ครั้งนี้ท่านย่าหม่าค่อนข้างรังเกียจลูกสามของนาง
ถ้าอยู่ที่บ้าน แม้ผลผลิตการเกษตรที่ได้จะไม่ดีนัก แต่เวลาครอบครัวลูกสามกลับมา นางก็ทำอาหารดีๆ ให้กินจนอิ่มอย่างเต็มที่
เพราะถึงแม้จะอดอยากอีกครั้ง แต่ก็ยังมีที่ดินทำมาหากิน
แล้วสถานการณ์ตอนนี้เล่า
ตามคำพูดที่คนกล่าวไว้ แม้กินอิ่ม ออกจากบ้านไปก็ยังต้องพกของกิน แม้ท้องฟ้าสดใสก็ยังต้องพกร่ม เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต นางจำเป็นต้องประหยัดอาหารไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน คนยี่สิบกว่าคนเหล่านี้ นางไม่อยากให้ใครต้องอดตาย
แต่นี่อะไรกัน เป็นผู้ใหญ่ โตแล้วยังเรื่องมากอีกหรือ?
ก่อนหน้าบอกว่า ท่านแม่ทำอาหารสองมื้อไม่ได้ กินโจ๊กไม่อิ่ม นางก็เปลี่ยนเป็นสามมื้อ
ตอนหลังทำงานเหน็ดเหนื่อยก็ต้องมีอาหารแห้งอื่นบ้าง นี่นางก็ทำวัววัวโถวให้แล้วไง
เดิมทีหม่าเหล่าไท่ไม่อยากทำพวกอาหารแห้ง ที่ยอมทำก็เพราะลูกสามเป็นคนเสนอ หากเป็นคนอื่นก็คงโดนด่าไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ได้เร่งรีบเดินทาง มีที่พักพิง อย่างมากก็แค่หิวนิดหน่อย ไม่ถึงขั้นอดตาย
ปรากฏผลออกมากลับตาลปัด ไม่เห็นใจกันเลยแม้แต่น้อย ไม่พอใจและยังรังเกียจวัววัวโถวที่แข็งกระด้าง แถมยังบอกว่าอมน้ำมัน
ท่านย่าหม่าอยากจะถามลูกชายของนางจริงๆ “เจ้าดูแม่ของเจ้าสิ ในกระดูกข้ามีน้ำมันอยู่หรือไม่ เจ้าลองแทะดู”
“มา ท่านแม่ ท่านตามข้ามา ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
“เจ้าไม่ต้องมาคุยกับข้า ไปทางโน้นซะ”
ซ่งฝูเซิงดึงท่านย่าหม่ามาและนำหมาฮวายัดใส่ปากท่านย่าหม่า
ปากของท่านย่าหม่าเต็มไปด้วยหมาฮวา คายออกมาก็เสียดาย พอไม่คาย กินเข้าไปก็โมโห นั่นมันน้ำมัน แป้ง ทั้งที่รู้ว่าจะต้องหลบหนีลี้ภัย สามคนบ้านนั้นยังจะทำอาหารดีๆ อีก นางบ่นมาร้อยกว่ารอบแล้ว บ่นครั้งหนึ่ง ก็ปวดใจครั้งหนึ่ง
“ท่านแม่ ท่านกินเถอะ พวกเราคงไม่ได้ลี้ภัยสำเร็จง่ายๆ ร่างกายก็จะอ่อนแอไปเสียก่อน ตอนนี้ทุกคนมีกินมีดื่มร่วมกัน ของอะไรที่มีท่านก็อย่าได้ประหยัดไปนักเลย พวกผักดอง เนื้อสัตว์ ซอสปรุงรส กระต่ายป่าครึ่งตัว ท่านทิ้งไว้นานจะขึ้นราเปล่าๆ สู้กินลงท้องไปไม่ได้ ข้าบอกไปแล้วว่าให้ภรรยาข้าเป็นคนทำอาหาร ทำไมท่านถึงไม่ฟัง”
ซ่งฝูเซิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่ ท่านเก็บความรู้สึกไว้ในใจ ข้าจะไม่มีวันทำให้ท่านอดอยาก หากข้ามีกิน ท่านก็ต้องมีเช่นกัน คนเราควรต้องกินน้ำมันกับเกลือบ้างในแต่ละวัน”
ท่านย่าหม่าจะยอมฟังไหมซ่งฝูเซิงก็ไม่แน่ใจ เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงขนาดใส่อารมณ์ แต่เมื่อหันกลับมามอง แม่ของเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นทำอาหาร เขารู้ว่าแม่กังวลกับเรื่องในอนาคตมากจนเกินไป แม้คอยห้ามปราบก็ไม่สำเร็จ
พวกเด็กๆ ได้หมาฮวาไปครึ่งท่อน โดยมีซ่งฝูเซิงเป็นคนจัดการ ส่วนเฉียนเพ่ยอิงเป็นคนแบ่งอาหาร
เมื่อแบ่งส่วนมาถึงครอบครัวของซ่งฝูไฉ ต้าหลังกับเอ้อร์หลัง เด็กสองคนที่กำลังเติบใหญ่ก็ไม่ต้องการ ซ่งฝูไฉก็บอกว่าไม่ต้องให้พวกเขา เก็บไว้ให้พั่งยากับหมี่โซ่วกิน
เฉียนเพ่ยอิงไม่เห็นด้วย “มีอยู่ไม่เท่าไร แค่ครึ่งอัน รับไปซะ ต้าหลังกับเอ้อร์หลังยังเป็นเด็กในสายตาของข้า จะมากจะน้อยแค่ไหนก็กินเสียหน่อย ในท้องจะได้มีน้ำมันบ้าง”
ต้าหลังนำหมาฮวาที่ได้รับมาครึ่งหนึ่งยื่นให้เหอซื่อ “ท่านแม่ ท่านกินเถอะ สองวันมานี้ท่านไม่พูดไม่จาเลย”
เหอซื่อเช็ดน้ำตาไม่หยุด ปฏิเสธไม่เอาหมาฮวา
เอ้อร์หลังนำหมาฮวาครึ่งหนึ่งยื่นใส่ปากซ่งฝูไฉ “ท่านพ่อ ท่านก็กินเถอะ”
ซ่งฝูไฉตบหลังลูกชายคนที่สองและหันไปมองเหอซื่อ ตั้งแต่เริ่มเดินทางมาจนถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาพูดออกมาด้วยท่าทีโอนอ่อน
“อย่ามัวแต่คิดถึงคนที่บ้านเลย ลองกินหมาฮวานี่ ปีหนึ่งแล้วนะที่ไม่ได้กินของดีๆ อย่างนี้ เจ้าร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรมองไปทางบวก ไม่แน่ผ่านไปสองวันพวกเราอาจจะได้กลับบ้านก็ได้ ไม่ต้องหลบหนีอีก”
ครอบครัวของซ่งฝูสี่ เพราะมีเด็กสามคน ต้ายา เอ้อร์ยา จินเป่า ดังนั้นครอบครัวพวกเขาจึงได้รับไปหนึ่งอันครึ่ง
ซ่งจินเป่า เพราะความเคยชินจะแย่งหมาฮวาจากพี่สาวทั้งสอง
ซ่งฝูหลิงไอแค่กไปหนึ่งครั้ง
พี่พั่งยาเคยบอกว่าถ้า ไม่แย่งกันจะมีข้าว ข้าวสวย ซ่งจินเป่าเกาหัวก่อนชักมือกลับมา
หากจะบอกว่าเขาเป็นเด็กน้อย ทำไมถึงตัดใจไม่เอาสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า เชื่อมั่นในซ่งฝูหลิงหรือ? มันเป็นสัญชาตญาณ ใช่แล้ว เป็นความเชื่อมั่นที่ไม่สามารถจะอธิบายได้
แต่จูซื่อไม่สนใจ นางแย่งหมาฮวาจากในมือลูกสาวทั้งสอง
ซ่งฝูหลิงก็ไม่สามารถจะกระแอมไอเพื่อเป็นการเตือนได้ ไม่สามารถแทรกแซงได้บ่อยครั้งเพียงเพราะนี่คือแม่แท้ๆ ที่รังแกลูกของตนเอง
ซ่งฝูสี่รู้สึกว่าซ่งฝูหลิงจ้องมองครอบครัวของเขาตลอด น้องสะใภ้สามก็มองอยู่ เขาหันตัวกลับไปพูดกับจูซื่อด้วยความรู้สึกเสียหน้า “น้องสะใภ้ ให้ต้ายากับเอ้อร์ยากิน เจ้าจะแย่งมาทำไม รีบให้พวกนางซะ นางต่างก็เป็นลูกเหมือนกัน หรือพวกเขาไม่ใช่ลูกที่เจ้าคลอดออกมา?”
จูซื่อบ่นพึมพำ “ข้าก็ไม่ได้จะกินสักหน่อย แค่จะเอามาเก็บไว้ให้พวกนาง” บ่นเสร็จนางก็นำหมาฮวายื่นส่งให้ต้ายากับเอ้อร์ยา พร้อมกับส่งสายตาเตือนบุตรสาวสองคนให้พวกนางเก็บไว้ให้น้องชายบ้าง
เวลาเพียงแค่หนึ่งวันกับหนึ่งคืน ซ่งฝูหลิงก็ไม่ค่อยชอบป้ารองจูซื่อแล้ว นางรู้สึกว่าคนคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยม
เกิดเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ลูกของตนเองแท้ๆ ยังไม่เหลียวแล
ถึงแม้ยุคโบราณผู้หญิงจะต้องแต่งงานออกเรือนไป เปรียบเสมือนการสาดน้ำ ถ้าเช่นนั้นท่านป้ากับท่านลุงเถียนสี่ฟา ทำไมถึงดีกับเถาฮวามากนัก ครอบครัวของเขาก็มีลูกชาย พี่หูจือ ลองมองสมาชิกห้าคนของครอบครัวนั้นสิ รวมทั้งท่านยายเถียน หมาฮวาหนึ่งอันแบ่งกันกินห้าคน ถึงเป็นย่าก็ไม่ได้ลำเอียงไปทางหลานชายมากกว่า หลานชายกับหลานสาวเหมือนกัน กินกันด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
บางครั้ง สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือความสุข
ซ่งฝูหลิงเพิ่งจะบ่นนิสัยที่ไม่ดีของจูซื่อที่ปฏิบัติไม่ดีต่อบุตรสาวไม่ทันไร ด้านข้างไม่ไกลออกไปก็เกิดการเอะอะโวยวายกันขึ้น ภรรยาครอบครัวนั้นยิ่งกว่าจูซื่ออีก
ตีบุตรสาวด้วยไม้ที่เผาไฟ เหมือนกับจะตีศัตรูให้ตาย
ซ่งอิ๋นเฟิ่ง ป้าของซ่งฝูหลิงอธิบาย “น้องสะใภ้สาม เจ้าไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านจึงไม่รู้ หลี่ซิ่วคนนี้ ที่นางอุ้มอยู่คือลูกแท้ๆ ของนาง ส่วนคนที่กำลังไล่ตีอยู่นั้นเป็นลูกที่ภรรยาคนก่อนทิ้งไว้ นางเป็นแม่เลี้ยง”
เฉียนเพ่ยอิงถาม “ภรรยาเก่าเสียชีวิตแล้วหรือ? ทำไมข้าฟังดูเหมือนจะไม่ใช่?”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งส่ายหน้า นางลังเลว่าจะพูดอย่างไรดี เกรงว่าน้องสะใภ้จะคิดมาก แต่ก็ต้องพูดความจริง
“นางไม่ได้ตาย แต่เมื่อคลอดลูกสาวคนนี้เพียงคนเดียว ร่างกายก็ไม่แข็งแรงอีกต่อไป ไม่สามารถมีลูกได้อีก จึงโดนบังคับหย่า นางเป็นผู้หญิงในหมู่บ้านใกล้เคียง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงานใหม่ อยู่บ้านแม่ ใช้ชีวิตลำบากเพราะต้องเกรงใจพี่ชายกับพี่สะใภ้…
…จ้าวฝูกุ้ย เดิมทีก็เป็นคนซื่อ ตอนที่ยังไม่หย่ากับภรรยาคนก่อน พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม่ของเขาเป็นคนจัดการอยากให้มีลูกชาย จึงให้แต่งกับหลี่ซิ่ว…
…หลี่ซิ่วเมื่อสองปีก่อน สถานที่หนึ่งประสบเหตุไฟไหม้ นางวิ่งหนีลงมาจากบนเขา หน้าตาดูหมดจด พวกเราก็ไม่รู้ว่านางเป็นคนที่ไหน นางบอกกับคนในหมู่บ้านว่าเดินพลัดหลงกับครอบครัว…
…ท่านยายจ้าวตายไปแล้ว จ้าวฝูกุ้ยก็เป็นคนซื่อ หลี่ซิ่วมีลูกชาย นางจึงกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวและจะสั่งอะไรก็ได้ ลูกสาวภรรยาคนก่อนเลยต้องรับเคราะห์ไป”
เฉียนเพ่ยอิงไม่คิดอะไรเยอะ ไม่สนใจสภาพของนาง ที่สำคัญก็คือนางไม่รู้ตัวเอง นางก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดออกมาว่า “โอ้ว ตีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ตีแบบนี้เด็กอาจจะตายได้นะ เด็กคนนั้นข้ามองดูแล้วเหมือนแค่อายุแปดเก้าขวบเท่านั้น” นางยังคิดจะห้ามปราม
“แปดเก้าขวบอะไร สิบสองขวบแล้ว ชื่อชุนฮวา กินไม่อิ่มตัวถึงได้เล็ก”
ซ่งฝูหลิงวิ่งไปก่อนแล้ว
ต้ายากับเอ้อร์ยารู้สึกว่าพั่งยาช่างกล้าหาญ ยังเบียดกลุ่มคนเข้าไปอีก พวกนางแค่เห็นการตบตีคนก็กลัวมากแล้ว
ซ่งฝูหลิงที่เบียดฝูงชนจนไปอยู่แถวหน้า ได้ฟังเรื่องราวจนเข้าใจว่าทำไมหลี่ซิ่วถึงลงมือตีชุนฮวาอย่างหนัก แต่ทำไมทุกคนที่รู้เหตุผลถึงไม่ห้ามปราม ก็เพราะไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไร
เพราะชุนฮวาที่กำลังโดนตีอยู่ก็ไม่ธรรมดานัก
ชุนฮวาอาศัยจังหวะที่หลี่ซิ่วกับพ่อของนางแย่งเก็บข้าวโพด นำแป้งขาวคุณภาพดีในบ้านที่เหลือเพียงครึ่งถุง แบกไปหมู่บ้านข้างเคียงเพื่อมอบให้แม่ของนาง
หลังจากนั้น เกรงว่าหลี่ซิ่วจะทราบเรื่อง ชุนฮวาจึงนำปูนขาว คนในชนบทที่เลี้ยงหมูจะใช้มันเพื่อทำให้คอกหมูแห้ง หรือใครที่จะสร้างบ้านก็ต้องใช้ปูนขาว นางจึงนำปูนขาวมาใส่ถุงแป้งแบบเดียวกันแล้ววางไว้บนรถเข็น
สีของปูนขาวกับสีผงแป้งสมัยโบราณไม่แตกต่างกันมากนัก แม่เลี้ยงหลี่ซิ่วจึงไม่ทราบจนถึงเมื่อสักครู่นี้ นางต้องการนำแป้งมาต้มทำเป็นน้ำซุปให้กับลูกชายที่อยู่ในอ้อมแขน กินเข้าไปถึงได้รู้ความจริง
ชุนฮวาเลือดไหลออกทางจมูก ผมถูกดึงทึ้งยุ่งเหยิงเหมือนกองหญ้า ดูเหมือนผู้ลี้ภัย ลำแขนเล็กดันพื้นพยุงตัวไว้ หลังมือโดนไม้ติดไฟลวกจนแดงเถือก นางนอนหมอบหายใจอย่างรวยริน
จ้าวฝูกุ้ยพ่อของชุนฮวานั่งกุมหัวอยู่ด้านข้าง ไม่สนใจภรรยาที่ตีบุตรสาวและไม่ยอมมองดูบุตรสาวว่าถูกตีจนมีสภาพเป็นอย่างไร ที่กุมหัวไว้เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริง
หลี่ซิ่วกำลังจะใช้ไม้ติดไฟตีไปที่หลังของชุนฮวาอีกครั้ง เกาถูฮู่ทนดูต่อไปไม่ไหว รีบลุกขึ้นมาพูด “เจ้าตีนางจนตายแล้วจะมีอาหารกินหรือไง? ทำไมจิตใจถึงโหดเหี้ยมเยี่ยงนี้”
หลี่ซิ่วโกรธมาก “ผายลมแม่เจ้าสิ เจ้าทำเป็นพูดดี เจ้าเป็นคนหาอาหารให้? ลูกคนเล็กของข้าไปกินบ้านอาหารเจ้าไหม ครอบครัวข้าทั้งหมดไปกินอาหารบ้านเจ้าไหม ใครใช้ให้เจ้ามายุ่งเรื่องของชาวบ้าน”
เกาถูฮู่ แม้จะอายุปูนนี้แล้ว แต่ก็ยังโมโหมาก
ซ่งหลี่เจิ้งถูกพยุงมา เขามีอาการไอเล็กน้อย เพิ่งกินข้าวเสร็จก็จะกลับที่พักไปนอน “นี่ทำอะไรกัน กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือไง?”
เขาสั่งให้คนพลิกร่างชุนฮวา จึงเห็นเด็กสาวถูกตีจนมีสภาพน่าอนาถ ซ่งฝูหลิงนั่งชันเข่าใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดหน้าให้กับชุนฮวา เฉียนเพ่ยอิงก็ถามขึ้น “เด็กน้อย เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ยังพูดได้ไหม?”
ซ่งหลี่เจิ้งโมโห “จ้าวฝูกุ้ย หากเจ้าไม่ดูภรรยาเจ้าให้ดีก็ไสหัวลงจากเขาไปซะ พวกข้าดูแลเรื่องในบ้านของเจ้าไม่ได้ พวกเราสามารถเลือกได้ว่าจะไม่เดินร่วมทางไปกับครอบครัวของเจ้า ฝูเซิงจิตใจดีอุตส่าห์บอกข่าวทุกคนให้ลี้ภัย แต่ไม่ใช่ให้เจ้าพาคนเรื่องมากมาด้วย พวกข้าอยู่กับคนพวกนี้ไม่ได้”
สะใภ้ใหญ่ของครอบครัวเกาถูฮู่เอ่ยขึ้น “มาเถอะ แบกชุนฮวามาบ้านข้าตรงกองไฟนั้น บ้านข้ามีน้ำต้มข้าว ให้นางดื่มเสียหน่อย เฮ้อ ช่างน่าสงสารจริงๆ”
ซ่งฝูหลิงบอกไม่เป็นไร เตาบ้านของนางตั้งอยู่ด้านข้าง ครอบครัวนางยังมีโจ๊กข้าวโพด ที่ต้มใหม่ๆ ยังมีเหลืออยู่
ท่านย่าหม่าเพิ่งมาถึง นางยืนอยู่ด้านหลังคนกลุ่มหนึ่ง ได้ยินคำพูดของหลานสาวคนเล็กก็ถึงกับกลอกตา
ซ่งฝูหลิงนำโจ๊กหนึ่งชามมาให้ชุนฮวา ภายใต้การจับจ้องของสายตาท่านย่า นางก็นำวัววัวโถวมาให้ชุนฮวาหนึ่งอัน
ผ่านไปเพียงชั่วยามเดียว ซ่งฝูหลิงก็พบปูนขาวครึ่งกระสอบวางอยู่ใต้เต็นท์ตรงโคนต้นไม้
“ท่านพ่อ ท่านรีบไปถามจ้าวฝูกุ้ย ชุนฮวาไปแล้วใช่ไหม?” ซ่งฝูหลิงกล่าวกับซ่งฝูเซิงอย่างร้อนใจ
“ไปไหนแล้ว?”
“หนีออกจากบ้านไป”
คนที่เผาถ่านอยู่บนเนินรีบลงกันมาหลายคน ซ่งฝูเซิงถามจ้าวฝูกุ้ยว่าบุตรสาวหายไปไหน จ้าวฝูกุ้ยก็เอามือกุมหัวสักพักถึงบอกว่าหลี่ซิ่วไม่ยอมรับชุนฮวา บอกว่าถ้าชุนฮวายังอยู่ที่นี่ก็จะไม่ทำอาหารให้กินและก็ไม่ให้เขากินด้วย เขาจึงให้บุตรสาวกลับหมู่บ้านไปหาแม่ของนางแล้ว
เจอเหตุการณ์แล้วไม่ยอมออกหน้าอย่างซ่งฝูเซิง ตอนนี้เขาโมโหจนเตะจ้าวฝูกุ้ยไปสองที “พวกเราบอกให้เร่งมือทำงานก็เพราะฝนใกล้จะตกแล้ว มาหลบอยู่บนภูเขาก็เพื่อที่จะหนีฝน เจ้าเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มนั่นไหม เด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าขวบเดินกลับหมู่บ้านต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน เจ้ายังวางใจได้อีกหรือ? เจ้าเป็นพ่อประสาอะไรกัน!”
ซ่งฝูเซิงเพิ่งด่าจบ บนเนินเขาก็มีเสียงเด็กร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “อ๊าห์!!!” น้ำเสียงที่ร้องออกมาแสดงว่าเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นแล้ว
ทุกคนต่างวิตกกังวล เกรงว่าลูกของตนจะเป็นอะไรป หลานคนเล็กของครอบครัวท่านยายหวังถูกงูกัดเข้าให้แล้ว
ในขณะเดียวกัน ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมา
เอ่ยถึงฝน ฝนก็ตกลงมาทันใด