ตอนที่ 74-3 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้าแตกในวัง

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

พอหงเยียนเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่ม ก็ลองหยั่งเชิงดู

 

 

“คุณชาย เป็นอย่างไรบ้าง ตารางที่นายข้าเขียน ชัดเจนใช่ไหม”

 

 

“มีการคิดคำนวณในใจแล้วจริงๆ ดูๆ ไป การค้าเช่นนี้มีกำไร ไม่ขาดทุนแน่ รัดกุมมาก” ชายหนุ่มพับจดหมายคืนดังเดิม เก็บกลับไปให้นายของตนดู

 

 

ได้ยินดังนี้ ตาสวยของหงเยียนก็ทอประกาย ยิ้มในแววตา โน้มศีรษะไปข้างหน้า บอกเรื่องที่อวิ๋นหว่านชิ่นกำชับไว้

 

 

“ทำการค้า ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเชื่อมั่น เมื่อคุณชายรู้สึกว่านายข้าเป็นคนรู้งาน และธุรกิจมีอนาคตไกล ยินดีที่จะมาเป็นหุ้นส่วนกันไหม”

 

 

ชายหนุ่มครุ่นคิด ที่แท้นางก็คิดใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้ร้านมา หึๆ นับว่าฉลาดมาก ถ้าให้สู้เรื่องเงิน นางย่อมรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ แต่ถ้าสามารถร่วมทุนกัน นางได้ร้านแน่ และไม่แน่ว่า ค่าเซ้งร้านสักแดง นางก็ไม่ต้องจ่าย

 

 

“ร่วมหุ้น?” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

 

 

“ขอถามหน่อยสิ” หงเยียนยังไม่ตอบคำถามในทันที พลันยิ้มแล้วถามกลับ “นายของคุณชายเซ้งหน้าร้านที่ถนนจิ้นเป่า เพื่อเปิดร้านอะไรหรือ”

 

 

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วแบมือออกอย่างเกียจคร้าน “อะไรก็ได้ ขายเสื้อผ้า ขายทอง หรือไม่ก็เปิดเป็นร้านน้ำชา โรงเหล้า ถ้าขอใบอนุญาตจากทางการได้ ก็อาจเปิดเป็นหอนางโลม หรือบ่อนการพนัน แต่ถ้ายังไม่ได้อีก ก็ปล่อยทิ้งไว้ก่อน มีโอกาสค่อยปล่อยเช่า กินค่าเช่าไป”

 

 

เป็นไปตามที่คุณหนูอวิ๋นคาด เถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ กินอิ่มแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี จึงเอาเงินมาเผาเล่น ตอนนี้เศรษฐีมีกะตังค์ในต้าเซวียนจำนวนไม่น้อยเที่ยวกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ แล้วปล่อยทิ้งไว้เก็งกำไร คิดว่าเถ้าแก่ท่านนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่!

 

 

หงเยียนขมวดคิ้วน้อยๆ แต่กลับยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบาน

 

 

“เช่นนี้จะว่าไป นายของคุณชายก็ค่อยๆ เดินไปทีละขั้น ไม่มีแผนการ ถึงเซ้งร้านที่ถนนจิ้นเป่าไว้ ก็มิได้เข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ต้องจ้างคนมาดูแล ซึ่งประจวบเหมาะกับนายข้ามีแผนสำเร็จรูปอยู่พอดี จึงสามารถปล่อยให้นายข้าจัดการได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่นายข้าไม่ใช่ลูกจ้างช่วยงานนะ เพราะเราจะร่วมลงทุนด้วยส่วนหนึ่ง ก็เท่ากับร่วมหุ้นกับพวกท่าน กำไรแบ่งกันสี่หก สิ้นปีปันผล”

 

 

“สี่หก? นายข้าเป็นคนจ่ายเงินเซ้งร้าน ถือว่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ แต่ได้แค่หก?” ชายหนุ่มหรี่ตา

 

 

“มิได้” พอหงเยียนเห็นเขาเข้าใจผิด จึงสั่นศีรษะ “นายข้าหก นายของท่านสี่”

 

 

ชายหนุ่มมองหงเยียนนิ่ง “นายเจ้า ไม่โลภไปหน่อยหรือ”

 

 

หงเยียนยิ้มตาหยี “แต่นายของคุณชายนั้น ไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพียงนั่งอยู่ที่บ้านรับเงินปัน

 

 

ผลในทุกๆ ปีก็พอ ถ้ากำไรมากก็รับมาก ถ้ากำไรน้อยก็รับน้อย แต่นายข้าต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจบริหาร

 

 

จัดการธุรกิจ ดูแลลูกค้า คิดค้นสินค้าใหม่ๆ พัฒนาร้าน ทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีเงินเป็นกำลังใจ จะมีแรงคิดหาวิธีทำกำไรให้นายของคุณชายได้อย่างไร”

 

 

“นี่ก็คือคำพูดของนายเจ้าหรือ” ชายหนุ่มจี้ถามไปทีละจุด

 

 

หงเยียนพยักหน้า “ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของนายข้า ส่วนข้าเป็นผู้ถ่ายทอดให้คุณชายฟัง ตอนนี้ก็ขึ้นกับคุณชายแล้วว่า จะตัดสินใจอย่างไร”

 

 

ชายหนุ่มตรึกตรองสักพัก “พวกเจ้ารอจดหมายก็แล้วกัน”

 

 

พอได้ยิน หงเยียนก็รู้แล้วว่ามีความหวัง จึงรีบถาม “ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่นายของคุณชายเลย ไม่ทราบว่าเป็นพ่อค้าบ้านไหน ต่อไปถ้าได้ร่วมงานกันแล้ว ไม่ทราบชื่อผู้ถือหุ้นก็ดูกระไรอยู่”

 

 

ชายหนุ่มหัวเราะพลางชายตามองหงเยียน “นายเจ้าบอกให้เจ้ามาเจรจาการค้า แต่นางกลับอยู่เบื้องหลังไม่ยอมปรากฏตัว เช่นนี้ไม่เรียกว่าลับๆ ล่อๆ หรือ ในเมื่อนายเจ้าไม่ยอมเปิดเผยตัวตน นายข้าก็เช่นกัน เขามีกิจการมากมาย และใช่ว่าทุกกิจการ ผู้ช่วยบริหารจะรู้ชื่อเจ้าของ วันหน้าถ้าเราสนิทกันแล้วค่อยว่ากัน ส่วนตอนนี้ถ้ามีอะไรคืบหน้า ข้าจะบอกให้เถ้าแก่ร้านคนก่อนส่งจดหมายให้เจ้าเอง”

 

 

และไม่ถึงสองวัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้รับข่าวดี

 

 

เถ้าแก่อ้วนไปหาหงเยียนที่ตรอกดอกบัว ซึ่งเจ้าของร้านทุนหนาที่อยู่เบื้องหลังกำชับเขามาว่า ให้เพิ่มเอกสารสัญญาเซ้งร้านอีกหนึ่งแผ่น มอบอำนาจจัดการร้านให้หงเยียน โดยสามารถเบิกจ่ายทุกเมื่อ

 

 

ในสัญญานอกจากระบุถึงเรื่องพื้นฐานต่างๆ แล้ว ยังทำเครื่องหมายไว้ชัดเจนว่า ให้หงเยียนเป็นผู้จัดการร้าน โดยผู้อื่นไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นอ่านสัญญาแล้วก็ไม่มีปัญหา ด้วยรู้ว่าในทางปฏิบัติ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย สุดท้ายก็เคาะ

 

 

ทว่าก็แปลกใจนิดหน่อยที่เถ้าแก่ผู้อยู่เบื้องหลังไม่ยอมเปิดเผยสถานะ ในสัญญา ฝั่งนางมีหงเยียนทำเครื่องหมายรับรอง ฝั่งนั้นมีเถ้าแก่อ้วนเป็นคนกลาง โดยไม่ปรากฏร่องรอยของคู่สัญญาให้เห็นแม้แต่น้อย…

 

 

แต่คิดๆ ดูก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เศรษฐกิจต้าเซวียนกำลังเจริญรุ่งเรือง พ่อค้ามั่งคั่งเช่นนี้จึงมีอยู่มากมาย บางครั้งเซ้งร้านไปงั้นๆ พอหันกลับมาอีกทีก็ลืมไปแล้ว ไม่สนใจอะไรมาก วานให้คนไปจัดการ ชนิดที่สิบปีไม่เคยไปเหลียวแล ก็มีเป็นจำนวนมาก

 

 

กระทั่งขุนนางหลายคนก็ชอบหารายได้เสริมด้วยการทำค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งบางครั้งไม่สะดวกออกหน้า ก็ต้องใช้ชื่อผู้อื่นดำเนินการแทน และถ้าได้เงินปันผลอะไร ก็แค่เปลี่ยนจากตั๋วแลกเงินเป็นเงินสด ไม่จำเป็นต้องนัดเจอกัน สะดวกยิ่ง

 

 

เมื่อจัดการเรื่องใหญ่สุดเสร็จเรียบร้อย อวิ๋นหว่านชิ่นก็บอกให้หงเยียนลองไปหาผู้ช่วยที่ตลาดแรงงานดู โดยช่วงเปิดร้าน นางอยากให้มีคนในร้านแค่ชายคนหญิงคนก่อน ซึ่งก็คือเด็กรับใช้คอยวิ่งงาน และแม่บ้านคอยช่วยงานหงเยียนในร้าน

 

 

หงเยียนคลุกคลีอยู่ในสังคมมาหลายปี จึงอ่านคนออกมองคนเป็น ไม่ถึงครึ่งวัน ก็สามารถเลือกเด็กรับใช้

 

 

ที่ซื่อสัตย์และฉลาดจากตลาดแรงงานได้คนหนึ่ง ชื่ออาหล่าง ปีนี้แม้อายุแค่สิบห้าและเพิ่งมาจากชนบท แต่หงเยียนเห็นเขามีไหวพริบ ความรู้สึกไว เรียนรู้เร็ว สำคัญสุดคือ เพิ่งเข้าเมือง จึงค่อนข้างใสและขยัน ไม่ร้ายกาจเหมือนเด็กรับใช้ทั่วไป ร้านเปิดใหม่เช่นนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าความซื่อสัตย์

 

 

ส่วนแม่บ้านนั้น คิดไปคิดมา หงเยียนก็หารือกับอวิ๋นหว่านชิ่นว่า จะให้ป้าสี่หรือท่านป้าแซ่จู้มาทำหน้าที่นี้ เนื่องจากพอพี่เฉียวตายไป ป้าสี่ก็ไม่มีญาติที่ไหนอีก และพอได้ยินว่าพี่เฉียวตาย นางก็เศร้าเสียใจและร้องไห้ แต่ก็เข้าใจดี ว่าเป็นเพราะหลานตนนิสัยไม่ดีเอง จะโทษคนอื่นไม่ได้ ทั้งยังฝากหงเยียนให้ช่วยบอกคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋นด้วยว่า ขออภัยในความผิดของหลานด้วย

 

 

ช่วงระยะเวลาที่อยู่กับนาง หงเยียนดูออกว่านางเป็นผู้สูงวัยที่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ที่ว่าสูงวัย ก็แค่ห้าสิบต้นๆ ร่างกายยังแข็งแรงดี เป็นแม่บ้านในร้านย่อมไม่มีปัญหา

 

 

เช่นนี้ ผู้ช่วยก็เรียบร้อย

 

 

ตู้และชั้นวางสินค้าที่ร้านเดิมยกให้ ก็ยังแข็งแรงและใหม่อยู่ เอามาทาสีทับหน่อยเป็นใช้ได้ พอเปลี่ยนป้ายชื่อร้านเสร็จ ขนสินค้าเข้ามาจัดวาง ก็เท่ากับเสร็จงานใหญ่

 

 

ทว่า ยากก็แต่ขั้นตอนสุดท้ายนี่ล่ะ ป้ายชื่อร้าน

 

 

โดยหงเยียนรอชื่อร้านจากคุณหนูใหญ่อยู่ ถ้าได้เมื่อไหร่ก็จะไปแถวร้านทำป้าย สั่งทำป้ายอักษรสีทองอย่างดี แล้วหาฤกษ์งามยามดียกขึ้นไปแขวนหน้าร้าน

 

 

แต่จนแล้วจนรอด คุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ส่งมาให้สักที

 

 

ซึ่งอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังปวดหัวกับเรื่องนี้อยู่ เมื่อเป็นป้ายชื่อร้าน ก็ต้องตั้งชื่อร้านมาสักชื่อ โดยตอนนี้ร้านค้าปลีกเครื่องประทินผิวที่มีชื่อเสียงก็มี ร้านเทียนเซียง ร้านฮ่าวหลาน ร้านลี่เหยียน รวมทั้งร้านฮุ่ยเหยียนของสกุลสวี่ที่อยู่เชิงเขาโย่วเสียน…ชื่อแต่ละแบบแต่ละชนิดก็ล้วนมีคนตั้งไปแล้ว และที่ผ่านมาก็ใช่ว่านางไม่เคยคิด แต่เพราะคิดมากจนเกินไป อวิ๋นหว่านชิ่นอยากได้ชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร

 

 

นี่เป็นเรื่องของภาพพจน์ นางเป็นน้องใหม่ ก็ต้องใช้ภาพพจน์ที่แปลกใหม่ดึงดูดลูกค้า ดังนั้น หลังจากคิดหน้าคิดหลัง นางจึงยอมลดปริมาณ แต่ไม่ลดคุณภาพ หรือก็คือยอมปล่อยให้ป้ายว่างชั่วคราว จะไม่ตั้งชื่อแบบขอไปที ให้ช่างทำป้ายทำแล้วแขวนขึ้นไปให้เสร็จๆ อีกอย่างช่วงนี้ก็เป็นช่วงทดลองตลาด ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ นางไม่รีบ