ตอนที่ 46 คืนเหน็บหนาวในสารทฤดู

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

“ท่านผู้เฒ่าไป๋ สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นหมายความว่าอย่างไร” ซูอวี้เสียงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันที แม้แต่ผู้เฒ่าท่านนี้ยังกล่าวว่าเป็นโรคที่แปลก เช่นนั้นโรคนี้จะแปลกประหลาดมากเพียงใด

“โรคนี้ช่างน่าแปลกยิ่งนัก ข้าที่ทำการรักษามานานกว่าห้าสิบปี ทว่ากลับไม่เคยพบเจออาการป่วยเช่นนี้มาก่อน”

“เช่นนั้น…ควรจะทำการรักษาอย่างไร”

“จากการตรวจชีพจรดูแล้ว ร่างกายของผู้ป่วย จะมีอาการหนาวสั่น ทว่าด้านในกลับร้อนระอุ แต่ถึงอย่างไรก็ตามอาการนี้ก็ไม่ถือว่าหนักหนาสาหัสมากนัก บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศ ดินและน้ำของเจียงหนานและเจียงเป่ยแตกต่างกัน จึงทำให้ล้มป่วยขึ้นมาก็ย่อมเป็นไปได้ คุณชายลู่ซึ่งเป็นหมอประจำการของหอยาก็ได้จ่ายยาตามอาการไว้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจะเพิ่มยาให้อีกสองตัว ให้แม่นางลองกินอีกสามวัน แล้วค่อยตรวจดูชีพจรอีกครั้ง”

ซูอวี้เสียงจึงถามขึ้นอีก “เช่นนั้นความหมายของท่านผู้เฒ่า โรคนี้หนักหนาสาหัสหรือไม่ ควรจะพานางกลับไปรักษาตัวที่จวนหรือไม่”

“ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ทว่า…สาเหตุของการป่วยก็วินิจฉัยได้ยาก ดังนั้นจึงค่อนข้างลำบาก หากไม่ได้เป็นเพราะอากาศที่ทำให้ล้มป่วย เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคระบาดตามฤดูกาล มีโอกาสที่จะติดต่อกันมาก อีกทั้งภายในเมืองก็มีผู้คนมากมาย สภาพแวดล้อมโดยรอบก็วุ่นวายเสียงดัง อย่าเพิ่งกลับไปเลย อย่างไรก็ตาม การรักษาตัวอย่างเงียบสงบนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

ซูอวี้เสียงกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “ทว่าที่แห่งนี้คือวัดฉือซิน การที่บุรุษเข้าออกบ่อยครั้งคงไม่สะดวก อีกทั้งคนในครอบครัวก็ลำบากที่จะมาดูแลนางอีก”

เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เป็นหมอสามารถยุ่งเกี่ยวได้ ผู้เฒ่าไป๋นั่วจิ้งจึงทำได้เพียงแย้มยิ้ม จากนั้นก็ก้มหน้าลงนำพู่กันมาแก้ใบจ่ายยา

ซูอวี้เสียงมองดูใบจ่ายยาที่ผู้เฒ่าไป๋เขียน จากนั้นก็สั่งให้บ่าวรับใช้ไปจัดยาให้ทันที หลังจากที่จัดยาเรียบร้อยแล้ว ก็รีบนำไปต้มแล้วส่งมาทันที ทั้งยังส่งผู้เฒ่าไป๋ออกไปจากวัดฉือซินด้วยตนเอง แล้วมองคนของจวนอัครเสนาบดีที่ออกไปพร้อมกัน เขายืนตรงประตูวัดฉือซินอยู่นาน กว่าจะหันหลังเดินกลับมา

เหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ภายในเรือน ได้ยินเสียงซูอวี้เสียงและผู้เฒ่าไป๋ที่พูดคุยกันด้านนอกอย่างชัดเจน

หลังจากรอจนซูอวี้เสียงกลับมา ชุ่ยผิงก็เชิญคุณชายสามตระกูลซูไปด้านหนึ่ง นางย่อตัวลงทำความเคารพ แล้วพูดขึ้น “คุณชายสามเจ้าคะ เวลานี้คุณหนูของพวกบ่าวไม่สะดวกพบหน้าคุณชายเจ้าค่ะ คุณหนูมีคำพูดไม่กี่ประโยคสั่งให้บ่าวมาแจ้งคุณชาย เชิญคุณชายสามพิจารณาเรื่องนี้ด้วยเจ้าค่ะ”

ซูอวี้เสียงพยักหน้า “ว่ามาเถอะ”

“คุณหนูของพวกบ่าวกล่าวว่า ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าอาการป่วยของคุณหนูไม่อาจรักษาให้หายได้ภายในวันสองวัน การอาศัยในที่แห่งนี้ แล้วรบกวนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นเวลานานๆ ก็ไม่ดี อีกทั้งจำต้องมีหมอหลวงและหมออื่นๆ มาคอยตรวจชีพจรอยู่บ่อยครั้ง คุณหนูเกรงว่าจะทำให้พระอาจารย์ในวัดฉือซินไม่สะดวกเจ้าค่ะ อีกทั้งเมื่อหลายวันก่อน คุณหนูของพวกบ่าวก็ได้ให้ลุงเฝิงไปซื้อที่นาเล็กๆ ในเขตชานเมืองด้านใต้ เวลานี้ก็ได้สั่งให้คนไปเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันคุณหนูใคร่จะย้ายไปรักษาตัวที่นั่น จึงอยากรบกวนคุณชายสามช่วยบอกกับคุณหนูใหญ่สักหน่อยเจ้าค่ะ”

ซูอวี้เสียงเอ่ยถามด้วยความตกใจ “คุณหนูของพวกเจ้าซื้อที่นาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องนี้”

ชุ่ยผิงพลันตอบกลับทันที “เป็นเพียงผืนนาเล็กๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรเจ้าค่ะ ด้านในก็มีผู้เช่านาเพียงสามถึงห้าครัวเรือนเท่านั้น ที่นาและสวนก็แห้งแล้งไปกว่าครึ่ง ลุงเฝิงไปเจอกับที่นาผืนนั้นโดยบังเอิญเจ้าค่ะ ในตอนนั้นแค่บอกคุณหนูคำหนึ่ง คุณหนูเองก็ไม่ได้สนใจอะไร กล่าวแต่ว่าหากเห็นว่ามันสมควรก็ซื้อเถอะ ทว่าเวลานี้กลับเป็นเวลาที่คุณหนูจำเป็นต้องใช้ในการไปพักรักษาตัวพอดี ดังนั้นจึงอยากไปพักรักษาตัวอยู่ที่นั่น ที่นั่นมีเรือนเก่าแก่สร้างไว้อยู่แล้ว แค่ขนย้ายข้าวของเข้าไปอยู่ก็ได้แล้ว การเข้าออกอยู่ที่บ้านนาก็สะดวกกว่าที่แห่งนี้เจ้าค่ะ”

“บ้านนาหลังนั้นซื้อเอาไว้นานหรือยัง ด้านในเก็บกวาดไปถึงไหนแล้ว คนสามารถเข้าพักได้แล้วหรือ เรื่องทั้งหมดนี้ประเดี๋ยวรอให้ข้ากลับไปค่อยตัดสินใจแล้วกัน” ซูอวี้เสียงรู้สึกหงุดหงิดอย่างแปลกพิลึก การที่เหยาเยี่ยนอวี่กระทำเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกว่านางกำลังหลีกเลี่ยงตระกูลโหว หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขารู้สึกว่านางกำลังหลบเลี่ยงเขาคล้ายกับหลบเลี่ยงงูพิษ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ดีอย่างมาก

ชุ่ยผิงไม่กล้าพูดสิ่งใดให้มากความ ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีก

ซูอวี้เสียงโบกมือขึ้น แล้วกล่าวว่า “เจ้าออกไปเถอะ ไปปรนนิบัติรับใช้คุณหนูของเจ้าให้ดี หากต้องการสิ่งใดก็บอกให้คนไปเอาที่จวน ส่วนเรื่องย้ายไปรักษาตัวที่บ้านนา หลังจากที่ข้ากลับไปที่จวนแล้วจะปรึกษาหารือกับคุณหนูใหญ่ของเจ้าอีกที”

ชุ่ยผิงย่อตัวลงแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นค้อมตัวทำความเคารพพลางถอยออกไป

การที่ซูอวี้เสียงมาเยือนวัดฉือซินครั้งนี้ เขาไม่ได้บอกกับเหยาเฟิ่งเกอ ทว่ากลับลอบมาด้วยตนเอง เขารู้ดีว่าเหยาเฟิ่งเกอกังวลสิ่งใด ซึ่งสิ่งที่นางกังวลนั้นล้วนเป็นเพราะความปรารถนาดี แต่เขาไม่อาจไม่มาเยี่ยมเยียนเหยาเยี่ยนอวี่ได้ เหยาเฟิ่งเกอเพิ่งหายป่วย จึงไม่อาจออกนอกเมือง หากตัวเขาก็ไม่สนใจเหยาเยี่ยนอวี่ เกรงว่าจะอธิบายให้ติ้งโหวและลู่ฮูหยินเข้าใจไม่ได้

เพราะถึงอย่างไรเหยาเยี่ยนอวี่ก็เป็นน้องสาวของเหยาเฟิ่งเกอ เป็นบุตรีของเหยาหย่วนจือ การมาเมืองอวิ๋นในครั้งนี้ ก็เพราะจวนติ้งโหวของพวกเขา หากนางเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ แม้นจวนติ้งโหวจะไม่กลัวว่าเหยาหย่วนจือจะทำการใด แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตระหนักถึงชื่อเสียงของตน

แท้ที่จริงแล้ว จวนติ้งโหวก็มีบ้านนาและเรือนขนาดใหญ่อยู่ในละแวกชานเมืองอวิ๋น ติ้งโหวมักจะไปที่บ้านนาหลังนั้นอยู่บ่อยครั้ง หรือบางทีก็จะมีการเชิญชวนเหล่าอ๋องไปร่วมพูดคุยเล่น ชมมวลดอกไม้และดื่มสุราที่นั่น และบางครั้งก็จะมีการล้อมสวนเพื่อที่จะขี่ม้ายิงธนูและล่าสัตว์

แน่นอนว่าซูอวี้เสียงก็สามารถเป็นผู้ตัดสินใจจัดเรือนส่วนหนึ่งออกมาให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปพักรักษาตัว ทว่าหากปิดบังเรื่องนี้กับเหยาเฟิ่งเกอ เกรงว่าจะไม่ดีนัก

 หลังจากที่กลับมาถึงจวน ซูอวี้เสียงจึงบอกเรื่องที่ตนไปวัดฉือซินและคำพูดของไป๋นั่วจิ้งให้กับลู่ฮูหยินฟัง

หลังจากที่ลู่ฮูหยินเงียบไปครู่หนึ่งนั้น นางก็พูดขึ้น “เรื่องนี้ลูกต้องปรึกษาหารือกับฮูหยินของลูก ว่านางจะเห็นเช่นไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ควรมีนางคอยจัดการทุกอย่างให้”

ความหมายที่แฝงเอาไว้ในคำพูดนี้ทำให้ซูอวี้เสียงรับรู้ว่า ลู่ฮูหยินไม่ยินยอมให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปพักที่บ้านนาของจวนติ้งโหว ถึงอย่างไรเหยาเฟิ่งเกอก็มีบ้านนาซึ่งเป็นสินสมรสของตน หากจะพักรักษาตัวก็ควรจะไปอยู่ที่บ้านนาของเหยาเฟิ่งเกอ

ซูอวี้เสียงจึงกล่าวขึ้นอีก “คนของจวนอัครเสนาบดีเป็นผู้เชิญไป๋นั่วจิ้งไป อีกทั้งหัวหน้าพ่อบ้านไหลฝูจากจวนอัครเสนาบดีก็คอยติดตามไปด้วย ลูกไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหนูรองเหยาผู้นี้ไปสนิทสนมกับจวนอัครเสนาบดีได้อย่างไร”

หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ลู่ฮูหยินก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แววตาของนางเผยความลังเลออกมาเล็กน้อย นานครู่หนึ่งกว่าจะพูดขึ้น “แม่เหนื่อยแล้ว ลูกไปเถอะ”

ซูอวี้เสียงจึงเหยียดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ยลา “ขอรับ ท่านแม่พักผ่อนให้มาก ลูกขอตัวก่อนขอรับ”

ซูอวี้เสียงเดินออกมาจากเรือนของลู่ฮูหยิน เขาเดินกลับไปที่เรือนฉีเสียงด้วยความซึมเซา เมื่อเหยาเฟิ่งเกอเห็นเขากลับมานั้น จึงรีบสั่งให้หู่พั่วไปเตรียมน้ำอุ่น ส่วนตัวนางนั้นก็เดินเข้าไปช่วยซูอวี้เสียงถอดเสื้อคลุมตัวนอก จากนั้นนางก็ยื่นให้ซานหูเอาไปแขวน

เหตุเพราะเห็นสีหน้าของซูอวี้เสียงแลดูเบื่อหน่าย เหยาเฟิ่งเกอจึงเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน “เหตุใดท่านพี่จึงดูไม่สบายใจเจ้าคะ”

ซูอวี้เสียงหันหลังไปรับผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ ที่หู่พั่วยื่นมาให้ จากนั้นนำมาเช็ดหน้า “วันนี้ข้าไปที่วัดฉือซินมาแล้ว”

เหยาเฟิ่งเกอนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามต่อ “น้องรองเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

ซูอวี้เสียงไม่ตอบคำถาม ทว่ากลับถามนางกลับ “หัวหน้าพ่อบ้านของจวนอัครเสนาบดีเชิญผู้เฒ่าไป๋ไปตรวจชีพจรให้น้องรองก่อนข้า เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่”

“เรื่องนี้…จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ตระกูลของข้าและจวนอัครเสนาบดีไม่เคยไปมาหาสู่กัน” ก่อนหน้านี้เหยาเฟิ่งเกอได้ยินว่าหลิงซีจวิ้นจู่ส่งของกำนัลไปให้เหยาเยี่ยนอวี่ นางเองก็รู้สึกว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเป็นแน่ ทว่านางสั่งให้คนไปสืบมาแล้ว กลับไม่ได้เรื่องอะไร มาวันนี้เมื่อได้ยินคำพูดของซูอวี้เสียง นางก็ตกใจยิ่งนัก

เมื่อซูอวี้เสียงเห็นสีหน้าและท่าทางของเหยาเฟิ่งเกอ ก็รู้ว่านางเองก็ไม่รู้เรื่องราวใดๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มเย้ยหยันบางๆ “ตอนที่ข้าเจอพ่อบ้านใหญ่ไหลฝูนั้น ข้าเองก็ตกใจยิ่งนัก อีกทั้งพ่อบ้านใหญ่ไหลฝูก็เชิญผู้เฒ่าไป๋ไปในนามของนายท่านผู้เฒ่าเฟิงและฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง”

เหยาเฟิ่งเกอดึงสติตนเองกลับมา จากนั้นหยิบเสื้อคลุมชั้นนอกที่สวมใส่ในเรือนไปคลุมตัวซูอวี้เสียง พร้อมกล่าวขึ้นด้วยเสียงหวาน “ได้ยินมาว่าเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงไปไหว้พระขอพรให้กับฮองเฮาเหนียงเหนียงที่วัดต้าเจวี๋ยนั้น ได้พบเจอกับเยี่ยนอวี่โดยบังเอิญ ทว่าวันที่สองหลิงซีจวิ้นจู่ก็รับสั่งให้คนนำของกำนัลซึ่งเป็นมารยาทในการพบปะทั้งหมดสี่ชิ้นไปให้เยี่ยนอวี่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงรักใคร่เอ็นดูนางจึงทำเช่นนี้ นี่เป็นเพียงความช่วยเหลือของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเท่านั้น อีกทั้งยังเห็นแก่เกียรติของจวนพวกเรา เหตุใดท่านพี่จึงต้องคิดมาก ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปขอบคุณในสินน้ำใจครั้งนี้ถึงจวนของพวกเขาเองเจ้าค่ะ”