โจวเสาจิ่นเห็นชัดเจนแล้ว 

 

 

พวกเขาทั้งนายและบ่าวร่วมมือกันขุดหลุมกับดักให้ตนตกลงไป! 

 

 

นางสะบัดแขนแล้วเดินจากไป 

 

 

เฉิงสวี่รีบตามออกไป 

 

 

เฝ่ยชุ่ยมองแล้ว ลอบเปล่งเสียงหนึ่งว่า “แย่แล้ว” จากนั้นรีบตามออกไปอย่างร้อนรน ใครจะรู้ว่าอวี้หรูกลับดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้ ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “พี่เฝ่ยชุ่ย คุณชายใหญ่เพียงอยากจะคุยกับคุณหนูรองตระกูลโจวสักสองสามประโยคเท่านั้นเจ้าค่ะ” 

 

 

“เจ้าสับสนหนักแล้ว!” เฝ่ยชุ่ยทนต่อไปไม่ได้อีก ตะคอกเสียงดังใส่อวี้หรู และเตือนต้าซูว่า “หากว่าคุณชายใหญ่มีความคิดอะไร ก็ควรจะไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินตรงๆ ไปตามรังควานคุณหนูรองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร สุภาพบุรุษไม่เห็นแก่ตัว พวกเจ้าไม่ว่ากล่าวตักเตือนคุณชายใหญ่ให้ประพฤติตนอย่างซื่อตรง ตรงกันข้ามกลับรู้จักแต่เพียงประจบประแจงขอความโปรดปรานจากคุณชายใหญ่ หากว่ามีข่าวลือเสียหายอะไรออกไป พวกเจ้าบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายเหล่านี้จะทำอย่างไร ชื่อเสียงของคุณชายใหญ่อีกจะว่าอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงนายท่านใหญ่ หากว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินรู้เข้า เกรงว่าก็ไม่อาจให้อภัยได้ง่ายๆ!” 

 

 

ปกติทุกคนต่างไม่ได้รับใช้อยู่ในเรือนเดียวกัน บ่าวรับใช้ในเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามีหน้ามีตา ในอนาคตบ่าวรับใช้ในเรือนของผู้นำตระกูลก็จะมีหน้ามีตาเช่นเดียวกัน ฉะนั้นทุกคนต่างก็สุภาพต่อกันมาโดยตลอด การที่อวี้หรูถูกเฝ่ยชุ่ยตะคอกใส่หน้าในครั้งนี้ สีหน้าจึงแดงก่ำ กล่าวแย้งขึ้นว่า “พี่สาวที่แสนดี สำหรับเรื่องนี้ท่านก็ทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งเถิด! พวกข้าที่เป็นเพียงบ่าวนี้ นายว่าอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้นเจ้าค่ะ!” 

 

 

ที่แท้คุณชายใหญ่ชื่นชอบคุณหนูรองตระกูลโจวจริงๆ! 

 

 

ถึงแม้จะรู้สึกมานานแล้ว แต่เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ ก็ยังทำให้เฝ่ยชุ่ยตะลึงตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักประโยค 

 

 

อย่างไรก็ตาม ต้าซูเป็นบุรุษที่ได้เดินทางอยู่ข้างนอก จึงมีประสบการณ์มากกว่าหญิงสาวที่วันๆ เดินอยู่แต่ในห้องหอเช่นพวกนาง ฟังแล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าคิดว่าคำพูดของเฝ่ยชุ่ยกูเหนียงมีเหตุผล ข้าว่าพวกเราควรตามไปจะดีกว่า ข้าเห็นว่าถึงแม้คุณหนูรองตระกูลโจวดูอ่อนแอ แต่นิสัยกลับดื้อรั้น หากว่าคุณชายใหญ่พูดจาไม่เหมาะสมทำให้คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นั้นเคืองโกรธขึ้นมา ย่อมไม่เป็นเรื่องดีแน่ สวนแห่งนี้ก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ หากว่าเดินหลงไปคงไม่ดีแน่แล้ว! นอกจากนี้ ทางด้านเรือนซื่ออี๋ ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินอีกหลายท่านยังคงชมการแสดงงิ้วกันอยู่!” 

 

 

อวี้หรูได้ยินแล้วในใจพลันวิตกกังวล จับเฝ่ยชุ่ยเอาไว้แล้วตามออกไปพร้อมกันกับต้าซู แต่รอบด้านมีเพียงพุ่มไม้เขียวขจี ไหนเลยจะยังมีเงาของเฉิงสวี่และโจวเสาจิ่น 

 

 

ต้าซูมองไปรอบๆ กล่าวกับพวกนางว่า “พวกเจ้ารอสักครู่” มีเสียงไถลหนึ่งจากนั้นปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่สูงที่สุดต้นหนึ่ง 

 

 

บนทางเดินหินที่ร่มรื่นไปด้วยพุ่มไม้เขียวขจีนั้น โจวเสาจิ่นกับเฉิงสวี่กำลังเดินตามกันไปบนทางเดินที่มุ่งไปทางเรือนซื่ออี๋ 

 

 

ต้าซูโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เร่งให้เฝ่ยชุ่ยกับอวี้หรูเดินไปทางทิศตะวันออก 

 

 

โจวเสาจิ่นยังคงรู้สึกอับอายและขุ่นเคืองไม่จบ 

 

 

“น้องสาวทำไมถึงต้องเลี่ยงข้าด้วย เรื่องเมื่อคราวก่อนข้าก็ขอโทษไปแล้วไม่ใช่หรือ” เฉิงสวี่พูดไม่หยุดอยู่ด้านหลังของนาง “หากว่าเจ้ายังคงเคืองโกรธอยู่ในใจ ขอเพียงน้องสาวเอ่ยออกมา ต่อให้ขึ้นภูเขาดาบหรือลงทะเลไฟ หากข้ามีข้ออ้างแม้เพียงครึ่งประโยค คราวหน้าที่พบข้าเจ้าก็เพียงเดินผ่านไปได้เลย” ยังเอ่ยถามเสียงเบาว่า “วันนั้นข้าตั้งใจไปหาน้องสาว ทำไมน้องสาวถึงรีบจากไปก่อนเร็วขนาดนั้นด้วย” 

 

 

ดังนั้นเขาจึงเรียกตนออกมาช่วยเขาดึงตราประทับนั่นต่อหน้าธารกำนัล เพียงเพื่อจะบอกตนว่า ไม่ว่าตนจะหลีกเลี่ยงอย่างไรก็อย่าคิดว่าจะหลีกเลี่ยงเขาไปได้อย่างนั้นหรือ 

 

 

โจวเสาจิ่นโกรธจนผ่านครู่ใหญ่แล้วก็ยังพูดอะไรไม่ออกสักประโยค 

 

 

ทว่าเฉิงสวี่ยังคงกล่าวต่อว่า “ความจริงเรื่องตราประทับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร เพียงอยากเรียกน้องสาวออกมาเดินเล่น ให้น้องสาวได้ผ่อนคลายเท่านั้น แจกัน ‘คนงามใต้จันทรา’ ใบนั้นสวยหรือไม่ มันเป็นหนึ่งในแจกันที่ท่านย่าของข้าโปรดปรานมากที่สุด โดยปกติจะเก็บเอาไว้ในคลังเก็บสมบัติ ข้าต้องใช้ความพยายามไปมากกว่าจะเอาออกมาได้ ที่บ้านของข้ายังมีแจกันอีกใบ เป็นเครื่องดินเผาจวินเหยา เนื่องจากมีสีแดงม่วง จึงได้ชื่อว่า ‘กุหลาบม่วง’ เจ้าว่าน่าสนใจหรือไม่ แจกันใบนั้นสวยงามกว่าใบนี้เสียอีก ท่านแม่ของข้าเคยขอท่านย่าเพื่อใช้เป็นสินสอดให้กับพี่สาวของข้า แต่ว่าในท้ายที่สุดท่านพ่อของข้าช่วยหาแจกันติ้งเหยามาให้พี่สาวได้คู่หนึ่ง ท่านแม่ของข้าถึงได้ยอมลงให้” 

 

 

กระต่ายเมื่อเข้าตาจนแล้วก็สามารถกัดคนได้เช่นกัน 

 

 

โจวเสาจิ่นทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ หมุนตัวกลับมากล่าวกับเฉิงสวี่ว่า “ทำไมเจ้าถึงได้เป็นเหมือนวิญญาณร้ายคอยตามรังควานข้าด้วย ที่บ้านของเจ้าจะมีแจกันอะไรเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่อยากเห็นแล้วก็ไม่อยากได้พวกมันด้วย เจ้าพูดเรื่องพวกนี้มามีสาระอะไรหรือไม่ ข้ากับเจ้าก็เลยวัยที่ชายหญิงจะนั่งด้วยกันได้ไปตั้งนานแล้ว เจ้าเองก็เป็นถึงนักปราชญ์ ทำไมถึงไม่เข้าใจหลักปฏิบัติเหล่านี้ ต่อไปเจ้าก็คุยกับข้าให้น้อยลง ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีก” 

 

 

เฉิงสวี่เป็นใคร? 

 

 

เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิง เป็นผู้สืบทอดของตระกูลเฉิงในอนาคต ทั้งยังสามารถอ่านหนังสือได้ตั้งแต่ยังเล็ก และมีหน้าตาที่หล่อเหลา…ตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าคนที่พบเจอจะไม่ได้ประจบประแจงเอาใจเขา แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำให้เขาไม่พอใจตามอำเภอใจได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฉีกหน้ากันเช่นนี้ 

 

 

ราวกับว่ามีฝ่ามือหนึ่งตบลงบนใบหน้าของเขา 

 

 

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ในใจยิ่งเหมือนกับว่าถูกแทงด้วยมีดเล่มหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

แต่เมื่อดวงตาเหลือบไปเห็นโจวเสาตจิ่นที่เห็นชัดว่าในตามีน้ำตาคลออยู่ทว่าก็ยังแสร้งทำเป็นเข็มแข็งเช่นนั้นแล้ว เท้าที่ก้าวออกไปแล้วของเขาก็หยุดชะงักลง ราวกับมีน้ำหนักถึงหนึ่งพันจิน 

 

 

“ข้า ข้าไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น” เขาพึมพึมกล่าว ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี เพียงเกลียดที่ตนเองชอบคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้ และสูญเสียศักดิ์ศรียามอยู่ต่อหน้านาง นางตบหน้าด้านซ้ายของตน ตนก็ยังจะหันหน้าด้านขวาให้นางตบอีก 

 

 

ตนปฏิบัติกับเขาขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังอยู่ไม่ไปไหน โจวเสาจิ่นจึงเกิดโทสะในใจ กระทืบเท้าพลางกล่าว “เจ้ายังไม่รีบไปอีก! ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีกต่อไปแล้ว!” 

 

 

คำพูดที่พูดออกไป ราวกับเป็นคำพูดที่นางไม่ทันได้พูดกับเฉิงสวี่ในชาติที่แล้ว ตอนนี้ถูกนางพูดออกไปโดยไม่ทันระวัง ทำให้อารมณ์หงุดหงิดสงบลงในทันใดราวกับตะกอนในแม่น้ำได้รับการชำระล้างจนสะอาดแล้วอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เฉิงสวี่ฉุนกึก 

 

 

ตั้งแต่เด็กจนโต ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาเช่นนี้ แม้แต่บิดา ตอนที่เขายังเป็นเด็กและไม่ยอมทำการบ้าน บิดาก็ยังพูดดีๆกับเขาด้วยเหตุและผล ไม่เคยตวาดใส่เขามาก่อน 

 

 

การที่ความมั่นใจและความนับถือตัวเองถูกทำลายลงทำให้เขาโกรธจนตาแดงก่ำ อารมณ์ของเขาจึงอยู่เหนือเหตุผล กล่าวขึ้นอย่างเดือดดาลว่า “ทำไมเจ้าถึงเป็นคนเช่นนี้ ข้าดีต่อเจ้าตั้งเท่าไหร่ เจ้าไม่เพียงไม่ซาบซึ้ง ยังมาพูดจาไม่ดีใส่กัน เจ้ามันก็แค่คนที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าแต่กลับเกรงกลัวคนที่แข็งแรงกว่าเท่านั้น! ไม่แปลกใจที่เฉิงลู่ผู้นั้น เดี๋ยวก็พูดต่อหน้าเฉิงจวี่ว่ามารดาของเขาชื่นชอบเจ้ายิ่งนัก เพียงรอให้เขาสอบผ่านข้อสอบราชสำหนักแล้วก็จะสามารถไปสู่ขอกับตระกูลโจวได้ เขามอบว่าวที่ทำด้วยตัวเองให้เจ้าหลายตัว เจ้าชื่นชอบมันยิ่งนัก ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูร้อนก็จะนำออกไปปล่อยเล่น เดี๋ยวก็พูดว่าบิดาของเจ้าตอนนี้เป็นขุนนางยศผิ่นขั้นสี่เจิ้งแล้ว ไม่รู้ว่าจะดูแคลนเขาหรือไม่ แต่เขากับเจ้านั้นเป็นคู่รักในวัยเด็กกัน ที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เขาไม่สามารถทำให้เจ้าผิดหวังได้ ถึงแม้ว่าสถานะทางบ้านอาจจะไม่ค่อยเหมาะสม แต่เขาก็ต้องลองดูสักครั้งถึงจะรู้” 

 

 

“เจ้าพูดถึงอะไร” คำพูดอย่างไม่ระวังของเฉิงสวี่ทำให้โจวเสาจิ่นราวกับถูกสายฟ้าฟาด เสียงดังอื้ออึงอยู่ในหู ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้สติกลับมา 

 

 

ดวงตาของเฉิงสวี่มองใบหน้าของโจวเสาจิ่นจากที่เป็นสีแดงเรื่อน่ารักนั้น ในพริบตาเดียวแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดราวกับหิมะ และราวกับดอกไม้ดอกหนึ่งที่ถูกพายุฝนห่าใหญ่พัดให้ร่วงหล่น ตอนนี้เองถึงรู้สึกตัวว่าตนหลุดพูดความลับออกไป ตอนนั้นทั้งละอายใจและรู้สึกผิด กล่าวขึ้นว่า “ข้า ข้าพูดไร้สาระ เจ้า เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย” 

 

 

พูดไร้สาระ! 

 

 

คนอื่นอาจจะพูดไร้สาระ! 

 

 

แต่เฉิงสวี่ไม่ใช่! 

 

 

โดยสถานะและตำแหน่งของเขาแล้ว ถึงแม้จะชื่นชอบตนก็ไม่คุ้มค่ากับการยกข้ออ้างเช่นนี้ไปใส่ร้ายเฉิงลู่ 

 

 

ที่แท้แล้วเฉิงลู่ก็มองนางเช่นนี้ 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ นางล้วนไม่เคยเป็นคนเอ่ยปากพูดกับเขาก่อนเลยสักประโยค และก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ทำให้เขาต้องเสียใจมาก่อน แล้วทำไมเฉิงลู่ต้องทำเช่นนี้กับนางด้วย 

 

 

เฉิงสวี่ก็ด้วย 

 

 

หรือว่าสาเหตุที่เฉิงสวี่กลั่นแกล้งนางในชาติก่อน ก็เป็นเพราะเฉิงลู่? 

 

 

ไม่เช่นนั้นตนที่เป็นคนที่ไม่เป็นที่รู้จักและอาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่นผู้หนึ่ง ส่วนเฉิงสวี่ผู้ที่ทุกคนให้ความสนใจ เป็นทายาทที่มีอนาคตรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉิงในวันข้างหน้า จะสังเกตเห็นตนได้อย่างไร 

 

 

โจวเสาจิ่นโกรธจนเจ็บไปทั้งใจ นางจับต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ข้างทาง จากนั้นล้มลงไปอย่างอ่อนแรงต่อหน้าเฉิงสวี่ 

 

 

ขณะที่มองดูโจวเสาจิ่นที่ราวกับถูกตีอย่างแรงนั้นแล้ว เฉิงสวี่ก็ทั้งรู้สึกผิดและเสียใจ ไหนเลยจะกล้าพูดอะไรอีก แต่ก็ทั้งเป็นกังวลและเจ็บปวดใจไปด้วย ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดก็ก้าวออกไปข้างหน้า เปล่งเสียงเบาว่า “น้องสาวรอง” จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าควรจะแจ้งนายหญิงผู้เฒ่าสักหน่อย หรือไม่เจ้าก็ปรึกษากับพี่สาวก็ได้ กล่าวคือไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าคนขาวสะอาดไม่ว่าอย่างไรก็คือคนขาวสะอาดและคนเปื้อนโคลนไม่ว่าอย่างไรก็คือคนเปื้อนโคลน แต่ว่าบนโลกใบนี้ คนที่รู้ผิดชอบชั่วดีนั้นมีน้อย หากว่าข้าไม่รู้จักน้องสาวรอง ไม่แน่ว่าก็อาจจะเชื่อคำพูดของเขาไปแล้ว” 

 

 

แล้วเขาปฏิบัติกับตนอย่างไม่เห็นแก่ตัวเลยอย่างนั้นหรือ? 

 

 

ถ้าไม่ แล้วทำไมในชาติก่อนถึงได้ทำเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเช่นนั้นออกมาได้? 

 

 

หน้าอกของโจวเสาจิ่นราวกับถูกอุดด้วยสำลี ที่ลมไม่สามารถลอดผ่านได้…เหมือนกับตอนนั้นที่ถูกเฉิงลู่บีบคอเอาไว้จนแน่น…น้ำตาของนางกลิ้งลงมาราวกับหยดน้ำค้าง นางหันไปตะโกนเสียงดังใส่เฉิงสวี่ว่า “ไปซะ! เจ้ารีบไสหัวไปซะ!” 

 

 

เฉิงสวี่อับอายยิ่ง 

 

 

แต่เขาก็ไม่กล้าจากไป 

 

 

ท่าทางเช่นนี้ของโจวเสาจิ่นน่ากลัวเกินไปแล้ว 

 

 

เขากลัวว่าหลังจากที่เขาจากไปแล้วนางจะทำเรื่องโง่ๆ อะไรออกมา 

 

 

“ก็ได้ๆๆ” นางเช็ดขอบตา “เจ้าไม่ไปใช่หรือไม่ เจ้าไม่ไป ข้าจะไปเอง!” 

 

 

ขณะที่นางพูด ก็ยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งไปทางเรือนซื่ออี๋อย่างรวดเร็ว 

 

 

ใช่แล้ว นางล้วนปฏิบัติกับตนเช่นนี้มาโดยตลอด ตนยังจะต้องตามนางไปอย่างไม่ลดละอยู่หรือ? 

 

 

เช่นนั้นตนจะกลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว? 

 

 

นอกจากนี้ทิศทางที่นางกำลังจะไปก็เป็นเรือนซื่ออี๋ 

 

 

เฉิงสวี่ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

ร่างของโจวเสาจิ่นจึงลับหายไปตรงทางโค้ง 

 

 

เฉิงสวี่เดินวนเวียนอยู่ที่เดิม 

 

 

น้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลไม่หยุด นางก้าวเท้าสูงข้างหนึ่งต่ำข้างหนึ่งมุ่งไปทางเรือนซื่ออี๋ 

 

 

ด้านหน้ามีชายและหญิงคู่หนึ่งเดินมา กำลังยื้อยุดกันอยู่ เหมือนกับว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ 

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจอย่างแรงไปทีหนึ่ง 

 

 

เพียงแค่นางร้องไห้ ตาก็จะแดงและบวมราวกับลูกเหอเถา[1] ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าเย็นมาประคบถึงจะดีขึ้น 

 

 

วันนี้ล้วนมีแขกอยู่ทั่วทุกที่ หากว่าถูกใครพบเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นบ้าง 

 

 

นางซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ข้างๆ เพ่งตามองไป ก็พบว่าชายหญิงคู่นั้นคือพานจ้าวกับพานชิง 

 

 

ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงมีปากเสียงกัน ดูเหมือนว่าพานจ้าวกำลังจะไปไหนสักที่ ส่วนพานชิงห้ามเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันด้วยเสียงเบา 

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นกำลังลังเลว่าจะออกไปทักทายดีหรือไม่นั้น เสียงของพานจ้าวกับพานชิงก็ดังขึ้นมา 

 

 

ได้ยินเพียงพานชิงที่กำลังโมโห “…ตระกูลของพวกเราก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กที่ยากไร้อะไร ดองกับตระกูลเฉิงแทนไม่ได้หรือเจ้าคะ” 

 

 

ทันใดนั้นท่าทางของพานจ้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่ยินดีอย่างมาก ริมฝีปากเม้มแน่น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอะไร ทว่าก็สามารถมองเห็นความดื้อรั้นและไม่ยินยอมของเขา 

 

 

พานชิงร้องไห้ออกมา กล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ เป็นคุณหนูรองตระกูลโจวที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านพ่อ หรือเป็นภรรยาของตระกูลเฉิงในอนาคตที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านพ่อ? ท่านไม่อาจสนใจแต่ตัวเอง ต้องคิดเผื่อท่านแม่ด้วย ท่านแม่ต้องเหนื่อยยากมานานหลายปีขนาดนี้ ผู้อื่นอาจไม่รู้ แม้แต่ท่านก็ไม่รู้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ” 

 

 

พวกเขาสองพี่น้องทะเลาะกัน แล้วเกี่ยวข้องกับตนเองได้อย่างไร 

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้เงี่ยหูฟัง 

 

 

ทว่าเสียงของพานชิงค่อยๆ เบาลงไป 

 

 

โจวเสาจิ่นกัดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า เดินผ่านใต้พุ่มไม้ที่มีหญ้าขึ้นอยู่หนาแน่นไปอย่างเงียบเชียบ 

 

 

อีกนิดเดียวก็จะเข้าใกล้พี่น้องตระกูลพานแล้ว ทว่าพวกเขาสองพี่น้องกลับแยกจากไปอย่างไม่ลงรอยกัน พานจ้าวไปทางทิศตะวันตก คลาดกับโจวเสาจิ่นไปนิดเดียว ส่วนพานชิงไปทางทิศตะวันออก มุ่งไปทางเรือนซื่ออี๋ 

 

 

…………………………………………………………………. 

 

 

 

 

 

[1] เหอเถา ลูกวอลนัท