หลังจากซูอวี้เสียงฟังคำพูดของเหยาเฟิ่งเกอ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อสักเท่าใดนัก ทว่าไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็มิอาจคาดเดาถึงเหตุผลอื่นใดที่จวนอัครเสนาบดีจะทำเช่นนี้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องยอมเชื่อ
ซานหูสั่งให้คนยกอาหารมื้อค่ำขึ้นมา เหยาเฟิ่งเกอตักน้ำแกงให้กับซูอวี้เสียงด้วยตนเอง แล้วถามขึ้น “อาการป่วยของน้องสาว ผู้เฒ่าไป๋ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“กำลังจะพูดถึงเรื่องนี้พอดี” ขณะที่ซูอวี้เสียงกินมื้อค่ำ เขาก็เล่าให้เหยาเฟิ่งเกอฟังถึงเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่ซื้อบ้านนาและจะย้ายไปอยู่ที่นั่น จากนั้นเอ่ยถามขึ้น “เจ้าที่เป็นพี่สาวของนางว่าอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นเหยาเฟิ่งเกอนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงเพิ่มเติมอีกประโยคหนึ่ง “ท่านแม่เองก็บอกให้ข้ามาถามเจ้าว่าจะจัดเตรียมอย่างไร”
เหยาเฟิ่งเกอที่ตื่นตกใจเมื่อครู่นี้ ก็ค่อยๆ นิ่งสงบลง ตอนที่ซูอวี้เสียงถามว่านางคิดจะทำเช่นไรนั้น นางพอจะเข้าใจถึงเรื่องทั้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงพูดเสียงเศร้าและทำสีหน้าลำบากใจ พร้อมพูดขึ้น “ในเมื่อผู้เฒ่าไป๋กล่าวว่าต้องพักรักษาตัว เช่นนั้นก็ให้นางพักรักษาตัวเถอะ วัดฉือซินก็ไม่ใช่สถานที่ที่ควรจะพักอาศัยเป็นเวลานาน รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ ข้าจะไปดูอาการของน้องสาวด้วยตนเองว่านางเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นค่อยจัดเตรียมทุกอย่างให้เหมาะสม เรื่องของน้องรองมาทำให้ท่านพี่กังวลใจเช่นนี้ ข้าก็ลำบากใจยิ่งนัก”
“เจ้าและข้าเป็นคู่สามีภรรยากัน เหตุใดจึงพูดเช่นนี้เล่า” ซูอวี้เสียงไม่ได้กล่าวมากความอีก เขาแค่ตั้งใจกินอาหารไปเท่านั้น
หลังจากที่กินอาหารค่ำเสร็จ เหยาเฟิ่งเกอก็สั่งให้หู่พั่วไปเตรียมน้ำร้อนให้ซูอวี้เสียงอาบน้ำ หลังจากซูอวี้เสียงเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้วนั้น เหยาเฟิ่งเกอจึงเอ่ยถามซานหูด้วยเสียงแผ่วเบา “สิ่งที่คุณชายสามกล่าวเมื่อครู่ เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำเช่นไรกับเรื่องของน้องรองดี”
ซานหูครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะพูดขึ้น “คุณหนูรองซื้อบ้านนาด้วยตนเอง? บ้านนารอบเมืองอวิ๋นนั้นราคาสูงลิ่ว แม้นเป็นเพียงบ้านนาหลังเล็กๆ ทว่าหากไม่ใช้เงินหลายพันตำลึงก็ไม่อาจซื้อได้เจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้ก็ไม่มีสิ่งใดผิดแปลก สินเจ้าสาวเดิมของนางมีร้านค้าอยู่สี่ร้าน ในทุกๆ ปีอย่างน้อยก็มีเงินเข้ากว่าห้าถึงหกพันตำลึงเงิน ในเวลาสั้นๆ นี้ ก็พอที่จะเก็บสะสมเงินมาซื้อบ้านนาได้” เหยาเฟิ่งเกอหัวเราะในลำคอเสียงเบา “ข้าเพียงรู้สึกว่า ความคิดของนางนั้นลึกล้ำสุดหยั่งยิ่งนัก! ก่อนหน้านี้ข้าเพียงคิดว่านางไม่ชอบจวนโหวที่มากด้วยกฎระเบียบ จึงสร้างเรื่องวุ่นวายเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น ทว่ามาวันนี้ ดูท่าแล้ว นางทำเพื่อการมีชีวิตที่เป็นอิสระและความสบายใจของตนเอง จึงพร้อมที่จะทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด”
“ความหมายของคุณหนูคือ?” ตอนที่ซานหูมองดูเหยาเฟิ่งเกอหัวเราะในลำคอนั้น นางรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา
เหยาเฟิ่งเกอมองไปที่ซานหูครู่หนึ่ง แล้วหุบยิ้มพลางพูดขึ้น “เจ้าทำสีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้ามองข้าคล้ายกับเห็นภูตผีเยี่ยงนี้ ข้าน่ากลัวถึงขั้นนั้นเชียวหรือ”
“บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ” ซานหูรีบก้มตัวลง
“ความจริง ก็ไม่มีอะไร การที่นางมีทักษะด้านการแพทย์ที่สะท้านฟ้าเช่นนี้ ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ นางแค่ใช้วิธีบางอย่างทำให้แม้กระทั่งหมอหลวงในสำนักหมอหลวงและผู้เฒ่าไป๋ถึงกับไม่อาจวินิจฉัยโรคได้ ช่างมีความสามารถยิ่งนัก”
“ไม่แน่ว่าคุณหนูรองอาจจะป่วยจริงๆ ก็ได้เจ้าค่ะ…” ซานหูพูดเสียงเบา
“จะมีโรคแปลกพิลึกใดที่แม้แต่ผู้เฒ่าไป๋ก็ไม่อาจวินิจฉัยได้ ข้าไม่เชื่อหรอก” เหยาเฟิ่งเกอทั้งดีใจและหวาดกลัว นางดีใจเพราะผู้ที่มีทักษะความรู้ด้านการแพทย์สะท้านฟ้าผู้นี้คือน้องสาวของตน ทว่าสิ่งที่นางหวาดกลัวก็คือ น้องสาวบุตรีอนุภรรยาผู้นี้ของตนมีความคิดที่ซับซ้อนยิ่งนัก สามารถทำถึงขั้นนี้ เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของตน
ไม่ว่าอย่างไรซานหูก็ไม่เชื่อ เพื่อที่จะย้ายออกไปจากจวนติ้งโหว เหยาเยี่ยนอวี่จะเอาสุขภาพร่างกายของตนมาล้อเล่นเช่นนี้ หากไม่ทันระวังเกิดข้อผิดพลาดจนตนเองเป็นอะไรขึ้นมานั้น จะเป็นเช่นไร? ทว่านางก็ทำได้เพียงขบคิดเท่านั้น กลับไม่กล้าที่จะพูดสิ่งใดให้มากความ จึงทำได้เพียงเอ่ยถามเสียงเบา “เช่นนั้น ตามความหมายของคุณหนู…เรื่องนี้พวกเราควรจะทำเช่นไรเจ้าคะ”
“เจ้าไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อย อีกทั้งบอกกับหลี่หมัวมัวสักคำ พรุ่งนี้พวกเราจะไปวัดฉือซิน”
ซานหูขานรับ ทางด้านหู่พั่วก็ปรนนิบัติรับใช้ซูอวี้เสียงออกมาจากห้องอาบน้ำ เหยาเฟิ่งเกอเดินไปด้านหน้าแล้วหยิบผ้าไปเช็ดผมให้กับซูอวี้เสียงด้วยตนเอง
หู่พั่วปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ นายหญิงและบ่าวทั้งสองช่วยกันปรนนิบัติดูแลซูอวี้เสียงจนเสร็จ หลังจากที่ส่งเขาไปนอนบนเตียง หู่พั่วจึงส่งเหยาเฟิ่งเกอขึ้นเตียงเช่นกัน แล้วค่อยดับเทียน นางถือตะเกียงที่มีแสงไฟสลัวเอาไว้หนึ่งอัน แล้วถอยหลังเดินออกไปด้านนอก
นับตั้งแต่เชื่อฟังคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเฟิ่งเกอใช้วิธีการรมยาเพื่อปรับสมดุลให้กับร่างกายของตน ทุกวันนี้นางยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่า และใจร้อนใคร่อยากมีบุตร
ค่ำคืนนั้น แม้ว่าซูอวี้เสียงจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ทว่าเมื่อเหยาเฟิ่งเกอพยายามประจบประแจงเขา ทำให้เขาครื้นเครงและเกิดความสนใจขึ้นมา ตอนที่ทั้งสองบรรเลงเพลงรักอันหวานหยดย้อยอย่างเคลิบเคลิ้ม จนเผลอตัวร้องครางออกมา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หู่พั่วที่นอนอยู่ด้านนอกรู้สึกร้อนรุ่ม นางรีบเลิกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง เพราะไม่อยากฟังเสียงพวกนั้น ทว่าสุดท้ายนางก็ยังคงนอนไม่หลับ
โชคดีที่เวลาประมาณซานเกิง[1] เสียงของสองสามีภรรยาด้านในก็หยุดลง หู่พั่วรู้สึกทนทุกข์ทรมาน เพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอนมานาน นางจึงหยิบเอาเสื้อคลุมมาสวมแล้วถือรองเท้าของตนออกไปด้านนอก
ผัวจื่อที่เฝ้าเวรยามในตอนกลางคืนนอนขดตัวและม้วนผ้าห่มเอาไว้ตรงระเบียงทางเดิน ค่ำคืนปลายสารทฤดู อากาศช่างเหน็บหนาว ดอกเบญจมาศในสวนนับสิบกระถางค่อยๆ ผลิบาน จันทราและดวงดาวค่อยส่องแสง กลิ่นดอกเบญจมาศหอมอ่อนๆ หู่พั่วทรุดกายลงนั่งตรงบันไดบริเวณระเบียงทางเดิน เพื่อรับลมเย็นๆ พลางพิงเสาของระเบียงทางเดินอยู่ครึ่งชั่วยาม[2]กว่าจะเดินกลับเรือนไปอย่างแผ่วเบา
เช้าวันรุ่งขึ้น เหยาเฟิ่งเกอยังคงกังวลเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่ ด้วยเหตุนี้นางจึงตื่นแต่เช้า
เมื่อครั้นตอนที่ซานหูเข้ามาดูแลปรนนิบัติรับใช้นายหญิงของตนนั้น ก็เพิ่งเห็นว่าหู่พั่วยังคงหลับใหลด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อไม่ขยับไปไหน ซานหูจึงรีบไปปลุกนาง พร้อมเอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนูตื่นแล้ว แต่เจ้ายังเอาแต่นอนอยู่อีกหรือ นอนไม่เต็มอิ่มหรืออย่างไร”
หู่พั่วพลันลืมตาขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ ยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดออกมา นางก็กระแอมกระไออย่างหนัก จากนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา คล้ายว่าศีรษะจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ภาพตรงหน้านั้นเต็มไปด้วยดวงดาวสีอำพัน
“เจ้าไม่สบายหรือ” ซานหูยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของหู่พั่ว จนต้องตื่นตกใจในความร้อนผ่าวๆ ของนาง “สวรรค์! เหตุใดจึงตัวร้อนเช่นนี้?!”
หู่พั่วพลันเอามือของซานหูลง จากนั้นพูดด้วยเสียงแหบพร่า “ไม่เป็นเช่นไรหรอก แค่เมื่อคืนข้าตื่นมาหนึ่งครั้ง แล้วโดนลมที่ค่อนข้างเหน็บหนาวเท่านั้น เจ้าอย่าได้ตื่นตกใจและทำเป็นเรื่องใหญ่เลย รีบเข้าไปช่วยปรนนิบัติรับใช้คุณหนูเถอะ”
อย่างไรก็ตามซานหูก็ไม่ไว้วางใจ นางจึงเรียกให้สาวใช้สองคนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หู่พั่ว แล้วให้นางไปพักที่เรือนด้านข้าง ส่วนตนก็เข้าไปด้านในเรือน เพื่อคอยปรนนิบัติรับใช้เหยาเฟิ่งเกอตื่นนอน
การล้มป่วยของหู่พั่วไม่ได้ทำให้การออกนอกจวนของเหยาเฟิ่งเกอล่าช้าแต่อย่างใด
หลังจากที่กินอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายแล้วนั้น เหยาเฟิ่งเกอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วไปที่เรือนของลู่ฮูหยิน เฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยมาปรนนิบัติรับใช้ลู่ฮูหยินกินอาหารเช้าแต่เช้า เหตุเพราะเหยาเฟิ่งเกอเพิ่งหายจากการเจ็บไข้จึงไม่ต้องมาปรนนิบัติรับใช้นาง การที่นางมาที่เรือนของลู่ฮูหยินแต่เช้าเช่นนี้ จึงทำให้บรรดาสาวใช้และผัวจื่อประหลาดใจ
หลังจากที่เข้าไปในเรือน เหยาเฟิ่งเกอน้อมทำความเคารพลู่ฮูหยิน จากนั้นยืนอยู่ด้านข้าง รอให้ลู่ฮูหยินกินอาหารเช้าจนเสร็จ แล้วค่อยบอกเรื่องที่ตนจะไปวัดฉือซินกับนาง
เฟิงฮูหยินน้อยจึงรีบพูดขึ้น “เมื่อวานได้ยินมาว่าน้องสาวเหยาล้มป่วย คือเรื่องจริง?”
เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนตอบ “จริงเจ้าค่ะ หมอหลวงและผู้เฒ่าไป๋ได้ไปตรวจดูอาการของนางแล้ว พวกเขาล้วนบอกว่าเป็นโรคที่แปลกประหลาดยิ่งนัก อีกทั้งไม่มีวิธีรักษาที่ดีแต่อย่างใด เกรงว่าพวกเขาไม่อาจรักษาได้ ตัวข้าเองก็กังวลใจยิ่งนัก หากพี่สะใภ้ใหญ่รู้ว่าที่ใดมีหมอที่เก่งกาจได้โปรดบอกกับข้าที”
ซุนฮูหยินน้อยพลันปลอบโยน “น้องสาวเหยาเป็นผู้ที่มีวาสนา โรคภัยไข้เจ็บเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่อาจทำอันใดกับนางได้ อีกไม่นานนางก็จะหายดีเอง”
ลู่ฮูหยินก็ปลอบโยน “เจ้าเองก็เพิ่งหายป่วย แล้วยังต้องดูแลน้องสาวของเจ้า ทว่าสุขภาพร่างกายของเจ้าก็สำคัญ เจ้าอยากจะไปเยี่ยมนางก็ไปเถอะ รีบไปรีบกลับล่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอรีบโน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ คำพูดของท่านแม่ สะใภ้จดจำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ”
หลังจากที่เหยาเฟิ่งเกอเดินออกไปนั้น เฟิงฮูหยินน้อยก็ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “พี่น้องคู่นี้ช่างน่าสงสารเสียจริง คนหนึ่งป่วยหนัก ทว่าหลังจากที่อีกคนมาถึงก็หายป่วย พอคนแรกหายดีแล้ว อีกคนก็ล้มป่วยอีก หรือว่าจะเป็นเพราะฮวงจุ้ยของตระกูลเหยาผิดเพี้ยนไป”
[1] ซานเกิง เที่ยงคืน
[2] ครึ่งชั่วยาม เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง