินชิงเวยกล่าวเสริมอีกว่า “หรือไทเฮาปรารถนาให้พระอาการประชวรของฝ่าบาทไม่มีทางรักษาให้หายได้ หรือให้ทรงสวรรคตเร็วขึ้น ตนเองจะได้กุมอำนาจหรือ? ! วันนี้ต่อให้ไทเฮาประหารหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะพูด หากท่านไม่เกรงกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาทก็ประหารหม่อมฉันได้เลย แต่ขอเพียงไทเฮาสังหารหม่อมฉัน นั่นก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความทะเยอทะยานในจิตใจของท่าน!”

สีหน้าของไทเฮาประเดี๋ยวขาวซีดประเดี๋ยวเขียวคล้ำ หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงด้วยโทสะไม่อาจกล่าววาจาอันใดออกมาได้เนิ่นนาน นางเคียดแค้นยิ่งยวดที่มิอาจประหารหลินชิงเวยในเวลานี้ได้ นางไม่อาจทำเช่นนั้นในเวลานี้จริงๆ

ไม่ว่าจะเป็นตำหนักในหรือราชสำนักฝ่ายหน้า ล้วนเป็นสถานที่ที่เกรงกลัวต่อคำพูดของผู้คนทั้งสิ้น

หากวันนี้นางโบยหลินชิงเวยจนตายจริงๆ วันถัดไปเกรงว่าจะต้องได้ผลกระทบจากบรรดาขุนนางในราชสำนักเป็นแน่

ดังนั้นเนิ่นนานไทเฮาจึงไม่ได้เอ่ยวาจา และไม่ได้สั่งการให้ลงทัณฑ์หลินชิงเวยต่อไป

หลินชิงเวยกล่าว “หากไทเฮาสงสัยว่าหม่อมฉันเป็นคนสังหารหรงหมัวมัว สามารถให้คนมาตรวจสอบว่าใช่หรือไม่ เมื่อคืนนี้ผู้ที่ตวัดแส้เฆี่ยนตีพวกหม่อมฉันคือหรงหมัวมัว มิใช่พวกหม่อมฉันที่ใช้แส้เฆี่ยนตีลงบนร่างของนาง”

ยังไม่รอให้ไทเฮาทรงมีพระบัญชาก็มีขันทีเข้ามารายงานอย่างรีบเร่ง “ทูลไทเฮา ฝ่าบาท…ฝ่าบาทเรียกตัวหลินซื่อไปดูพระอาการ…”

ไม่รอให้ไทเฮาเอ่ยวาจา หลินชิงเวยกล่าวว่า “รบกวนเจ้าไปกราบทูลฝ่าบาท เวลานี้ชีวิตของข้าเองก็ยังยากจะรักษาเอาไว้ได้ ไม่อาจไปถวายการรักษาฝ่าบาท”

“นี่…” ขันทีคนนั้นหันไปมองหลินชิงเวยอย่างไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

ไทเฮาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยโทสะอันเดือดดาล “เจ้าถอยออกไปก่อน อีกประเดี๋ยวเปิ่นกงจะส่งตัวหลินซื่อไปด้วยตัวเอง ไปเรียกตัวหมอหลวงมา!”

หลินชิงเวยและซินหรูยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่เคลื่อนไหว

ต่อมา หมอหลวงรีบรุดมาถึงตำหนักคุนเหอ เขามาถึงได้ไม่นานข้างนอกกลับมีเสียงขานขึ้นว่า “ฝ่าบาทเสด็จ—เซ่อเจิ้งอ๋องเสด็จ–”

สีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไปทันที นางส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับนางกำนัลในตำหนัก เหล่านางกำนัลจึงรีบเก็บไม้กระบองที่นำมาลงทัณฑ์หลินชิงเวยและซินหรูแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

สายตาของซินหรูที่มองหลินชิงเวยนั้นทั้งเจ็บปวดทั้งอ่อนแรง หลินชิงเวยรู้สึกผิดในใจอยู่บ้างจึงยิ้มกับนางอย่างอ่อนโยน

ดูเหมือนซินหรูมาติดตามนางก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีกว่าเมื่อก่อนนัก ซ้ำยังต้องมาประสบเคราะห์กรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ต่อมาไทเฮาจึงลุกขึ้นเพื่อออกไปต้อนรับ มือทั้งคู่ประสานกันอยู่บริเวณเอวและหน้าท้อง นางเดินลงมาจากที่ประทับด้วยท่าทีอันสง่างาม เมื่อเดินผ่านหลินชิงเวยร่างนั้นชะงักเล็กน้อย สายตาที่เหลือบมองลงมานั้นเป็นสายตาของสตรีใจคอโหดเหี้ยมอำมะหิตนางหนึ่ง ราวกับกำลังบอกกับหลินชิงเวยว่า—เสาหลักนี้ยิ่งใหญ่เพียงพอ

ไทเฮาร้องฮึเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินผ่านร่างของหลินชิงเวยไปยังประตูหน้าของตำหนัก

ด้านนอก เซียวจิ่นและเซียวเยี่ยนกำลังเดินผ่านประตูใหญ่ของตำหนักคุนเหอเข้ามาช้าๆ เพียงแต่เซียวจิ่นเดินไม่ได้จึงนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น มีเซียวเยี่ยนเป็นผู้เข็นเก้าอี้ตัวนั้น สีหน้าของเขาราวกับหยกสลัก คมเข้มองอาจ แม้สีหน้าจะไม่อาจปิดบังความซีดเผือดเอาไว้ได้ แต่ดูไปแล้วกลับสดใสขึ้นมากทีเดียว

ไทเฮาเดินเข้ามาด้วยตัวเอง รับเก้าอี้รถเข็นมาจากมือของเซียวเยี่ยน แล้วเข็นเข้าไปในเรือนช้าๆ “ฝ่าบาทเพิ่งจะฟื้นขึ้น ไฉนไม่พักผ่อนอยู่ในตำหนักเล่า ไฉนจึงเสด็จมาที่เปิ่นกงรวดเร็วเช่นนี้?”

เซียวจิ่นกล่าว “เจิ้นนอนหลับใหลไม่ได้สติมาหลายวันจึงไม่ได้มาถวายพระพรเสด็จแม่ เวลานี้ตื่นขึ้นแล้วจึงออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ย่อมส่งผลดีต่อร่างกาย”

ใบหน้าแข็งเกร็งของไทเฮาหัวเราะออกมาสองครั้งแล้วปล่อยให้ผ่านไปอย่างฝืนๆ

เซียวจิ่นกล่าวอีกว่า “เจิ้นได้ยินว่าหลินเฟยผู้ถวายการรักษาเจิ้นเมื่อวานนี้อยู่กับเสด็จแม่ที่นี่?”

สีหน้าของไทเฮาไม่น่าดูอยู่บ้างขณะตรัสว่า “นางอยู่ในตำหนักของเปิ่นกงจริงๆ”

“เช่นนั้น ไฉนไม่เห็นนางออกมาเล่า?”

น้ำเสียงของไทเฮาเย็นชาลงเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้หลินซื่อถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น เมื่อวานเพิ่งจะออกมานางก็ผลักจ้าวกุ้ยเหรินตกน้ำ เมื่อคืนเปิ่นกงจึงนำตัวหลินซื่อมายังตำหนักคุนเหอเพื่อให้นางได้สำนึกผิด ไหนเลยจะคาดคิดว่านอกจากนางไม่ปรับปรุงตัวแล้วยังมีความประพฤติเลวร้ายลงกว่าเมื่อก่อนอีกถึงกับสังหารหมัวมัวคนสนิทของเปิ่นกง!”

เซียวจิ่นขมวดคิ้ว เขาตื่นตะลึงเล็กน้อย “ยังมีเรื่องเช่นนี้? เช่นนั้นเสด็จแม่เรียกตัวหมอหลวงมาเพื่อทำการใดอีกเล่า?”

ไทเฮาหรี่ตาลงและกล่าวว่า “หลินซื่อเจ้าเล่ห์สับปลับยิ่งนัก เปิ่นกงจึงให้หมอหลวงมาพิสูจน์สาเหตุการตายของหรงหมัวมัว ดูว่านางยังจะพูดอะไรได้อีก” นางปรับสีหน้าให้อ่อนโยนลงกล่าวว่า “จิ่นเอ๋อร์ อาการป่วยของเจ้าเพิ่งจะกระเตื้องขึ้นไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูสิ่งของสกปรกเหล่านั้น ไม่สู้รออยู่ด้านนอกนี้กระมัง เปิ่นกงไม่มีทางให้ร้ายคนดี และไม่มีทางเมตตาคนชั่ว”

เซียวจิ่นกลับกล่าวว่า “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นเรื่องธรรมดา เจิ้นเจ็บป่วยมานาน มีประสบการณ์อยู่บ้าง เจิ้นเข้าไปพร้อมเสด็จแม่ก็แล้วกัน”

ไทเฮาหันไปมองเซียวเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เซียวเยี่ยนไม่เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว สีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์และความรู้สึก ไทเฮาได้แต่เข็นเซียนจิ่นเข้าไปพร้อมกันอย่างจนใจ เซียวเยี่ยนตามมาข้างหลัง เข้าไปในห้องโถงใหญ่

หลินชิงเวยและซินหรูคุกเข่าอยู่ด้านข้าง แสงสว่างจากช่องประตูแปรเปลี่ยนด้วยมีเงามืดทาบทับ หลินชิงเวยรู้ว่ามีคนเข้ามาแล้วแต่นางกลับไม่ได้เงยหน้าขึ้นและไม่ได้ช้อนตาขึ้นมอง

ดวงหน้าและดวงตาทั้งคู่ของนางที่ก้มลงครึ่งๆ นั้นสงบนิ่ง บาดแผลที่ปรากฏตามร่างกายนั้นชัดเจนยิ่งยวด กระโปรงผ้าฝ้ายของนางเต็มไปด้วยรอยเลือด ร่องรอยการถูกเฆี่ยนตีอย่างโหดเหี้ยมปรากฏชัดเจนเป็นทางยาวมาถึงบริเวณลำคอระหงของนาง

สายตาของเซียวเยี่ยนหม่นลง ทว่าไม่ได้แสดงออกอะไร

เขาและเซียวจิ่นประทับนั่งลง

เซียวจิ่นมองหลินชิงเวย เขาไม่รู้สึกคุ้นเคยกับหลินชิงเวย สตรีนางนี้เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งสำหรับเขา เขารู้เพียงว่านางเป็นนางสนมที่ตนแต่งเข้ามาเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล เป็นบุตรสาวคนโตของสกุลหลิน ทว่าเพียงไม่กี่วันก็ถูกส่งตัวเข้าไปกักขังในตำหนักเย็นด้วยสาเหตุคบชู้สู่ชาย

เขาไม่ชมชอบนางและไม่ได้รังเกียจนางเช่นกัน เห็นนางแม้จะคุกเข่าอยู่บนพื้นทว่าแผ่นหลังนั้นเหยียดตรงแต่ไม่ได้ดูต่ำต้อย

เมื่อคืนขณะที่หลินชิงเวยทำการรักษาเซียวจิ่น แม้เซียวจิ่นจะตกอยู่ในสภาพสะลึมสะลือไม่ได้สติ แต่เขายังคงมีความรู้สึกเลือนรางอยู่บ้าง เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เข็มเงินแทรกผ่านผิวหนังเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของเขา ปลายเข็มอันเย็นเยียบและความอ่อนโยนนั้นตวัดผ่านร่างของเขา และเสียงใสกังวานสงบนิ่งที่ดังขึ้นริมหู

ทว่าอย่างไรก็ไม่สมควรมีสภาพอเนจอนาถที่เต็มไปด้วยรอยเลือดเช่นนี้

คิ้วของเซียวจิ่นขมวดแน่นขึ้น ถามว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดนางจึงมีแต่บาดแผลทั่วร่าง?”

ไทเฮากล่าวเสียงเย็น “ก็แค่นางสนมชั้นต่ำที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง ทำความผิดเช่นนี้ เปิ่นกงไว้ชีวิตนางถือว่าเป็นความเมตตาอย่างที่สุดแล้ว”