เฉิงสวี่จึงคิดกับตัวเองว่าตนต้องขอโทษโจวเสาจิ่นสักครั้งถึงจะถูก 

 

 

เขาลอบมองไปที่ด้านหลัง 

 

 

ทว่ากลับเห็นโจวเสาจิ่นนั้นยังคงก้มหน้าก้มตาเดินตามอยู่ด้านหลังของเขาห่างๆ เช่นเดิม 

 

 

อยู่ๆ เขาก็คิดเล่นๆ ขึ้นมาว่า นางเดินแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะหกล้มหรือไม่ หากว่านางหกล้มแล้ว ไม่รู้ว่านางจะเจ็บจนร้องไห้หรือจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากนั้นปีนขึ้นมาแล้วเดินต่อไปกันแน่…อย่างไรก็ตาม ด้วยนิสัยของนาง เกรงว่าจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากนั้นปีนขึ้นมาแล้วเดินต่อไปเสียมากกว่า…ถ้าตนวิ่งไปประคองนางในเวลานั้น ไม่รู้ว่านางจะผลักตนออกด้วยความอับอายและกรุ่นโกรธหรือไม่…ไม่รู้ว่าตอนที่นางโกรธนั้นจะมีท่าทางอย่างไร จะโกรธจนหน้าแดงจมูกแดง หรือว่าจะทำหน้าบึ้งแต่ก็เครือไปด้วยน้ำตากันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่งดงามมากเป็นแน่ 

 

 

เฉิงสวี่ครุ่นคิด และหันกลับไปมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นเพียงทำเสมือนกับว่าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ท่องอยู่ในใจไม่หยุดว่า ‘หาใช่กระจกที่สว่างสดใส ใยคนต้องกังวลโดยไม่จำเป็น’ 

 

 

เฝ่ยชุ่ยกลับสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เสียใจจนอยากจะตบหูตัวเองทั้งสองข้าง 

 

 

หากว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวตามมาด้วยก็คงจะดี…ตอนนี้ตนควรจะทำอย่างไรดี? 

 

 

ท่ามกลางความเงียบอย่างผิดปกตินั้น มีภูเขาเล็กลูกหนึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าสายตาของพวกนาง มีทางเดินหินคดเคี้ยวขึ้นไป ข้างทางเป็นชะง่อนผาขรุขระทรงแปลกประหลาด เถาวัลย์เขียวมรกตเป็นชั้นๆ ต้นไม้เขียวปกคลุมพระอาทิตย์เอาไว้ ดอกไม้ป่าสีขาวที่ไม่รู้จักชื่อกำลังเบ่งบานสูงๆ ต่ำๆ อยู่ทั่ว เป็นภูเขาที่น่าหลงใหลลูกหนึ่ง 

 

 

เฉิงสวี่ชี้ไปที่ยอดเขา “ที่นั่นคือเรือนฉางชุน” 

 

 

โจวเสาจิ่นมองเห็นชายคาสีเทาอยู่ลางๆ  

 

 

นางหยุดเท้าลง ถามขึ้นว่า “เจ้าให้ต้าซูลงมาก็แล้วกัน!” 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปิดปากพูดกับเฉิงสวี่ก่อน น้ำเสียงนุ่มนวล ราวกับขนมรังไหม หวานไปถึงในใจของผู้คน 

 

 

เฉิงสวี่ตะลึงงันอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

สีหน้าของโจวเสาจิ่นเคร่งขึ้นเล็กน้อย 

 

 

สติของเฉิงสวี่กลับมา ชั่วครู่นั้นผิวหน้าก็ร้อนขึ้น รีบกล่าวขึ้นว่า “แจกัน ‘คนงามใต้จันทรา’ ใบนั้นเป็นราชวงศ์ก่อนที่พระราชทานให้กับตระกูลเฉิงของพวกเรา ในวันนี้ถึงแม้ว่าจะเปรียบไม่ได้กับเมื่อก่อนแล้ว แต่ที่มีเหลือรอดมาก็ไม่ถึงสองสามใบ จึงถือว่ามีค่ามาก ที่ตรงนี้ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง หากว่าทำแตกขึ้นมาจะทำอย่างไร ที่เรือนฉางชุนไม่เพียงมีโต๊ะและเก้าอี้ ยังมีอ่างน้ำทองแดง สบู่หอม และน้ำทั้งเย็นและร้อน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าโจวเสาจิ่นกำลังกังวลอะไรอยู่ เขาเข้าใจได้ในทันใด จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ยังมีสาวใช้อีกสองคน” ยังกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะไม่เชื่อ จึงกล่าวอีกว่า “นอกจากนี้ ยังมีเฝ่ยชุ่ยอีกคน?” 

 

 

เฝ่ยชุ่ยที่ปรารถนาเพียงให้หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “จริงด้วยเจ้าค่ะคุณหนูรอง ข้าจะไปกับท่านตลอดทางเจ้าค่ะ” 

 

 

อย่างไรก็ตาม ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้ลั่นวาจาเอาไว้แล้ว หากไม่สามารถเอาตราประทับชิ้นนั้นออกมาได้ เลวร้ายที่สุดก็ให้ทุบแจกันใบนั้นเสีย…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้คุณหนูรองตระกูลโจวกลับไปที่ลานเปิดโล่งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้นถึงจะถูก! 

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิด จากนั้นยื่นมือไปที่เฝ่ยชุ่ย เอ่ยขึ้นว่า “ทางเดินกรวดหินนี้เดินไม่สะดวกนัก เจ้าช่วยจับข้าไว้หน่อยก็แล้วกัน” 

 

 

เฝ่ยชุ่ยมองทางเดินกรวดหินที่เป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นแล้วก็ประคองโจวเสาจิ่นไปเงียบๆ 

 

 

โจวเสาจิ่นจึงมองไปที่เฉิงสวี่ 

 

 

เฉิงสวี่ถึงได้สติกลับมา กล่าวซ้ำๆ ขึ้นว่า “เจ้าตามข้ามา!” ก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นไปบนทางเดินหิน 

 

 

โจวเสาจิ่นและเฝ่ยชุ่ยเดินตามหลังของเขาไป 

 

 

ตามความสูงของพื้นดินที่ลาดชันขึ้น ภูเขาที่ขึ้นๆ ลงๆ ศาลาที่สูงๆ ต่ำๆ และหลังคาเล็กใหญ่ต่างๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง นางมองเห็นแม้กระทั่งร่างคนเล็กๆ ที่สวมชุดแดงบ้าง เขียวบ้าง อยู่บนระเบียงหมู่ตัน 

 

 

นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าซอยจิ่วหรูจะกว้างใหญ่ขนาดนี้ 

 

 

ลมยามเช้าปะทะเข้าที่หน้า ในตาเต็มไปด้วยสีเขียวมรกต โจวเสาจิ่นรู้สึกคลายกังวลและเบิกบานใจ ค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลง ในดวงตามีรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและงดงาม 

 

 

เฉิงสวี่เห็นรอยยิ้มนั้นแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาทั้งหน้าไม่ได้ เขาเอ่ยขึ้นว่า “น้องสาวรองตระกูลโจว ทิวทัศน์ของที่นี่ไม่เลวเลยใช่หรือไม่” 

 

 

ในน้ำเสียงนั้นแฝงเอาไว้ด้วยคำประจบอย่างรู้สึกผิด 

 

 

เฝ่ยชุ่ยทนไม่ได้มองตรงไป 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ให้ความสนใจเช่นเดิม 

 

 

เฉิงสวี่กลับพึงพอใจเป็นอย่างมาก 

 

 

มองจากมุมของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าโจวเสาจิ่นจะไม่พูดอะไรเลยมาโดยตลอด แต่สีหน้าที่เคร่งขรึมก่อนหน้า กับการแสดงออกในตอนนี้กลับเริ่มอ่อนลงมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ต้องการเวลาในการทำความรู้จักกัน เขาเพียงต้องอดทนและยืนหยัดพูดจาดีๆ ด้วย ถึงแม้ว่าโจวเสาจิ่นจะมีหัวใจดั่งหินผาก็คงมีวันที่แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนลงได้ 

 

 

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมา พูดคนเดียวต่อไปว่า “น้องสาวรองตระกูลโจว จริงๆ แล้วเจ้าควรจะออกมาเดินเล่นบ้างถึงจะถูก เมื่อก่อนตอนที่พี่สาวของข้ายังอยู่บ้าน ก็มาปีนเขาที่นี่บ่อยๆ เวลาที่เจ้าไม่มีอะไรทำก็สามารถชวนพี่สาวใหญ่ตระกูลโจวมาด้วยกันได้ จริงด้วย อีกไม่กี่วันตระกูลกู้จะจัดงานเลี้ยงบทกวี เจ้าอยากไปหรือไม่ ข้าให้น้องสาวตระกูลกู้ส่งบัตรเชิญมาให้เจ้าดีหรือไม่” 

 

 

ตอนนี้โจวเสาจิ่นเข้าใจแล้วว่าคนที่ถูกเรียกว่าพี่ชายตระกูลกู้นั้นก็คือตระกูลของปรมาจารย์กู้ชิงหงผู้เป็นอาจารย์ของกัวหยวนเซิงบิดาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว 

 

 

เนื่องจากเฉิงสวี่เรียกคนจากตระกูลกู้ว่าพี่ชาย กล่าวได้ว่าตระกูลกู้กับตระกูลกัวนั้นสนิทนสนมกันยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ตระกูลเฉิงกับตระกูลกู้ถึงกลายมาเป็นมิตรที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน แต่วันนี้ที่เป็นงานมหาวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรอง ตระกูลกู้ต่างก็ส่งคนมาร่วมอวยพร แต่ทำไมถึงไม่มีสตรีจากตระกูลกัวออกมาร่วมด้วยเลย เป็นเพราะบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่มีคนหรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นกันแน่นะ? 

 

 

โจวเสาจิ่นฟุ้งซ่านอยู่ในห้วงความคิด รู้สึกหดหู่อยู่ในใจเล็กน้อย 

 

 

เฉิงสวี่กับพี่ชายและน้องสาวตระกูลกู้สนิทสนมกันขนาดนี้ แล้วทำไมในชาติก่อนถึงไม่ให้ความสำคัญกับน้องสาวตระกูลกู้เลย? ทำไมถึงลากนางลงน้ำได้? 

 

 

เฉิงสวี่เองก็รู้สึกหดหู่เช่นกัน 

 

 

เมื่อกี้โจวเสาจิ่นยังร่าเริงมากอยู่เลย ทำไมผ่านไปเพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็เคร่งขึ้นอีกแล้ว…ไม่รู้ว่าคำพูดประโยคไหนของตนทำให้นางไม่พอใจ…อารมณ์ของนางแปรปรวนเกินไปแล้ว! 

 

 

เฉิงสวี่ลอบถอนหายใจ 

 

 

โชคดีที่มาถึงเรือนฉางชุนแล้ว 

 

 

กำแพงสีขาวขุ่น ประตูจันทราสีดำเปิดกว้าง สาวใช้ที่ยังอยู่ในวัยเด็กผู้หนึ่งยืนเขย่งเท้าเฝ้ามองอยู่ที่ด้านหน้าของประตูจันทรา 

 

 

เมื่อเห็นพวกเขา สาวใช้ก็วิ่งเข้าไปอย่างยินดีทันที วิ่งไปด้วยและตะโกนไปด้วยว่า “คุณชายมาแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

ทันใดนั้นก็มีสาวใช้อายุประมาณสิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่งออกมาต้อนรับ 

 

 

นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีชมพูเงินลายพุ่มไม้เหริ่นตงสีเหลือง หน้าตาสวยงามและอ่อนหวาน 

 

 

เพียงแค่มองโจวเสาจิ่นก็จำได้ว่านางคืออวี้หรูผู้เป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายของเฉิงสวี่ 

 

 

ไม่ใช่ ตอนนี้นางยังไม่ใช่สาวใช้ใหญ่ข้างกายของเฉิงสวี่ ตอนนี้คนที่เป็นสาวใช้ใหญ่ข้างกายของเฉิงสวี่คือปี้หรู จนกระทั่งปี้หรูได้รับการปล่อยตัวให้เป็นอิสระแล้ว อวี้หรูถึงได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นสาวใช้ใหญ่ 

 

 

นางคือคนที่เฉิงสวี่ไว้ใจ 

 

 

ชาติก่อน เวลาที่ตนถูกหยวนซื่อลงโทษ อวี้หรูมักจะไปบอกให้เฉิงสวี่ทราบ จากนั้นเฉิงสวี่จะหาข้ออ้างมาหา ทำให้หยวนซื่อจำต้องปล่อยนางไป จนผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง หยวนซื่อก็จับได้ หากไม่ใช่ว่าได้เฉิงสวี่ช่วยเอาไว้ อวี้หรูเกือบจะโดนหยวนซื่อขายออกไปแล้ว 

 

 

อารมณ์ความรู้สึกของโจวเสาจิ่นยุ่งเหยิงซับซ้อนขึ้น 

 

 

ทว่าอวี้หรูกลับไม่รู้อะไรเลย ยิ้มร่าเริงพลางขยับออกไปทำความเคารพทั้งสามคน กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ของทุกอย่างเตรียมเอาไว้พร้อมหมดแล้ว เพียงรอให้คุณหนูรองมาลองดูว่าจะสามารถเอาของออกมาได้หรือไม่เท่านั้นเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้นาง จากนั้นเดินเข้าประตูจันทราไป 

 

 

ด้านหน้าเป็นห้องข้างขนาดห้าห้อง บานประตูสีดำลายดอกเหมยน้ำแข็งร้าวเลี่ยมด้วยกระจกใสทั้งบาน ยามแสงอาทิตย์ส่องผ่านผิวหน้า จะเปล่งประกายแวววาว ราวกับอัญมณีที่ระยิบระยับ 

 

 

แต่ว่าที่นี่เป็นเพียงห้องที่ตระกูลเฉิงใช้สำหรับรับรองแขกคนสำคัญ นอกจากนี้แล้วก็เป็นห้องที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก 

 

 

พอเดินเข้าไป ด้านหน้าเป็นฉากกั้นสิบสองบานพับสีดำเลี่ยมด้วยทองเป็นลายกลุ่มนางสวรรค์ ทั้งสี่ด้านวางเอาไว้ด้วยเก้าอี้มีเท้าแขนสีดำกับโต๊ะวางน้ำชาและดอกไม้สีดำเลี่ยมทอง เนื่องจากไม่มีดอกไม้วางตกแต่งเอาไว้ ถึงแม้ว่าทั้งห้องโถงจะสะอาดและเรียบร้อยแต่ก็เงียบเหงาและขาดความมีชีวิตชีวา 

 

 

ต้าซูที่กำลังยืนอุ้มแจกันหยกสีขาวอยู่ที่ด้านหน้าของฉากกั้นนั้นมีอาการร้อนรน 

 

 

เมื่อเห็นเฉิงสวี่ เขาก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ตะโกนขึ้นเสียงหนึ่งว่า “คุณชายใหญ่” นำแจกันไปวางบนโต๊ะน้ำชาที่อยู่ข้างๆ 

 

 

อวี้หรูกับสาวใช้อีกหนึ่งคนนำน้ำกับสบู่หอมเข้ามา 

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงสวี่และคนอื่นๆ ไม่เหมือนกับว่าเสแสร้งแกล้งทำ จึงเบาใจลง จากนั้นเดินออกไปสำรวจแจกันใบนั้น 

 

 

กลมและอวบอ้วน วาววับราวกับหยก เสมือนกับพระจันทร์ที่สว่างไสวดวงหนึ่ง 

 

 

เพียงแต่ว่าขนาดของปากแจกันนั้นยังไม่เท่ากับกำปั้นของเด็กทารก 

 

 

แต่ก็ยังสวยงามยิ่งนัก 

 

 

โจวเสาจิ่นอดใจเอาไว้ไม่ให้ยื่นมือออกไปสัมผัสแจกันใบนั้น 

 

 

อวี้หรูเปลี่ยนน้ำอุ่นเสร็จแล้วอย่างรวดเร็ว จากนั้นนำสบู่หอมเข้ามา “คุณหนูรอง ท่านทามือให้ชื้นและลื่นด้วยสิ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ! เมื่อครู่พวกเสี่ยวเอ้อต่างก็ไม่สามารถยื่นเข้าไปได้เลยสักคน” น้ำเสียงค่อนข้างกังวล 

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า ใช้สบู่หอมถูมือ จากนั้นลองใช้มือขยายแจกันออก 

 

 

แต่หลายครั้งแล้วก็ยังไม่สำเร็จ 

 

 

โจวเสาจิ่นให้อวี้หรูนำน้ำร้อนเข้ามา 

 

 

ยิ่งมือนุ่มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าไปได้ง่ายขึ้นมากเท่านั้น 

 

 

นางตัดสินใจลองเป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เฝ่ยชุ่ยกังวลเล็กน้อย 

 

 

บางครั้งสามารถเข้าไปได้ง่าย แต่ออกมายาก 

 

 

นางมองเฉิงสวี่ที่อยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่ง ปรารถนาจะกล่าวแต่ก็หยุดไป 

 

 

แต่ดูเหมือนว่าเฉิงสวี่จะรู้สึกตัว รีบตะโกนห้ามอวี้ปี้เอาไว้ กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “อย่างไรก็ห้ามฝืนเด็ดขาด หรือไม่ ให้ข้าลองคิดหาวิธีอื่นดูเถอะ! 

 

 

โจวเสาจิ่นโกรธเป็นอย่างมาก 

 

 

ถ้าหากว่าเจ้ามีวิธีอื่นแล้ว ยังจะเรียกข้ามาอีกทำไม 

 

 

นางมองเฉิงสวี่ไม่วางตา 

 

 

เฉิงสวี่ที่อยู่ในสายตาของโจวเสาจิ่นนั้นลูบจมูกครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความกระอักกระอ่วน กล่าวขึ้นว่า “ข้า ข้าเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้น่ะ” 

 

 

อวี้หรูและสาวใช้ผู้นั้นมองเฉิงสวี่ด้วยความประหลาดใจ ก้มหน้าต่ำจนคางเกือบร่วงหล่นลงมา 

 

 

ต้าซูยิ่งแล้วใหญ่ผินหน้าหนีไปอีกด้านหนึ่ง 

 

 

เฝ่ยชุ่ยที่เคยเห็นมาแล้วหลายครั้งพอจะมีภูมิคุ้มกัน จึงหาทางลงให้เฉิงสวี่ กล่าวว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่นึกวิธีดีๆ อะไรได้แล้วหรือเจ้าคะ” 

 

 

เฉิงสวี่ยิ้มพลางกล่าว “พวกเจ้าดูข้า” 

 

 

เขาคว่ำแจกันใบนั้นลง 

 

 

มีเสียงติงๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นกวางหมอบทองแดงครึ่งตัวก็โผล่ออกมาจากปากแจกัน 

 

 

แต่ก็ติดอยู่ที่ปากแจกันพอดิบพอดี 

 

 

เฉิงสวี่ยิ้มพลางกล่าว “ข้าคิดว่าในเมื่อของชิ้นนี้สามารถเข้าไปได้ก็ย่อมสามารถออกมาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น” เขาสั่งการอวี้หรู “เจ้าไปหยิบเชือกแดงมาเส้นหนึ่ง” 

 

 

ไม่รู้ว่าอวี้หรูไปหาเชือกแดงมาจากที่ไหน 

 

 

เฉิงสวี่คิดจะสอดเชือกแดงผ่านเข้าไปในรูระหว่างกีบของกวางหมอบชิ้นนั้น 

 

 

เช่นนี้ก็จะสามารถตรึงตราประทับเอาไว้แน่นได้ 

 

 

แต่มือของเฉิงสวี่มีอาการสั่นเล็กน้อย หลายต่อหลายครั้งที่เชือกแดงเส้นนั้นปัดผ่านกวางหมอบไป 

 

 

นี่เป็นเพราะไม่เคยจับเข็มกับด้ายมาก่อน 

 

 

โจวเสาจิ่นส่งสัญญาณให้เฝ่ยชุ่ย “เจ้าเข้าไปลองดูหน่อยเถอะ” 

 

 

เฝ่ยชุ่ยอยากจะรับมาทำต่อตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเฉิงสวี่ไม่ได้กล่าวอะไร นางจึงไม่อาจเสนอตัวไปช่วยได้ เวลานี้โจวเสาจิ่นออกปากให้แล้ว นางจึงยิ้มพลางเดินออกไปกล่าวขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ ให้ข้าลองดูเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

เฉิงสวี่หัวเราะร่าไปสองสามที จากนั้นยื่นเชือกแดงส่งให้เฝ่ยชุ่ย 

 

 

เฝ่ยชุ่ยลองไปสองสามครั้งแล้วก็ยังไม่สำเร็จ 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่มีทางเลือก จึงกล่าวขึ้นว่า “ให้ข้าลองดูหน่อย” 

 

 

เฝ่ยชุ่ยยื่นเชือกแดงส่งให้โจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นลองดูครู่หนึ่ง จากนั้นให้ต้าซูค่อยๆ ขยับแจกันเบาๆ เพื่อให้ตราประทับชิ้นนั้นเปลี่ยนทิศทางสองสามครั้ง ในที่สุดก็สามารถสอดเชือกแดงผ่านเข้าไปได้ท่ามกลางอาการลุ้นจนลมหายใจค้างของทุกคน 

 

 

อวี้หรูโห่ร้อง “ฝีมือเย็บปักของคุณหนูรองต้องดีมากเป็นแน่เจ้าค่ะ!” 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้ม 

 

 

เฉิงสวี่กล่าวขึ้นในทันทีว่า “ฝีมือเย็บปักของเจ้าคงจะดีมากจริงๆ! ฝีมือเย็บปักของอวี้หรูนั้นดีที่สุดในเรือนของข้า หากนางกล่าวว่าของเจ้าดี แสดงว่าย่อมต้องดีมากเป็นแน่ เช่นนั้น เจ้าทำพู่ให้ข้าสักสองสามอันได้หรือไม่ ครั้งก่อนข้าเห็นพู่ห้อยถุงหอมบนพัดของพี่ชายตระกูลกู้ทำได้ดีมาก ให้อวี้หรูช่วยทำให้ข้าอันหนึ่ง ปรากฏว่าอวี้หรูบอกว่านางทำไม่เป็น เจ้าต้องทำได้เป็นแน่” 

 

 

อวี้หรูได้ยินแล้วก็สะดุ้งโหยงอย่างช่วยไม่ได้ รีบกล่าวอย่างร้อนรนว่า “คุณชายใหญ่ คุณหนูรองเป็นผู้ใด แล้วข้าเป็นผู้ใด ท่านจะให้คุณหนูรองช่วยทำพู่ให้ท่านได้อย่างไรกันเจ้าคะ หากว่าอยากได้จริงๆ ก็ควรจะไปขอร้องจากฮูหยินผู้เฒ่าถึงจะถูกนะเจ้าคะ!” 

 

 

………………………………………………………………….