เหยาเฟิ่งเกอได้ยินเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเหยียดกายลุกขึ้น นางเดินตรงไปยังด้านหน้าเตียงของเหยาเยี่ยนอวี่ วางท่าเป็นพี่สาวคนโตแล้วชี้หน้าต่อว่าเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้า! ช่างกล้ายิ่งนัก! ของกำนัลที่จวิ้นจู่ให้ก็กล้านำไปจำนำอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้หากท่านพ่อรู้เข้าจะว่าอย่างไร เจ้ายังกล้ากล่าวอีกว่าไม่อยากให้ข้าถูกท่านพ่อตำหนิ?”
เหยาเยี่ยนอวี่ก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใด นางรู้แต่แรกแล้วว่าเหยาเฟิ่งเกอต้องตำหนิเรื่องนี้ แน่นอนว่าการที่นำของกำนัลที่จวิ้นจู่ให้ไปจำนำเพื่อเงินเพียงไม่กี่พันตำลึงเงินนั้นไม่ถูกต้อง ทว่าสิ่งที่นางต้องการก็คือความไม่เหมาะสมเช่นนี้นี่แหละ
นางต้องการที่จะแสดงความโง่เขลาเบาปัญญาต่อหน้าเหยาเฟิ่งเกอ ทำทีท่าเป็นคนไม่มองการณ์ไกล เมื่อเป็นเช่นนี้เหยาเฟิ่งเกอจะได้วางใจ
อย่าได้เอาความเฉลียวฉลาดไปเทียบกับคนฉลาด นี่คือสิ่งหนึ่งที่เหยาเยี่ยนอวี่เรียนรู้ตลอดสิบปีที่ผ่านมา หลังจากที่นางทะลุมิติมายังราชวงศ์ต้าอวิ๋น
“เจ้าเอาของเหล่านั้นไปจำนำที่โรงรับจำนำใด” เหยาเฟิ่งเกอมองดูเหยาเยี่ยนอวี่ที่ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา ในที่สุดก็เรียกสติที่พี่สาวคนโตควรมีกลับมา จึงเก็บความโกรธเคืองเอาไว้ จากนั้นนั่งลงข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วกลายเป็นพี่สาวผู้แสนใจดีอีกครั้ง “ประเดี๋ยวกลับไปข้าจะให้คนไถ่กลับคืนมาให้เจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยเสียงค่อย “โรงรับจำนำฝูอวี้หลงเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอโกรธเคืองจนหัวเราะออกมา “เจ้านี่มันทำได้ดีจริงๆ เลย! ช่างเถอะ เมื่อเป็นเช่นนี้ตั๋วจำนำที่ได้มาก็ไม่ต้องเอาให้ข้าแล้ว” โรงรับจำนำฝูอวี้หลงเป็นโรงรับจำนำของเหยาเฟิ่งเกอ เป็นสินสมรสที่นางได้มาเมื่อครั้งที่สมรสกับซูอวี้เสียง
“เจ้าคะ?” เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้าขึ้นมองเหยาเฟิ่งเกอ ดวงตาคู่นั้นมีหมอกบางๆ น้ำตาคลอเบ้า มองดูแล้วช่างใสซื่อยิ่งนัก
“นั่นเป็นโรงรับจำนำของข้า!” เหยาเฟิ่งเกอหยิบผ้าผืนเล็กมาซับน้ำตาให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ นางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดออกมา “แต่ครานี้ความโง่เขลาของเจ้าก็ถือว่าเป็นเรื่องดี หากเจ้านำไปจำนำที่โรงรับจำนำอื่น เมื่อผู้อื่นรู้ว่าเป็นเครื่องประดับของจวิ้นจู่จวนอัครเสนาบดี ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะมีข่าวลือออกมาเช่นไรบ้าง!”
แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่ย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นสินสมรสของเหยาเฟิ่งเกอ ต่อให้นางไม่รู้ เถ้าแก่ในร้านค้าของนางจะเลี้ยงไว้แล้วเสียข้าวสุกเชียวหรือ? เฝิงโหย่วฉุนเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลา ตัวของเหยาเยี่ยนอวี่เองก็มีร้านเครื่องประดับ หากต้องการคิดที่จะขายเครื่องประดับเหล่านั้นจริง เหตุใดยังจำต้องไปร้านค้าอื่น เพียงแต่นางไม่ได้บอกความจริงไปตั้งแต่แรกก็เท่านั้น เวลานี้นางจึงไม่อาจเปิดเผยความจริงออกมา ด้วยเหตุนี้นางจึงยกยิ้มด้วยความเขินอาย “ต้องลำบากพี่สาวเสียแล้ว”
แน่นอนว่าเหยาเฟิ่งเกอไม่ใช่สตรีที่โง่เขลา ด้วยเหตุนี้นางจึงเอ่ยถามขึ้น “ตัวเจ้าเองก็มีร้านเครื่องประดับไม่ใช่หรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าด้วยความอึดอัดขัดเขิน “นั่นเป็นเพียงแค่ร้านค้าเล็กๆ เท่านั้น เงินทองหมุนเวียนในร้านตลอดทั้งปีก็มีเพียงไม่กี่พันตำลึงเงิน หากมีเงินสำรองในมือจริงๆ ข้าจำเป็นต้องเอาเครื่องประดับเหล่านั้นไปจำนำด้วยหรือเจ้าคะ”
เมื่อเหยาเฟิ่งเกอได้ยินเช่นนี้ ภายในใจของนางก็มีความสุขขึ้นมา แน่นอนว่าสินสมรสแต่งงานของบุตรีภรรยาเอกและบุตรีอนุภรรยานั้นย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หากไม่ใช่เพราะเหยาเยี่ยนอวี่เตรียมตัวที่จะออกเรือนมายังจวนติ้งโหวเพื่อเป็นจี้ซื่อ อีกทั้งยังออกเรือนมาด้วยความน่าสงสารและไม่อาจป่าวประกาศได้ สินเดิมของนางก็คงจะเป็นเพียงสิ่งของไม่กี่อย่างเท่านั้น เกรงว่าจะไม่มีทั้งที่นาและร้านค้าต่างๆ
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหยาเฟิ่งเกอก็เอ่ยถามขึ้น “บ้านนาหลังเล็กของเจ้าเพิ่งซื้อได้เพียงไม่กี่วัน เรือนหลังนั้นเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่เลือกที่จะพูดตามความเป็นจริง “เก็บกวาดออกมาส่วนหนึ่งก่อนเจ้าค่ะ ส่วนที่เหลือนั้นค่อยๆ จัดและเก็บกวาดในภายหลัง”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ช่างเหล่านั้นย่อมต้องพักอาศัยที่เรือนไม่ใช่หรือ หากเป็นเช่นนี้เจ้าจะย้ายเข้าไปอยู่ได้อย่างไร” เหยาเฟิ่งเกอเสนอความคิดเห็น “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ช่างเหล่านั้นมีนิสัยหลากหลายประเภท หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะสู้หน้าท่านพ่อท่านแม่อย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เช่นนั้น ก็ทำได้เพียงพักอยู่ที่นี่ไปก่อนเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอจึงถามขึ้นอีก “ได้ยินมาว่า บ้านนาที่เจ้าซื้อนั้นอยู่ทางเขตตอนใต้ของเมือง? ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าเองก็มีบ้านนาหลังเล็กอยู่ละแวกนั้นเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีคนคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา ข้าวของเครื่องใช้ก็ครบครัน สู้ย้ายไปอยู่ที่นั่นก่อน ไม่ดีกว่าหรือ”
ขณะที่กล่าวขึ้น เหยาเฟิ่งเกอก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันตนเอง “เจ้าช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงไว้ พวกนางให้เครื่องประดับมูลค่าเป็นหมื่นตำลึงเงินกับเจ้า เจ้าช่วยชีวิตพี่สาวคนนี้ ทว่าข้ากลับไม่อาจให้สิ่งใดกับเจ้าได้ เช่นนั้นบ้านนาหลังเล็กนี้ถือว่ายกให้เจ้าก็แล้วกัน ประเดี๋ยวกลับไปข้าจะให้คนเอาโฉนดที่ดิน สัญญาซื้อขายและบ่าวรับใช้พวกนั้นให้เจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบนั่งตัวตรงขึ้นทันที แล้วพูดอย่างรู้สึกผิด “ข้าไม่กล้ารับไว้หรอกเจ้าค่ะ เรื่องที่ข้ารักษาโรคให้กับพี่สาวนั้นเป็นเรื่องที่สมควร จะให้ข้ารับบ้านนาของพี่สาวมาได้อย่างไร! ทำเช่นนี้ข้าจะเป็นคนเช่นไรกัน! ข้ากลัวว่าท่านพ่อและท่านแม่ก็ไม่อาจให้อภัยข้าได้”
“เจ้ารู้จักกลัวด้วยหรือ” เหยาเฟิ่งเกอหัวเราะเล็กน้อย “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ของของข้าก็คือของของเจ้า ข้าและเจ้าเป็นพี่น้องกันแล้วจะแบ่งของใครของมันไปไยเล่า แม้ว่าข้าจะล้มป่วยมานาน ไม่ได้ไปดูแลจัดการกับทรัพย์สมบัติเหล่านี้มานานเป็นปี ทว่าโชคดีที่หลี่จง บุตรชายของหลี่หมัวมัวเป็นคนซื่อสัตย์ หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ บ้านนาและร้านค้าของข้า พวกเขาล้วนดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้ง หากไม่ใช่เพราะเจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ เวลานี้ข้าก็คงไปเข้าเฝ้าท่านพญายมแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าก็ล้วนตกเป็นของเจ้ามิใช่หรือ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อยู่ดีๆ เหยาเฟิ่งเกอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นเพียงที่นาไม่กี่ไร่ ห้องหับไม่กี่ห้องเท่านั้น ของเหล่านี้เมื่อยามสิ้นใจตายไปแล้วก็ไม่อาจเอาไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อและท่านแม่ต่างก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง มีเพียงแค่พวกเราสองพี่น้องเท่านั้นที่จะพึ่งพาอาศัยกัน ชีวิตของเราจึงจะสามารถดำเนินไปได้อย่างมีความสุข”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหากตนไม่รับบ้านนาหลังนี้ของเหยาเฟิ่งเกอไว้ เกรงว่านางจะไม่สบายใจ ด้วยเหตุนี้จึงขานรับ “พี่สาวพูดถูกเจ้าค่ะ ข้าจะทำตามทุกอย่างที่พี่สาวจัดเตรียมเอาไว้”
“เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็สั่งให้พวกบ่าวเก็บข้าวของให้เรียบร้อยเถอะ เลือกวันสะดวกขนย้ายข้าวของ ถึงเวลานั้นข้าจะให้รถม้ามารับเจ้า” เหยาเฟิ่งเกอเหยียดกายลุกขึ้นช้าๆ นางเดินไปตรงหน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออก ลมเย็นๆ พัดเข้าอย่างแผ่วเบา ทำให้พัดพาความกังวลใจของพี่น้องทั้งสองคนไปด้วย
เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงรู้สึกเกรงใจ “ทำให้พี่สาวต้องเหน็ดเหนื่อยเสียแล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอยืนอยู่ตรงหน้าต่างครู่หนึ่ง จากนั้นหมุนตัวหันกลับมาเอ่ยถาม “อาการป่วยของเจ้านั้นเป็นอย่างไรกันแน่ บอกความจริงกับข้าได้หรือไม่”
“มีอะไรที่ไม่อาจบอกพี่สาวได้เล่า” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบางๆ “ข้าเพียงแค่ปรุงยาขับความเย็นและความร้อนในร่างกาย ทำให้พิษร้อนและพิษเย็นที่สะสมอยู่ในร่างกายมาเป็นเวลานานขับออกมาทางผิวหนังก็เท่านั้น จากนั้นรอประมาณหนึ่งถึงสองเดือนก็จะดีขึ้นเอง พี่สาววางใจเถอะ โรคนี้ไม่อาจติดต่อกันได้”
หลังจากที่เหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่พูดคุยกันอยู่นาน นางก็อยู่กินอาหารมังสวิรัติที่วัดฉือซิน พอตกเย็นจึงกลับเข้าเมืองไป
สองวันหลังจากนั้น เหยาเฟิ่งเกอก็สั่งให้หลี่จงนำรถม้ามารับเหยาเยี่ยนอวี่ที่เรือนพำนักของวัดฉือซิน เพื่อส่งนางไปอยู่ที่บ้านนามู่เย่ว์ เมื่อครั้นตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่มานั้นไม่ได้เอาของมามากมาย ด้วยเหตุนี้จึงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงก็เก็บข้าวของจนเสร็จ
บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ขนย้าย คนที่ยกข้าวของก็ยกข้าวของ พวกนางเอาหีบเหล่านั้นขนย้ายไปไว้บนรถม้า เหยาเยี่ยนอวี่ที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ นางคลุมทับด้วยเสื้อคลุม พร้อมทั้งสวมหมวกคลุมศีรษะเอาไว้ แล้วใช้ผ้าตาข่ายปิดบังใบหน้า แล้วค่อยๆ เดินออกไปโดยมีมือของชุ่ยเวยช่วยพยุงไปจากเรือนจู๋ซินแล้วกล่าวอำลาบรรดาพระอาจารย์ในวัดฉือซิน
พระอาจารย์จิ้งฟังผู้เป็นเจ้าอาวาสของวัดฉือซินให้ผ้าห่อเล็กๆ หนึ่งห่อกับเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพูดขึ้น “ของสิ่งนี้ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงแห่งวัดต้าเจวี๋ยเป็นผู้ให้สีกา ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกล่าวว่าสีกามีจิตใจที่เมตตา มีความสามารถในการรักษาโรค ตำราเล่มนี้สีกาเหยานำกลับไปศึกษาให้ดี จะมีประโยชน์อย่างมาก”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เข้าใจ นางรับห่อผ้าผืนนั้นมาแล้วเปิดออก ก็เห็นเพียงตำราเล่มเก่า บนตำรามีตัวอักษรสี่ตัวเขียนเอาไว้ ‘คัมภีร์ไท่ผิง’ ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เหตุใดชาวพุทธจึงมีคัมภีร์คำสอนของลัทธิเต๋า ด้วยเหตุนี้นางจึงเอ่ยถามพระอาจารย์จิ้งฟัง “ข้าน้อยและท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงไม่เคยพบเจอกัน เหตุใดท่านจึงต้องให้สิ่งนี้กับข้าน้อยเจ้าคะ”
“เรื่่องนี้อาจารย์ก็ไม่ทราบเช่นกัน วันข้างหน้าหากมีโอกาสสีกาเหยาก็ควรถามท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงด้วยตนเอง”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดีว่าพูดสิ่งใดไปก็ไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้นางจึงประสานมือทั้งสองข้างแล้วไหว้ไปยังทิศทางวัดต้าเจวี๋ย จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป