ตอนที่ 43 เขากลับไม่รู้ว่าเธออันตรายขนาดนี้

เดิมพันเสน่หา

เฒ่าหัวงูที่หน้าตาหื่นกรามคนนี้ รู้สึกตกใจจนขาอ่อน จากนั้นก็ได้เปิดประตูอย่างเชื่อฟัง แล้วก็ยกสองมือขึ้นเพื่อร้องขอให้เธอไม่ถือสา “ฮีโร่หญิง ยก…ยกโทษให้ผมเถอะ” 

 

 

ทันใดที่ประตูรถถูกเปิดออก เหลิ่งรั่วปิงได้กลิ่นเหม็นฉี่ ทำให้เธอรู้สึกรังเกียจจนต้องขมวดคิ้วทรงสวยขึ้น ตาแก่คนนี้กลับรู้สึกตกใจจนฉี่ราดเลยหรอ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่าแค่พูดมากเพียงคำเดียวกับคนพวกนี้ เธอจึงรู้สึกขยะแขยง ทันใดนั้นเธอก็ยกมือที่ขาวดั่งหยก แล้วใช้ด้ามจับของปืนทุบหัวของเขาจนสลบ จากนั้นก็เดินไปอีกข้างของรถ เพื่อช่วยเวินอี๋ เธอแกะเชือกออกจากข้อมือของเธอ แล้วก็ดึงเศษที่ยัดปากของเธออก 

 

 

เวินอี๋รู้สึกตกใจจนหน้าซีดเผือด และลำตัวสั่นงันงก พูดอะไรไม่ออกสักคำ 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงกอดเธอไว้ในอ้อมกอดด้วยความเจ็บปวดใจ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงต่ำพร่า “เวินอี๋ อย่ากลัวเลย ฉันเป็นเจียงหน่วนซิน” 

 

 

เจียงหน่วนซิน? ตอนแรกเวินอี๋ที่ยังคงตัวสั่นเทาอยู่ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากอ้อมกอดของเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น และรู้สึกตกใจจนอ้าปากค้างไว้ “คุณ…คุณหนู?” 

 

 

เหลิ่งรั่วปิงมองรถของหนานกงเยี่ยใกล้จะขับเคลื่อนเข้ามาถึง เวลาของเธอมีไม่มากแล้ว 

 

 

ถึงแม้เวินอี๋จะอ่อนแอ ทว่าเธอกลับเป็นผู้หญิงที่ฉลาด จึงเข้าใจในความหมายของเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นก็รีบกระซิบพูดข้างหูของเธอ แล้วกลับมาตกอยู่ในสภาวะที่รู้สึกหวาดผวาอีกครั้ง  

 

 

ตอนที่รถมาจอดอยู่ใกล้ๆ หนานกงเยี่ยไม่ได้ลงรถ แต่กลับกำหมัดไว้แน่นๆ แล้วหลับตาลง เพราะว่าเขากลัวว่า ถ้าเขาลงรถไป เขาจะอดใจไม่ไหวจนอยากที่จะบีบคอเหลิ่งรั่วปิงจนคอขาด 

 

 

ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ส่งผลกระทบต่อเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้หญิงที่นอนเตียงเดียวกับเขาในทุกวัน จะเป็นผู้หญิงที่อันตรายมากขนาดนี้ 

 

 

“หนานกง แกกำลังลังเลอะไรอีก ผู้หญิงคนนี้เก็บไว้ไม่ได้!” มู่เฉิงซีจับจ้องหนานกงเยี่ยนอีกด้วยความร้อนใจ 

 

 

หนานกงเยี่ยไม่พูดไม่จาอะไร และกำหมัดให้แน่นกว่าเดิม ใบหน้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งสงบลง คนที่สนิทกับเขาจะรู้ดีว่าตอนนี้กำลังทะเยอทะยานและกำลังครุ่นคิดอยู่ 

 

 

ผ่านไปสักพักใหญ่ มู่เฉิงซีเอ่ยพูดอีกครั้ง “ถ้าแกไม่ลงมือ ฉันจะเป็นคนจัดการแทนแกเอง!” 

 

 

พูดไป มู่เฉิงซีจึงชักปืนตรงเอวออกมา 

 

 

“ถ้าแกกล้าลงมือกับเธอ ฉันจะไม่ปล่อยแกเอาไว้แน่!” หนานกงเยี่ยกัดฟันพูดขึ้น จากนั้นก็ตัดสินอย่างยากลำบาก “ก่วนอวี้ พาเธอกลับวิลล่าหย่าเก๋อก่อน” 

 

 

“หนานกง!” มู่เฉิงซีทำสีหน้าที่ไม่น่าเชื่อขึ้น 

 

 

ก่วนอวี้ก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน นี่ไม่ใช่นิสัยของคุณชายเยี่ย เขากลายเป็นคนที่อ่อนโยนต่อผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน 

 

 

หนานกงเยี่ยไม่สนใจสีหน้าของพวกเขา และออกคำสั่งกับมู่เฉิงซี “เรื่องของวันนี้ ไม่ว่าแกจะทำวิธีอะไรก็ตาม ห้ามเปิดเผยตัวตนของเหลิ่งรั่วปิงเด็ดขาด” เขาหยุดชะงักไปแล้วพูดขึ้นต่อ “ตอนนี้ แกลงรถได้!” 

 

 

“หนานกง แกต้องเสียใจที่แกทำแบบนี้ลงไป!” มู่เฉิงซีอดทนไม่ไหว จึงทำได้เพียงลงจากรถ แล้วโทรหาตำรวจมาจัดการเรื่องนี้ 

 

 

ก่วนอวี้เองก็ลงรถแล้วเชิญเหลิ่งรั่วปิงขึ้นรถ เหลิ่งรั่วปิงลังเลไปสักพัก จากนั้นก็ฝากเวินอี๋ให้มู่เฉิงซีดูแล เธอจึงตามก่วนอวี้ไปขึ้นรถ 

 

 

หนานกงเยี่ยพิงอยู่ข้างหลังเบาะ และหลับตาไม่พูดไม่จา สีหน้าดูเลือดเย็นอย่างแปลกพิลึกกว่าปกติ 

 

 

ยังไงเธอก็เป็นคู่นอนของเขามาหนึ่งเดือนกว่าๆ เธอก็สามารถดูออกว่าหนานกงเยี่ยกำลังโมโหมากๆ โมโหจนลุกเป็นไฟ เมื่อกี้เขาไม่ได้เอาปืนจี้ถามเธอ เธอก็รู้สึกขอบคุณมากๆ แล้ว 

 

 

เธอรู้ เรื่องของวันนี้ก็ได้ทำให้ใจของเขามัวหมอง ยังไงเธอก็ต้องคิดหาคำพูดที่สมเหตุสมผลมาอธิบายให้ได้ ไม่งั้นเธอคงต้องตายและเดินผ่านประตูนรกแน่นอน ทุกคนมักจะลือกันว่าหนานกงเยี่ยเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก สิ่งที่เขาลือกันไม่ได้เป็นข่าวโคมลอยแน่นอน 

 

 

ก่วนอวี้สตาร์ทรถอย่างเงียบๆ หูทั้งสองข้างของเขากำลังเงี่ยขึ้น เพื่อฟังเสียงเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านหลังตลอดเวลา 

 

 

คุณชายเยี่ย: เหลิ่งรั่วปิง คุณคิดว่าผมควรฆ่าคุณดีไหม 

 

 

คนสวยเหลิ่ง: หึๆ ก็เอาสิ!