ตอนที่ 45 ไม่รู้จะไปทางไหนดี

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงใบหน้าของเว่ยจางจึงอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้ม “บุรุษที่มีผิวพรรณดำคล้ำอะไรกัน? วันนั้นเขาสวมชุดสีเข้มแต่เขาก็ยังไม่ได้ดูดำจนเกินไป”

ตอนที่เฝิงหมัวมัวเอ่ยถึงเว่ยจางก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ผิวพรรณไม่ดำคล้ำหรือเจ้าคะ คืนนั้นบ่าวเห็นเขาที่มีเรือนร่างที่สูงปานนั้น ราวกับหอคอย แสงของดวงจันทร์ที่สว่างไสวมากเพียงนั้น ทว่าบ่าวกลับมองรูปลักษณ์หน้าตาของเขาไม่ออกว่าเป็นเช่นไร”

เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะออกมาเสียงดังเพียงครู่หนึ่ง แล้วพลันปิดปากอย่างรวดเร็ว พลางหัวเราะอู้อี้

“คุณหนูยังจะหัวเราะอีก” เฝิงหมัวมัวพึมพำด้วยความแปลกใจ “ได้ยินมาว่าครั้งนี้ที่รองแม่ทัพของเขามา ก็ได้รับการอนุญาตจากท่านซื่อจื่อ ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกัน พวกเราเป็นญาติที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ แล้วมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ กลับไม่ส่งคนที่เหมาะสมมาเยี่ยมเยียนก็ช่างปะไรไป ซ้ำยังส่งบุรุษที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ แม้แต่น้อยมา นี่พวกเขากำลังคิดสิ่งใดกันแน่”

เหยาเยี่ยนอวี่หุบยิ้มพลางถอนหายใจด้วยสีหน้าที่จริงจัง “พวกเขามาหรือไม่มาจะสำคัญอย่างไร ข้ายอมให้พวกเขาละเลยข้าจะดีกว่า!”

แสงไฟมืดสลัวของตะเกียงน้ำมัน กระทบลงบนดวงหน้าของคนราวกับมีน้ำผึ้งเคลือบอยู่บนหน้าอีกชั้น ใบหน้ายิ้มแย้มของเหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างพร่ามัว ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับดูเปล่งปลั่งเหมือนดั่งทองคำที่เปล่งประกาย ทำให้เฝิงหมัวมัวที่มีอายุราวๆ สี่สิบปียังใจอ่อนในชั่วพริบตา

ตอนที่เฝิงหมัวมัวยังสาวก็มีลูกสาวเพียงคนเดียว ทว่ากลับถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุเพียงสามเดือน ต่อมานางก็ถูกเลือกให้เข้ามาเป็นแม่นมของเหยาเยี่ยนอวี่ หลังจากนั้นนางไม่ได้มีลูกอีกเลย การทุ่มเททำงานมาครึ่งชีวิตทั้งกายและใจของนางได้มอบให้กับนายหญิงน้อยเพียงผู้เดียว เป็นเวลาตั้งสิบหกปีแล้ว  นางได้เห็นเหยาเยี่ยนอวี่เป็นเหมือนลูกสาวของตนเองจากก้นบึ้งของจิตใจจริงๆ

ตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พอนางนึกถึงก็มักจะเจ็บปวดใจทุกครั้ง บุตรีของขุนนางขั้นที่สองในราชสำนักเฉกเช่นคุณหนู ตามหลักความเป็นจริงแล้วก็คงจะไม่มีเรื่องให้เคร่งเครียด ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก ทำให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนใจถึงขั้นนี้

ช่วงเช้าของวันถัดไป ในวัดฉือซินที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเงียบสงบ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา วันนี้กลับดูครึกครื้น

ก่อนอื่นคือคนของจวนอัครเสนาบดีส่งผู้เฒ่าไป๋มาตรวจชีพจรให้เหยาเยี่ยนอวี่ คนเพิ่งมาถึง แล้วยังไม่ได้ต้อนรับด้วยน้ำชา ก็มีสตรีที่เรียกว่าฮูหยินเฮ่อมาเยือน เฝิงหมัวมัวเองก็ป่วยไข้จึงมิอาจต้อนรับแขกที่มาเยือนได้ ชุ่ยเวยเลยเดินเข้าไปน้อมคำนับพลางกล่าวคำขอโทษ จากนั้นเชิญฮูหยินเฮ่อไปนั่งดื่มชาในเรือนด้านข้างเสียก่อน

หลังจากที่ยกน้ำชาเสร็จ ก็เอ่ยถามนางตามมารยาท ชุ่ยเวยจึงได้รู้ว่าสามีของฮูหยินเฮ่อมีตำแหน่งในกองทัพ ซึ่งเป็นขุนนางที่มียศเป็นขุนพลระดับหก เป็นรองแม่ทัพที่คอยติดตามแม่ทัพติ้งหย่วน เมื่อวานรองแม่ทัพสกุลถังคนหนึ่งก็มาเยือน ชุ่ยเวยเป็นคนที่มีไหวพริบ จึงได้เอ่ยถามฮูหยินเฮ่อ “ฮูหยินรู้จักรองแม่ทัพถังหรือไม่เจ้าคะ”

ฮูหยินเฮ่อพลันตอบกลับอย่างรวดเร็ว นางเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่ได้ถือตัวว่าเป็นฮูหยินของรองแม่ทัพต่อหน้าชุ่ยเวยแม้แต่น้อย แค่ยิ้มพลางเอ่ยพูด “น้องสาวหมายถึงพี่ถังเซียวอี้? เขากับรองแม่ทัพของจวนข้าเป็นผู้ที่คอยติดตามแม่ทัพเว่ย และถือว่าเป็นดั่งพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย ข้าก็ได้รับการไหว้วานให้มาเยี่ยมเยียนคุณหนูเหยา เดิมทีข้าก็ไปเชิญผู้เฒ่าไป๋เช่นกัน ทว่าคนของจวนอัครเสนาบดีนั้นไวกว่าข้าไปหนึ่งก้าว ช่างบังเอิญเสียจริง น้องสาวช่วยบอกข้าทีว่าอาการของคุณหนูเหยาเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

ชุ่ยเวยจึงทำได้เพียงพูดอย่างซ้ำๆ ซากๆ อีกครั้ง และยังไม่ทันได้กล่าวจบ ก็มีผัวจื่อกลับเข้ามา “แม่นางชุ่ยเวย คุณชายสามมาถึงแล้ว”

“คุณชายสาม?” ชุ่ยเวยชะงักไปทันที ในใจคิดว่าคนที่มาเป็นนายเขยของตนหรือ

“เป็นเช่นนั้น” ผัวจื่อคนนั้นพูดไป ก็ถอยไปข้างๆ

ซูอวี้เสียงสาวเท้าเข้ามาข้างในแล้ว พอเห็นชุ่ยเวยกำลังพูดคุยกับสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่ไม่ทราบว่าฐานะของสตรีผู้นี้คือใคร ทำได้เพียงยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าพลางถามชุ่ยเวย “คุณหนูของพวกเจ้าป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ตอนมาไม่ใช่ยังดีๆ อยู่หรือไร นางอาจจะกินอะไรผิดสำแดงไปหรือไม่”

เผชิญหน้ากับคำถามของซูอวี้เสียง ชุ่ยเวยไม่รู้จะตอบซูอวี้เสียงเยี่ยงไรดี ทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรียนคุณชายสาม บ่าวก็ไม่รู้ว่าควรตอบท่านเช่นไรดี ผู้เฒ่าไป๋กำลังตรวจชีพจรให้คุณหนูอยู่ ไม่เช่นนั้น รอฟังคำวินิจฉัยของผู้เฒ่าไป๋เสียก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”

ซูอวี้เสียงปรายตามองฮูหยินเฮ่ออีกครั้ง นัยน์ตามีความสงสัยแอบแฝง คนๆ นี้ดูแปลกหน้ายิ่งนัก นางคือใครกันแน่

 ฮูหยินเฮ่อจึงรีบก้าวมาข้างหน้าแล้วย่อลำตัวลงเล็กน้อย และวางตัวไม่ต่ำต้อยและไม่สูงส่งเกินไป จากนั้นเอ่ยพูดด้วยเสียงใส “ข้านามว่าเฮ่อหร่วนซื่อ คารวะคุณชายสามเจ้าค่ะ”

ชุ่ยเวยรีบกล่าวขึ้น“คุณชายสามเจ้าคะ ท่านนี้เป็นฮูหยินของใต้เท้าเฮ่อ ฮูหยินเฮ่อได้ยินว่าคุณหนูป่วยไข้ เลยตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ”

“เฮ่อซี?” ซูอวี้เสียงครุ่นคิดอย่างตั้งใจก็นึกถึงรองแม่ทัพที่ติดตามเว่ยจาง แค่ว่าฮูหยินของเฮ่อซีมาเยี่ยมเหยาเยี่ยนอวี่นั้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ ทว่าพอเปลี่ยนมุมมองดู คนพวกนี้ก็คงจะเห็นแก่ความสัมพันธ์กับจวนติ้งโหวเท่านั้น จึงต้องการแสดงความมีน้ำใจด้วยวิธีเยี่ยงนี้ ทันใดนั้นเขาจึงผงกหัวเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความเกรงอกเกรงใจ “เช่นนี้เอง ขอบคุณฮูหยินที่เป็นห่วงเป็นใย เรือนพำนักในวัดไม่ได้มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ฮูหยินกรุณาอย่าได้ถือสา เชิญนั่งดื่มชาที่นี่เสียก่อนเถอะ”

ฮูหยินเฮ่อคลี่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยพูด “คุณชายสามเกรงใจเกินไปแล้ว”

ซูอวี้เสียงจึงสั่งให้ชุ่ยเวยดูแลและปรนนิบัติฮูหยินเฮ่อให้ดี ตนเองหันหลังแล้วเดินออกจากประตูไปหาผู้เฒ่าไป๋

ตอนที่เห็นฮูหยินเฮ่อ ซูอวี้เสียงก็ยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร ทว่าพอเห็นหัวหน้าพ่อบ้านของจวนอัครเสนาบดี คุณชายสามซูจึงนิ่งเฉยไม่ไหวอีกต่อไป

หัวหน้าพ่อบ้านของจวนเฟิงพาผู้เฒ่าตระกูลไป๋มาตรวจอาการให้กับเหยาเยี่ยนอวี่?! เรื่องพวกนี้หากถูกป่าวประกาศออกไป เกรงว่าทั้งเมืองหลวงอวิ๋นก็คงจะไม่มีใครเชื่อหรอกกระมัง

ตระกูลเหยาและท่านอัครเสนาบดีเฟิงไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย!

ได้ยินมาว่าเดือนที่ผ่านมาอัครเสนาบดีเฟิงยังกล่าวหาข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองในทางที่เสียๆ หายๆ อยู่เลย!

อัครเสนาบดีเฟิงเป็นผู้ที่เกิดในวงศ์ตระกูลที่เป็นบัณฑิตมาแปดชั่วอายุคน คนประเภทที่พวกเขาดูหมิ่นมากที่สุดก็คือพ่อค้า เขาเหยียดหยามเหยาหย่วนจือที่มีบรรพบุรุษเป็นพ่อค้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะคนๆ นี้แจ้งเกิดตอนสอบคัดเลือกขุนนาง เกรงว่าอัครเสนาบดีคงจะเขียนหนังสือฎีกาหลายๆ เล่มเพื่อที่จะเนรเทศเขาให้ออกจากราชสำนัก

ซูอวี้เสียงมองหัวหน้าพ่อบ้านของจวนอัครเสนาบดีนามว่าไหลฝูด้วยแววตาที่เหมือนเจอภูตผี จากนั้นจึงถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “นี่ไม่ใช่หัวหน้าพ่อบ้านของจวนอัครเสนาบดีหรอกหรือ”

ไหลฝูหันไปคารวะให้กับซูอวี้เสียง “คารวะคุณชายสามแห่งตระกูลซูขอรับ”

ซูอวี้เสียงคลายยิ้มอ่อนพลางถาม “ผู้อาวุโสอาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีอยู่ดีๆ เหตุใดถึงได้มาถึงที่นี่เล่า”

เฟิงไหลฝูคารวะให้กับซูอวี้เสียงอีกครั้ง พลางยิ้มอย่างถ่อมตน “คุณชายสามพูดอะไรอยู่ขอรับ บ่าวก็แค่ทำตามคำสั่งของนายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น จึงพาผู้เฒ่าไป๋มาตรวจชีพจรให้คุณหนูเหยาขอรับ”

“ฮูหยินผู้เฒ่า?” ซูอวี้เสียงถามด้วยความแปลกใจ “เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้จักน้องสาวของภรรยาข้าด้วยเล่า” สำหรับอัครเสนาบดีเฟิง ซูอวี้เสียงก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายทั้งนั้น อย่าได้เอ่ยถึงอัครเสนาบดีที่ไม่เคยคิดจะตีสนิทหรือพัวพันกับผู้อื่น แม้แต่บิดาของตนเองยังไม่เคยแลมองเหยาเยี่ยนอวี่แม้แต่เพียงน้อย อัครเสนาบดีจะไปสนใจนางได้อย่างไร จึงเป็นเพียงการเอ่ยอ้างถึงท่านเท่านั้น

“เรื่องนี้บ่าวก็ไม่ทราบขอรับ” ดวงหน้าทรงกลมของไหลฝูเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ร่าเริง ทว่าซูอวี้เสียงกลับรู้สึกถึงความร้ายกาจ

ไหนๆ ก็ไม่ยอมเอ่ยพูด เขาก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามและสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ซูอวี้เสียงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงเรือนหลัก แล้วปรายตามองประตูที่ปิดสนิท จากนั้นก็รอคอยอยู่อย่างเงียบๆ

ผ่านไปพักใหญ่ ก็มีผู้เฒ่าที่อายุราวๆ เจ็ดสิบปีที่มีหนวดเคราสีขาวโพลนเดินออกมา ซูอวี้เสียงเหยียดกายลุกขึ้นโดยเร็วพลางเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วทำมือคารวะ “ท่านผู้เฒ่าไป๋”

ตระกูลไป๋เป็นตระกูลแพทย์ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน และได้รักษาผู้ป่วยมากจนนับไม่ถ้วน ถึงแม้ไป๋นั่วจิ้งจะเป็นเพียงสามัญชนทั่วไป ทว่าคนในเมืองอวิ๋นต่างก็เคารพนับถือเขา เขากับซูอวี้เสียงถือว่ารู้จักกัน เพราะเหตุนี้จึงได้คารวะกลับให้กับซูอวี้เสียง “คุณชายซู”

“ลำบากท่านผู้เฒ่าไป๋เสียแล้ว ท่านผู้เฒ่าเชิญนั่งก่อน” ซูอวี้เสียงหลีกที่นั่งให้ด้วยความเคารพ จากนั้นก็ถามขึ้น “ขอถามท่านผู้เฒ่าเสียหน่อย อาการป่วยนี้เป็นโรคอะไรกันแน่”

ไป๋นั่วจิ้งส่ายหน้า พร้อมกับถอนหายใจด้วยเสียงเบา จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความสงสัย “อาการช่างแปลกเสียจริง”