ถงฮูหยินไม่ส่งเสียงอยู่ครึ่งค่อนวัน ใบหน้าเย็นชานิ่งงันอยู่นาน ที่สุดแล้วก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมา
นางอยู่บ้านเจ้ารองมานาน เรื่องของอวิ๋นหว่านเฟยที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงแซยิดฮูหยินท่านโหว นางก็เคยได้ยินมา มิน่าเล่ามิน่า ที่เคยแปลกใจว่า เดิมทีคนที่ต้องแต่งออกไปเป็นฮูหยินจวนโหวคือชิ่นเอ๋อร์ ไฉนจึงกลายเป็นเฟยเอ๋อร์แต่งออกไปเป็นอนุได้ ที่แท้จุดพลิกผันของเรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง และเคยได้ยินเจ้ารองบอกว่า ไม่เสียแรงที่ไป๋ฮูหยินมีน้องสาวที่คุยกันได้คนหนึ่ง เป็นนางในอยู่ในวัง จวนโหวถึงได้รับปากว่าจะรับเฟยเอ๋อร์เข้าบ้าน
ถงฮูหยินวางตะเกียบลงอย่างแรง ก่อนพูดเสียงเย็นชา
“ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอนุ ต่อให้ถูกเขาตีเขาฆ่า เจ้าจะทำอย่างไรได้…ไม่ต้องยุ่งแล้ว ต้องโทษที่เด็กมันไม่ฉลาดเอง อยากเข้าจวนโหวจนไม่สนใจที่จะรักษาความบริสุทธิ์ก่อนแต่ง จนคนรอบข้างต้องเดือดร้อนกันไปหมด ถ้าข้าเป็นท่านโหวอาวุโส ก็ไม่ญาติดีกับนางเหมือนกัน พูดก็พูด ให้เฟยเอ๋อร์แต่งไปเป็นอนุบ้านอื่น ยังดีกว่าจวนโหวที่มีกฎระเบียบเข้มงวดเลย! ล้วนต้องโทษไป๋ฮูหยินที่ทำอะไรไม่ปรึกษา ยัดเยียดเฟยเอ๋อร์ให้จวนโหวเอง ช่วยไม่ได้! แม้ข้าเป็นคนบ้านนอกคอกนา ก็ยังรู้เลยว่า ถ้าฮ่องเต้ได้ยินว่าเจ้าให้ลูกสาวไปเป็นอนุเขา แล้วยังไปยุ่งย่ามกับเขาอีก ย่อมไม่ชอบใจแน่ เจ้ารอง เจ้ามิได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด หรือถูกห่อตัวด้วยผ้าไหมดิ้นทองอย่างคุณชายผู้สูงส่ง การที่เจ้าไต่เต้ามาถึงขั้นนี้ได้ มิใช่เรื่องง่าย ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะมีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งของเจ้าหรือเปล่า! ในเมื่อตอนนี้เลือดของไป๋ฮูหยินหยุดไหล เฟยเอ๋อร์ออกเรือนแล้ว เจ้าก็น่าจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ข้ารู้ ว่าเจ้ายังรักและอาลัยอาวรณ์นางอยู่ แต่ครั้งนี้นางทำผิดร้ายแรงมาก เจ้าอย่าได้ให้ผู้คนพูดไปเชียวว่า ที่หลังบ้านเจ้ายุ่งวุ่นวายเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าตามใจเมียจนเสียคน!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งคิดขณะฟังมารดาพูดเป็นนัยว่าให้จัดการกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย…เดิมทีเขาลังเลใจอยู่จริงๆ อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี ย่อมนึกถึงความอ่อนโยนของนางในช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้ เขาต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด จึงพลันผละจากเก้าอี้ เดินเข้าไปด้านใน
สตรีที่นั่งอยู่กับโต๊ะกินข้าวก็ไม่กล้าไปไหน ยิ่งไม่คิดพูดอะไร ได้แต่เคี้ยวข้าวช้าๆ รอ
การรับประทานมื้อเย็นในวันนี้ จึงยาวนานเฉกเช่นเดียวกับการรับประทานอาหารในคืนส่งท้ายปีเก่า ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ม่านก็ถูกเลิกขึ้น อวิ๋นเสวียนฉั่งกลับออกมาพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นในมือ น้ำหมึกบนกระดาษคล้ายยังไม่แห้ง รวมทั้งรอยประทับนิ้วมือ
“ท่านแม่” ดวงตาอวิ๋นเสวียนฉั่งแน่วแน่ แววตาเย็นยะเยียบดุจก้อนหิน ไร้ซึ่งความอ่อนโยน
“ตอนนี้เรื่องหลังเรือนทั้งหมด ท่านแม่เป็นคนจัดการ ลำบากท่านแม่ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยช่วยลูกแล้ว”
ถงฮูหยินรับแผ่นกระดาษจากมือลูกชาย แล้วเบิ่งตาชราดูคร่าวๆ เสียดายที่อ่านหนังสือไม่ออก จึงวางลงตรงหน้าอาเม่าที่นั่งอยู่ข้างๆ “ไหน ดูให้ย่าหน่อยซิ เขาเขียนว่าอะไร”
อาเม่าแม้ยังไม่โตดี แต่ก็เรียนในโรงเรียนชนบทมาแล้วสองปี ย่อมรู้หนังสือขั้นพื้นฐาน พอเห็นตัวอักษรด้านบนเด่นสะดุดตา ก็อ่านเสียงดังออกมา
“หนังสือ…หย่า!”
สตรีและเด็กๆ ที่นั่งอยู่กับโต๊ะล้วนกลั้นหายใจ
เจตนาตรงกันพอดี ถงฮูหยินจึงพับหนังสือหย่า เก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างมีความสุข ก่อนยกตะเกียบขึ้น
“เจ้ารอง ยังไม่กินข้าวอีก โกรธเสร็จ ก็ต้องกินข้าวให้อิ่ม ไหนบอกว่าพรุ่งนี้มีประชุมนัดสำคัญไง รีบกินแล้วก็รีบไปพักผ่อนเสีย”
หลังจากกินข้าวอิ่ม แต่ละคนก็แยกย้ายกันกลับเรือน พอเดินออกมา ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกติดต่อกันหลายวันนั้น ได้หยุดไปนานแล้ว อากาศจึงสดชื่นเย็นสบาย แสงอาทิตย์อัสดงแผ่กระจายไปทั่ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเหยียบไปบนหินกรวดตรงพื้นทางเดินช่วงสั้นๆ โดยมีเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าขนาบซ้ายขวา ทั้งสามเดินไปเล่นไป ถือเป็นการเดินย่อยระหว่างทางกลับเรือน
พอเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าเดินออกมาและได้ยินว่าหนังสือหย่าถูกเขียนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เดินตัวเบาและพูดมากขึ้น เจ้าพูดคำข้าพูดคำ พูดว่าคนชั่วย่อมได้รับกรรมตามสนอง ใช่ว่าจะลอยนวล แต่ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก ไป๋ฮูหยินกินอยู่อย่างสุขสบายมาสิบกว่าปี ไหนเลยจะคิดว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน จะเกิดเรื่องมากมายเช่นนี้ เริ่มจากลูกสาวตกต่ำไปเป็นอนุ ถูกคนที่บ้านสามีทิ้งให้อยู่นอกบ้านอย่างอัปยศอดสู ส่วนตัวฮูหยินเอง นอกจากแท้งลูกแล้ว สมบัติส่วนตัวยังถูกแย่งเอาไปหมด ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องเล็กๆ และตอนนี้กำลังจะโดนหย่า ต้องออกจากบ้านไปโดยไม่ได้อะไรติดตัวแม้แต่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นฟังแต่ไม่พูด นางกลับมิได้ดีใจเหมือนสาวใช้ทั้งสอง เรื่องจะราบรื่นเช่นนี้จริงหรือ
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะจบสิ้นทุกสิ่งอย่างเช่นนี้จริงหรือ
หัวหน้าไป๋ที่อยู่ในวังจะยอมให้พี่สาวแท้ๆ ถูกขับออกจากบ้าน กลายเป็นแม่ม่ายผัวร้างเช่นนี้หรือ
ประสบการณ์เมื่อชาติก่อนบอกนางว่า ถ้าเรื่องยังไม่ถึงที่สุด อย่าเพิ่งด่วนดีใจ
และแล้ววันรุ่งขึ้น ความคิดนี้ก็ได้รับการยืนยัน
หลังเลิกประชุมเช้า อวิ๋นเสวียนฉั่งในชุดเต็มยศ มือถือแผ่นฮู้[1]สีหยกเดินออกจากท้องพระโรงอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมเหล่าขุนนางจากกรมต่างๆ ภายใต้การนำของหัวหน้าขันที เหยาฟู่โซ่ว ทั้งหมดเดินลดเลี้ยวไปตามระเบียงแดง เข้าสู่พระที่นั่งอี้เจิ้ง
ตอนเดินออกจากท้องพระโรง ฉินลี่ชวนหันมามองเขา และยิ้มเย็นชาออกมา
ยิ้มนี้ทำให้อวิ๋นเสวียนฉั่งเหงื่อไหลไม่หยุดขณะเดิน โดยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เขาก็รู้สึกโงนเงนแล้ว
หนิงซีฮ่องเต้ถอดมงกุฎ และเปลี่ยนจากชุดออกว่าราชการ เป็นชุดยาวหลวมๆ สีน้ำเงิน สวมผ้าคาดเอวถักลายมังกรและก้อนเมฆ ดูสบายๆ กว่าช่วงเช้ามาก ซึ่งตอนนี้ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้สี่ขาลายมังกรเรียบร้อย
ด้านหน้าที่นั่งขุนนางแต่ละท่าน มีโต๊ะเตี้ยไม้แดงตั้งอยู่ เหล่าขันทีน้อยต่างทยอยกันยกขนมนมเนยเข้ามาวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยืนถือกาน้ำชาสีทอง คอยรับใช้อยู่ด้านหลัง
โดยด้านหลังของโต๊ะแต่ละตัว ล้วนมีขันทีน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ คอยรินน้ำชาให้ขุนนางชั้นสูงที่อยู่ด้านหน้าเป็นระยะ
เหล่าขุนนางต่างเข้านั่งประจำที่ จิบชาร้อน คุยกันเรื่องการเมือง แล้วหนิงซีฮ่องเต้ก็ส่งเสียงดังกังวานเปิดประเด็น
“ท่านฉินอุทิศเวลาครึ่งชีวิตทำงานให้กับราชสำนัก แต่ตอนนี้กลับมาเกษียณ ทิ้งเราไปพักผ่อน ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างเพลิดเพลิน ทำให้เราต้องสูญเสียแม่ทัพที่ดีไปคนหนึ่ง”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา บรรยากาศจึงผ่อนคลายลง
ขณะเดียวกัน เหล่าขุนนางใหญ่ก็ตื่นตัว กำลังจะเริ่มฟาดฟัน ชิงตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม!
ฉินลี่ชวนประสานมือพลางยิ้ม “กระหม่อมแม้ไม่อยู่ในราชสำนัก แต่ก็ตั้งใจคัดเลือกดาวรุ่งมาให้ฝ่าบาททรงพิจารณา ถึงตอนนั้นเขาย่อมทำงานต่อจากกระหม่อมได้เป็นอย่างดี ช่วยราชกิจฝ่าบาท พัฒนาต้าเซวียนเราให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป!”
พูดจบก็หันมองลูกน้องที่อยู่ตรงข้ามอย่างมีนัย…รองเจ้ากรมฝ่ายซ้าย
สายตาเช่นนี้ ย่อมเป็นสายตาเย้ยหยัน ข่มขวัญ และสะใจ
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นในฝ่ามือของอวิ๋นเสวียนฉั่ง เขาใจเต้นไม่หยุด ก่นด่าตาแก่หนังเหนียวในใจ
ฉินลี่ชวนล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ ขณะคิดถวายสมุดพับรายชื่อ ท้องก็พลันปวดขึ้นมา อยากจะออกไปเข้าห้องน้ำ แต่ก็อดทนไว้ ทว่าไหนเลยจะทนได้ ท้องมวนและปั่นปวนอย่างแรง จนได้ยินเสียงปู้ดป้าด คล้ายจะออกมาได้ทุกเมื่อ!
“ท่านฉิน?” หนิงซีฮ่องเต้เห็นเขาหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน จึงถามอย่างเป็นห่วง
ฉินลี่ชวนเหงื่อเย็นหลั่งไหล ยอมเสี่ยงลุกขึ้นยืน พูดพลางริมฝีปากสั่น “ฝ่า ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตาย กระหม่อมพลันปวดท้องมวน อาจเป็นเพราะวันนี้อากาศเย็น และตอนเช้ากินหมั่นโถวเย็นลงไป…”
เหล่าขุนนางบ้างเบ้ปาก บ้างแอบหัวเราะ
อวิ๋นเสวียนฉั่งลอบถอนหายใจ ก่นด่าในใจอีกสองคำ ตาแก่หนังเหนียว คิดล้างแค้นซึ่งหน้า ทำให้ข้าไม่ได้เลื่อนขั้น สมน้ำหน้า ท้องเสียตายได้ยิ่งดี จมถังส้วมตายไปเลย ไม่ต้องกลับมา!
หนิงซีฮ่องเต้ไม่สบอารมณ์ ขมวดคิ้ว “ตาเฒ่าอย่างเจ้านี่ ทำไมถึงทำตัวเช่นนี้! ยังไม่รีบไปอีก! ระวังเปื้อนห้องประชุมด้วย ถ้าไม่เห็นแก่เจ้าที่ใกล้เกษียณ เราต้องลงโทษเจ้าให้หนัก!”
ฉินลี่ชวนสูดหายใจเข้าลึกๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไปกับขันทีน้อยนำทางที่อยู่ด้านหลัง มุ่งหน้าสู่ห้องน้ำที่อยู่หลังพระที่นั่งอี้เจิ้ง…
——
[1] แผ่นฮู้ แผ่นแบนยาวทำจากหยก งาช้าง หรือไม้ไผ่ ตามแต่สถานะของขุนนางผู้ถือ ใช้ถือไว้ด้านหน้าเวลาเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องราวต่างๆ กับฮ่องเต้ โดยขุนนางจะเขียนเรื่องต่างๆ โดยย่อไว้ด้านที่หันเข้าหาตัว แล้วพูดตาม เหมือนสมุดจดกันลืม