ตอนที่ 48 ส่งมอบที่นาและเรือนที่อยู่อาศัย

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

หลายวันมานี้ซุนฮูหยินน้อยช่วยลู่ฮูหยินสะสางงานในเรือนมาโดยตลอด ทำให้นางค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวเอง นางจึงไม่อยากฟังคำพูดที่ตอกย้ำเจือค่อนขอดของเฟิงฮูหยินน้อย ดังนั้นนางยกยิ้มพลางเอ่ยพูด “ปุถุชนที่ยังต้องกินข้าวในใต้หล้านี้ มีใครบ้างที่จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวได้อย่างน่าแปลกพิลึกเกินไปหรือไม่”

ลู่ฮูหยินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางพูดขัดจังหวะคำพูดของสะใภ้ทั้งสองคน แล้วเอ่ยพูดกับเฟิงฮูหยินน้อย “ฮองเฮาเหนียงเหนียงในพระราชวังทรงประชวร ตามพระราชโองการในวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันเข้าเฝ้าแล้ว เจ้าที่เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ ครั้งที่แล้วสุขภาพร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรงจึงไม่อาจไปเข้าเฝ้าในวังหลวง จิ้งเฟยเหนียงเหนียงก็ทรงตรัสถามถึงเจ้า ตอนนี้เจ้าก็ไม่เป็นไรแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ วันรุ่งขึ้นเจ้าจงติดตามข้าเข้าไปในวังหลวง”

เฟิงฮูหยินน้อยย่อตัวลงพลางขานรับ “เจ้าค่ะ”

ซุนฮูหยินน้อยยิ้มพลางพูดขึ้น “วันที่หกเดือนเก้าเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านแม่ ถึงแม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น ทว่ากลับเป็นวันที่ท่านแม่มีอายุครบห้าสิบปี องค์หญิงต้าจั่งทรงตรัสแล้ว ว่าจะให้คนทั้งตระกูลอยู่ร่วมกันและออกไปท่องเที่ยวร่วมกันเสียสองวัน สะใภ้จึงมีความเห็นว่า ในวันนั้นไม่จำเป็นต้องจัดงานเลี้ยงอลังการ แค่เพียงให้ญาติๆ สองสามครอบครัวมานั่งพูดคุยเล่นกันก็เพียงพอแล้ว ทิวทัศน์ท่ามกลางภูเขาของเรือนพักผ่อนจื่ออวิ๋นที่อยู่ในเขตชานเมืองของพวกเรากำลังเหมาะสม เช่นนั้นพวกเราทั้งครอบครัวก็ไปพักผ่อนที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งวัน ท่านแม่คิดว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”

ลู่ฮูหยินครุ่นคิด “ในขณะนี้ทิวทัศน์ท่ามกลางภูเขาย่อมดี แค่ว่าหากไปถึงที่โน่นก็คงจะมีหลายสิ่งที่ไม่อำนวยความสะดวก อย่าได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย”

ซุนฮูหยินน้อยยกยิ้มพลางพูดขึ้นทันที “เมื่อวานองค์หญิงต้าจั่งทรงตรัสว่าการที่ต้องอุดอู้อยู่ในตำหนักนั้นช่างน่าเบื่อยิ่งนัก องค์หญิงต้าจั่งใคร่อยากออกไปพักผ่อนหย่อนใจ สะใภ้คิดว่านี่ก็ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของท่านแม่พอดี ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

“อืม หากเป็นดังนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ไปจัดการเถอะ” ลู่ฮูหยินได้ยินว่าองค์หญิงต้าจั่งใคร่อยากออกไปพักผ่อนหย่อนใจ จึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใจ

ซุนฮูหยินขานรับสั้นๆ ย่อตัวน้อมคำนับพลางกล่าวอำลาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแสดงความมีชัย เฟิงฮูหยินน้อยจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น จากนั้นย่อตัวน้อมคำนับ “ท่านแม่หากไม่มีกิจธุระอะไรแล้ว สะใภ้คนนี้ขอตัวกลับไปเตรียมตัวเพื่อที่จะเข้าวังหลวงก่อนเจ้าค่ะ”

ลู่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย “ไปเถอะ”

ซุนฮูหยินน้อยออกจากเรือนก่อน และเฟิงฮูหยินน้อยก็ค่อยเดินออกมาทีหลัง จากนั้นก็บังเอิญไปได้ยินแม่นมของซูจิ่นเซวียนกำลังยกย่องเชิดชูซุนฮูหยินน้อย “เรื่องงานเลี้ยงวันเกิดได้มอบหมายให้นายหญิงไปจัดการเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าฮูหยินยิ่งนานวันยิ่งไว้ใจนายหญิงมากขึ้น”

“ฮูหยินสามารถเชื่อและไว้วางใจพวกเราได้ เช่นนั้นพวกเรายิ่งต้องตั้งใจสร้างผลงานออกมาให้ดี สิ่งที่พวกเราควรทำนั้นคืออย่าปล่อยให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์” น้ำเสียงของซุนฮูหยินน้อยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

สาวใช้ผู้เป็นแม่นมด้วยนามซินเอ๋อร์ที่คอยติดตามข้างกายเฟิงฮูหยินน้อย เห็นสีหน้าที่ย่ำแย่ของนางจึงปลอบโยนเสียงเบา “ก็แค่คำพูดพล่อยๆ ของคนคิดน้อย นายหญิงอย่าทนฟังเลยเจ้าค่ะ ได้เวลาดื่มยาต้มแล้ว พวกเรารีบกลับกันเถอะเจ้าค่ะ”

“อืม” เฟิงฮูหยินน้อยแสยะยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเรือนชิงผิง

เหยาเฟิ่งเกอพาหลี่หมัวมัว ซานหู หลี่จงและบ่าวไพร่คนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังวัดฉือซินโดยเร็ว พอเข้าไปภายในอุโบสถก็จุดธูปถวายพระโพธิ์สัตว์กวนอิม แล้วค่อยให้พระอาจารย์ในวัดฉือซินพาพวกนางไปเรือนหลังจู๋ซิน เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้ข่าวเมื่อเหยาเฟิ่งเกอมาถึงที่วัดฉือซิน ดังนั้นนางจึงไม่ได้ตื่นตระหนก ทำเพียงพิงอยู่บนตั่งไม้ด้วยความใจเย็น เพื่อรอคอยพี่สาวนางมาเยือน

หลังจากเดินเข้าประตู เหยาเฟิ่งเกอยืนนิ่งอยู่ตรงโถงหลัก ซานหูรีบเข้าไปถอดชุดคลุมขนนกยูงสีฟ้าออก จากนั้นก็แขวนอย่างระมัดระวังบนตะขอสำหรับแขวนเสื้อ

ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงต่างเดินเข้าไปน้อมคำนับ จากนั้นก็พาเหยาเฟิ่งเกอเข้าไปในห้องนอนที่เหยาเยี่ยนอวี่อยู่ ชุ่ยเวยรีบเดินเข้าไปเลิกม่านขึ้น จากนั้นเหยาเฟิ่งเกอจึงถามขึ้น “วันนี้น้องสาวรู้สึกเป็นเช่นไรบ้างแล้ว” หลังจากที่เท้าหนึ่งข้างก้าวข้ามธรณีประตู ก็เห็นใบหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่คลุมด้วยหน้ากากตาข่ายไว้ และตรงหน้าผากของนางยังมีตุ่มแดงสองตุ่ม จึงหยุดชะงักฝีเท้าลงทันที

ตลอดทางที่นางเดินทางมาก็มัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยครั้งนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าการป่วยครั้งนี้นางแกล้งทำขึ้นมาเอง เพื่อที่จะวางแผนออกจากจวนติ้งโหว ทว่าตอนที่ได้เห็นสภาพของเหยาเยี่ยนอวี่ ความเชื่อมั่นเช่นนั้นของนางก็จืดจางหายไปกว่าครึ่งในพริบตาเดียว

ไม่ว่าตระกูลของสตรีนั้นจะเป็นอย่างไร นางก็ควรรักใคร่ในรูปโฉมของตนเอง ปุถุชนทั่วไปสามารถเจ็บไข้ได้ ร่างกายสามารถอ่อนแอได้ แต่หากดวงหน้าที่งดงามดั่งบุปผาถูกทำลายไปก็ไม่อาจกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิมอีก ในใจของเหยาเฟิ่งเกอรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เวลานี้นางก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้องสาวคนนี้ป่วยจริงหรือไม่

เหยาเยี่ยนอวี่พยุงมือของเฝิงหมัวมัวแล้วลงจากเตียงเพื่อน้อมคำนับเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงแหบพร่า “พี่สาว”

“อย่าได้ลุกขึ้นเลย” เหยาเฟิ่งเกอได้สติกลับมา จึงเดินหน้าไปสองก้าวแล้วพยุงนาง “เจ้ายังป่วยอยู่ นอนพิงอยู่บนเตียงก่อนเถอะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยความไม่ใส่ใจ “จริงๆ อาการป่วยครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เพียงแต่ดวงหน้าแลดูไม่ค่อยดีเท่านั้น จึงทำให้ผู้อื่นตกใจได้ง่าย พี่สาวอย่าได้กังวลใจไปเลย ช่วงนี้ข้ากินอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ ข้ารู้สึกว่าร่างกายของข้าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”

ชุ่ยเวยยกถ้วยชาเข้ามาสองถ้วย แล้วยกให้ผู้ที่มาเยือนด้วยความเคารพ “คุณหนูใหญ่เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ นี่เป็นชาดอกเบญจมาศจากหลังเรือนพำนักนี้ ช่วยขับความร้อนในตับ และทำให้ตาเปล่งประกาย เหมาะแก่การดื่มในเวลานี้เจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า ทว่าไม่รับน้ำชาไว้ แค่เอ่ยขึ้น “วางไว้เถอะ”

ชุ่ยเวยขานรับ จากนั้นก็วางถ้วยน้ำชาไว้ตรงโต๊ะที่อยู่ข้างกายของเหยาเฟิ่งเกอ พลางยื่นชาอีกถ้วยหนึ่งให้เหยาเยี่ยนอวี่

เหยาเฟิ่งเกอเหลือบมองซานหู จากนั้นซานหูและหลี่หมัวมัวจึงน้อมคำนับแล้วถอยออกไปข้างนอก

เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเช่นนี้ จึงหันไปสั่งการเฝิงหมัวมัว “หมัวมัว ข้ากับพี่สาวจะพูดคุยกัน ท่านไปดูยาต้มให้ข้าหน่อยเถอะ”

เฝิงหมัวมัวและชุ่ยเวยจึงลุกขึ้นแล้วย่อตัวน้อมคำนับ จากนั้นก็ถอยออกไปข้างนอกอย่างเงียบๆ

เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือขึ้นแล้วแกะหน้ากากผ้าตาข่ายที่ปกคลุมใบหน้าออก จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม เหยาเฟิ่งเกอเห็นแก้มของนางที่ยังมีตุ่มแดงอีกสามตุ่ม ตรงหน้าผากมีอยู่สองตุ่ม บนดวงหน้าของนางจึงมีตุ่มทั้งหมดห้าตุ่ม เป็นตุ่มสีชมพูสดที่คล้ายกับถูกยุงและแมลงกัดต่อย สิ่งที่น่าแปลกคือถึงแม้ว่าจะมีตุ่มแดงพวกนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทว่ากลับไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ที่ไม่แยแสต่อพวกมันของเหยาเยี่ยนอวี่เลย

ในใจของเหยาเฟิงเกอครุ่นคิดอีกครา จากนั้นก็ถามขึ้น “หลังจากที่เจ้ากินยาของผู้เฒ่าไป๋ไปแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อนพลางพูดขึ้น “หากข้าพูดตามความจริง พี่สาวอย่าได้ตำหนิข้านะเจ้าคะ”

“เจ้าพูดมาเถอะ ไม่เป็นไร”

“ยาของผู้เฒ่าไป๋ใช้กับข้าไม่ได้ผลอันใด”

เหยาเฟิ่งเกอมองเหยาเยี่ยนอวี่พร้อมกับคลี่ยิ้มนุ่มนวลออกมา “เป็นดังคาด”

เหยาเฟิ่งเกอจับจ้องดวงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ไปสักพักแล้วถามขึ้น “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้ ยังมีอีกหลายวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องกลับจวนติ้งโหว เหตุใดถึงต้องเลือกวิธีนี้โดยเอาร่างกายของตนเองมาล้อเล่น”

เหยาเยี่ยนอวี่มองเหยาเฟิ่งเกอด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พร้อมกับพูดเสียงนุ่มนวล “พี่สาว จริงๆ ข้าคิดและทำเผื่อท่านทั้งหมด หรือว่าท่านยังไม่เข้าใจอีกเจ้าคะ?”

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ” เหยาเฟิ่งเกอที่เป็นหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมก็มีเรื่องที่นึกคิดไม่ออกด้วย

เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างสงบเสงี่ยม “ข้าป่วยเป็นโรคที่แปลกประหลาดแล้วไม่สามารถกลับจวนติ้งโหวได้ นี่ก็เป็นเพียงเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่อให้ท่านพ่อทราบเรื่องนี้ก็ไม่สามารถตำหนิท่านได้ และเมื่อตระกูลอ๋องและชนชั้นสูงในเมืองอวิ๋นรู้ก็ไม่อาจกล่าวหาว่าพี่สาวไม่สนใจในความสัมพันธ์ของพี่น้อง อีกทั้งทางฝั่งองค์หญิงต้าจั่ง ท่านติ้งโหวและฮูหยินโหวเอง ท่านก็มีคำตอบที่สมเหตุสมผลให้กับพวกนางแล้ว ไม่ใช่หรือ”

“ดังนั้นเจ้าเลยป่าวประกาศเรื่องที่เจ้าป่วยไปทั่ว แม้กระทั่งจวนอัครเสนาบดียังรู้กระนั้นหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้า จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ตนช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงในวันนั้นคร่าวๆ แล้วพูดขึ้น “จวนอัครเสนาบดีรู้ว่าข้าป่วย เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายของข้าอย่างสิ้นเชิง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเป็นผู้ที่มีความเมตตาอยู่แล้ว”

เหยาเฟิ่งเกอจึงถามขึ้นต่อ “เช่นนั้นเรื่องของบ้านไร่บ้านนาล่ะ?”

“เรื่องบ้านนา ข้าสั่งให้เหล่าเฝิงไปซื้อเอง ส่วนเงินตำลึงที่ซื้อก็มาจากการเอาเครื่องประดับสองชุดที่หลิงซีจวิ้นจู่มอบให้ข้าไปจำนำ”