ตอนที่ 74-4 ธุรกิจร่วมทุนกับเรื่องหน้าแตกในวัง

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เช่นนี้ หงเยียนจึงพาอาหล่างกับจู้ป้าสี่มาที่ร้านก่อน เพื่อจัดร้าน และลองเปิดขายดู

 

 

โดยสินค้าที่จัดเรียงในร้านส่วนใหญ่นำมาจากร้านฮุ่ยเหยียน เพื่อให้หน้าร้านดูแน่น มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย แม้คนอาจไม่เข้าร้าน เพราะร้านไม่มีป้ายชื่อ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็นำเครื่องประทินผิวที่ทำเองกับมือมาวางขายด้วย โดยตั้งให้เป็นสินค้าแนะนำ เนื่องจากกลัวว่า ถ้าแปลกใหม่เกินไป ลูกค้าอาจรู้สึกแปลกๆ ไม่กล้าใช้ ดังนั้นช่วงแรกจึงทำแต่สินค้ายอดนิยมอย่างแป้ง น้ำมันแต่งผม น้ำหอม เป็นต้น

 

 

ทว่ากลับได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้านไม่มีชื่อหรืออย่างไร จึงทำให้คนอยากรู้อยากเห็น วันแรก กลับดึงดูดลูกค้าให้เดินเข้าร้านได้จริงๆ แม้ไม่ได้ซื้ออะไร แต่ก็ทำให้ร้านดูคึกคัก ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีอย่างหนึ่ง

 

 

ที่จวนสกุลอวิ๋น อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังยุ่งจนหัวฟูแต่ก็สุขใจ ถ้าไม่ติดต่อถามไถ่หงเยียนเกี่ยวกับสถานการณ์ร้าน ก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง อ่านหนังสือและทำบันทึกย่อ ค้นคว้าพัฒนาสูตรสมุนไพรแต่ละชนิด ระหว่างนี้ ลวี่สุ่ย สาวใช้คนสนิทของอวี้โหรวจวงยังมาหาด้วยรอบหนึ่ง

 

 

รอบนี้ ท่าทีของลวี่สุ่ยเปลี่ยนชนิดหักมุมร้อยแปดสิบองศา ไม่เชิดหน้าชูคอเหมือนครั้งก่อน สีหน้าก็อ่อนโยนลง ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น พูดเพียงยาสระผมใช้ดี จึงมาซื้อกับคุณหนูอวิ๋นอีกสองกล่อง ก่อนไปยังขอครีมดอกไม้อีกสองสามกระปุกด้วย

 

 

ชูซย่าไม่รู้สึกดีกับสองนายบ่าวคู่นี้แม้แต่น้อย แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่รู้สึกอะไร ถ้านางเป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าจริง ก็อาจฮึดขึ้นมาเฮือกหนึ่ง แล้วไล่ลวี่สุ่ยไปอย่างหยิ่งทะนงก็เป็นได้ แต่ข้างในจริงๆ ของนางในตอนนี้ ได้เลยวัยขบถที่โกรธเกลียดความฟอนเฟะของสังคมไปนานแล้ว

 

 

ลูกค้ามีหลากหลาย แต่ละคนมีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ชอบขี้หน้าก็ต้องไล่ไปให้พ้นๆ เช่นนั้นหรือ

 

 

เช่นนี้ก็จะกินข้าวชามนี้ไม่ได้อีกไปโดยปริยาย

 

 

นางไม่ชอบอวี้โหรวจวงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่ชอบเงิน

 

 

เมื่อลูกค้ามาซื้อของถึงหัวกระไดบ้าน นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่ลูกค้าไป

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ยื่นครีมดอกไม้ให้ลวี่สุ่ยตามที่นางต้องการ แล้วนัดว่าอีกสามวันให้หลังค่อยมาเอายาสระผม ลวี่สุ่ยรับของ กล่าวขอบคุณ แล้วค่อยออกจากบ้านสกุลอวิ๋นไป

 

 

จากนั้นอวิ๋นหว่านชิ่นก็ยุ่ง จนแทบไม่มีเวลาสนใจเรื่องวุ่นๆ ในบ้านก่อนหน้านี้

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังคงถูกขังอยู่ในห้องเล็กข้างห้องบูชาบรรพชน ถงฮูหยินมีอนุฟางคอยช่วยจัดการงานหลังบ้าน ส่วนอวิ๋นเสวียนฉั่งนั้น ยุ่งยิ่งกว่า ยุ่งจนหมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับจวน

 

 

เนื่องจากอีกไม่กี่วัน ฉินลี่ชวนต้องยื่นหนังสือขอเกษียณอายุราชการอย่างเป็นทางการให้กับฝ่าบาทในช่วงเช้าของการออกว่าราชการในท้องพระโรง ก่อนกล่าวสดุดีพระมหากรุณาธิคุณ จากนั้นตามกฎหมาย เมื่อขุนนางอาวุโสลาออกจากตำแหน่ง หลังเสร็จสิ้นราชกิจในท้องพระโรง หนิงซีฮ่องเต้ต้องเรียกประชุมเสนาบดีหรือเจ้ากรมต่างๆ ได้แก่ กรมขุนนาง กรมธรรมการ กรมพระคลัง ฯ รวมทั้งรองเจ้ากรม พร้อมขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน ให้มาร่วมกันเลือกผู้ที่มีความสามารถ เข้าดำรงตำแหน่งที่ว่างลงของฉินลี่ชวน ซึ่งปกติแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกในที่ประชุม สุดท้ายก็จะได้เป็นเจ้ากรมกลาโหมคนใหม่

 

 

ในที่ประชุม ลำดับแรก เจ้ากรมกลาโหมคนก่อนต้องนำเสนอรายชื่อให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเป็นครั้งแรก โดยถ้าใครมีรายชื่อในนั้น ก็ถือว่าได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าฝ่าบาททรงพิจารณาแล้ว และไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไร แปดถึงเก้าในสิบส่วน ชื่อที่ถูกนำเสนอก็คือผู้สืบทอดตำแหน่งต่อ

 

 

ทว่า หลังจากเรื่องผูกดวงของลูกสาวคนโต อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ไม่หวังอะไรจากฉินลี่ชวนอีก แค่ไม่เหยียบเท้าตนเพื่อแก้แค้นก่อนจากไป ก็นับว่าบุญโขแล้ว จึงได้แต่วิ่งเต้นตำแหน่งกับขุนนางกรมอื่นๆ โดยใช้เส้นสายกับเงินทองสานสัมพันธ์ เผื่อพวกเขาจะช่วยผลักดันตนในที่ประชุมบ้าง

 

 

ด้วยเหตุนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงยุ่งจนหัวหมุน ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ไหนเลยจะมีเวลามาใส่ใจไป๋ฮูหยินที่อยู่ข้างห้องบูชาบรรพชนอีก

 

 

ส่วนอวิ๋นหว่านเฟย หลังจากเข้าจวนโหวได้ไม่ถึงสองวัน ก็มีข่าวลือไม่น่าฟังแพร่มาถึงบ้านสกุลอวิ๋นว่า อวิ๋นหว่านเฟยไม่ได้เข้าไปในจวนกุยเต๋อโหว แต่ถูกส่งให้ไปอยู่ตัวคนเดียวที่บ้านหลังน้อยในซอยหลังจวนโหว

 

 

ซึ่งบ้านหลังนี้ก็เป็นทรัพย์สินของจวนโหวเช่นเดียวกัน แต่ทิ้งร้างมานาน โดยเมื่อก่อนเคยให้ญาติๆ ของบ่าวในจวนพักอาศัย

 

 

พอข่าวแพร่มาถึง ก็เหมือนก้อนหินตกลงไปในน้ำนิ่ง เกิดเป็นคลื่นระลอกใหญ่

 

 

วันนั้นเป็นช่วงพลบค่ำ นานแล้วที่อวิ๋นเสวียนฉั่งมิได้เลิกงานกลับบ้านเช้าเช่นนี้ เพราะวันนี้การสานสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรื่น อารมณ์เขาจึงไม่ค่อยดี อีกทั้งพรุ่งนี้หลังประชุมท้องพระโรง ฉินลี่ชวนก็ต้องนำเสนอรายชื่อให้ฝ่าบาททรงพิจารณาแล้ว

 

 

ครั้งนี้โอกาสในการได้เลื่อนตำแหน่งของตน เกรงว่าคงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย!

 

 

ขณะคิด อวิ๋นเสวียนฉั่งพลันรู้สึกแน่นหน้าอก กินข้าวไปได้คำหนึ่ง ก็ต้องหยุดกิน ไม่รู้สึกอยากอาหารแต่อย่างใด

 

 

สมาชิกครอบครัวสกุลอวิ๋นกำลังนั่งกินข้าวมื้อเย็นอยู่ในห้อง เรื่องของอวิ๋นหว่านเฟยก็ลอยจากด้านนอกมาเข้าหูทุกคน อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าบิดาม่วงคล้ำ นิ้วจับตะเกียบแน่น ไม่พูดไม่จา

 

 

ท่าทางพายุกำลังจะเข้า อนุฟางจึงสบตาอวิ๋นหว่านถง แล้วรีบก้มหน้าก้มตาคีบกับข้าวใส่ปาก ตามด้วยข้าวคำโต ไม่กล้าส่งเสียงออกมา

 

 

เนื่องจากสองวันนี้อากาศเย็นลงกะทันหัน อาชิงรู้สึกปวดท้อง หวงน้าสี่จึงต้องอยู่เป็นเพื่อนลูก คอยป้อนข้าวลูกที่เรือนตะวันตก ไม่ได้ออกมากินข้าวร่วมโต๊ะกับทุกคน มิเช่นนั้น บรรยากาศอาจถูกแต่งแต้มให้น่ากลัวกว่านี้ ส่วนถงฮูหยินก็มีท่าทางเช่นเดียวกับลูกชาย ไม่พูดจาใดๆ แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนไปจากเดิมจนเดาใจไม่ถูก

 

 

คนทั้งบ้านคล้ายเปลวเทียนในสายลม บ้างก็กำลังโกรธ บ้างก็กำลังหวาดกลัวสุดๆ มีเพียงอวิ๋นหว่านชิ่นที่มีท่าทางสบายๆ ใช้ตะเกียบคีบหมูแดง ตักน้ำแกงชามเล็กให้น้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งเคี้ยวข้าวไปได้สองคำ ก็หันไปกระซิบเสียงเบา “ท่านพี่ ท่าทางจะทะเลาะกันอีกหรือ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นทำเสียง ‘ชูว์’ ก่อนหันไปพูดข้างหูน้อง “ดูไปก่อน”

 

 

แต่ยังไม่ทันไร อวิ๋นเสวียนฉั่งก็ระเบิดอารมณ์ ด้วยการเขวี้ยงตะเกียบออกไปไกล

 

 

“ไร้เหตุผลสิ้นดี ไร้เหตุผลสิ้นดี คนสกุลมู่หรงไม่เห็นคนสกุลอวิ๋นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!”

 

 

แต่ในใจเขาก็รู้ดีว่า คนสกุลมู่หรงไม่เต็มใจรับเฟยเอ๋อร์เข้าบ้าน โดยฉีกหน้าเขาแต่แรกแล้ว ตอนนี้ไยจึงต้องเห็นเขาอยู่ในสายตาด้วย

 

 

พอด่าจบ ข้าวที่เพิ่งกินเข้าไปสองคำก็คล้ายติดอยู่ในหน้าอกของอวิ๋นเสวียนฉั่ง ทำให้เขารู้สึกจุกเสียดที่กล้ามเนื้อระหว่างทรวงอกทั้งสองข้าง สะอึก แต่สำรอกไม่ออก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีม่วง จึงต้องใช้มือนวดไปมาบริเวณหน้าอก

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสายตาให้น้อง อวิ๋นจิ่นจ้งจึงวางตะเกียบลง แล้วเรียกบ่าวรับใช้ให้ไปรินน้ำชาร้อนๆ มา ส่วนตนก็เข้าไปพยุงบิดา แล้วช่วยนวดกล้ามเนื้อระหว่างทรวงอก

 

 

พออวิ๋นเสวียนฉั่งจิบชาร้อนลงไปไม่กี่คำ สะอึกอีกไม่กี่ครั้ง ก็พลันโล่งหน้าอก รู้สึกสบายขึ้นมาก สีหน้ากลับคืนมาเลือดฝาดดังเดิม

 

 

คิดๆ ดู ยังคงเป็นลูกชายที่รู้กาลเทศะ เสียดาย เมื่อก่อนตนรักและเอ็นดูเฟยเอ๋อร์ไม่น้อยไปกว่าลูกชายแต่นางกลับทำให้ตนขายหน้าตลอด ครั้งแล้วครั้งเล่า คิดแล้วก็ทอดถอนใจ ก่อนพูด

 

 

“จิ่นจ้ง นี่ชาอะไรหรือ ดื่มแล้วรู้สึกสบายขึ้นมาก”

 

 

“ท่านพี่ชงชาใบมะกรูดกลิ่นกุหลาบ ด้วยการใส่กุหลาบแห้งกับใบมะกรูดแห้งลงไปในน้ำเดือด ซึ่งชงง่ายอีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิต ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย แก้ปวดท้องได้ด้วย” อวิ๋นจิ่นจ้งตอบเป็นวิชาการ

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งหันมองลูกสาว ดวงตาฉายแววชื่นชมออกมา หลายวันก่อนเห็นนางงีบหลับอยู่ข้างแปลงดอกไม้เล็กๆ ขณะทำสวนอยู่ข้างเรือน ก็รู้ทันทีว่านางกำลังค้นคว้าอะไรบางอย่างอยู่ในห้อง ถ้าไม่ใช่เพราะอนุฟางเตือนสติ เขาก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว การค้นคว้าของนางกลับใช้ประโยชน์ได้จริงๆ

 

 

ก๊าซในกระเพาะอาหารแม้หายไป แต่ความขุ่นเคืองในใจยังไม่หาย

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งหน้าเปลี่ยนสีอีก “ไม่ได้ เรื่องขายหน้าเช่นนี้ ข้าต้องไปพูดกับคนสกุลมู่หรงให้รู้เรื่อง…”