ภาคที่ 1 บทที่ 50 เมินคน

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนอยากถอดถุงเท้าออกมาโยนใส่หน้าหลี่เชียนมาก

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายของแม่ทัพเช่นกัน ทำไมถึงปีนขึ้นไปบนต้นไม้เหมือนคนเสเพลเล่า? เขาจะควบคุมตนเองอีกสักหน่อยได้หรือไม่?

เจียงเซี่ยนมองเขาอีกครั้งก็รู้สึกว่าหน้าผากกระตุกจนเจ็บ

ทว่าหลี่เชียนกลับไม่รู้สึกแม้แต่นิดเดียว เขาเรียกนางเบาๆ “เฮ้” “เฮ้” สองครั้ง และเอ่ยว่า “ไปอุทยานหลวง” พอเขาไถลตัวลงมาจากบนต้นไม้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

เจียงเซี่ยนโกรธจนสูดหายใจลึกหลายครั้งถึงจะควบคุมอารมณ์ได้

เจ้าให้ข้าไป ข้าก็ไปหรือ!

ข้ารับปากแล้วหรือ?

เจ้าอยากรอข้า งั้นก็รออยู่ที่นั่นไปแล้วกัน!

นางหันตัวไปห้องของไป๋ซู่

พวกไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อตามอยู่ข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง ทุกคนต่างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

ไป๋ซู่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเตรียมจะออกไปข้างนอก พอเห็นเจียงเซี่ยนเดินเข้ามาก็รีบเอ่ยว่า “รอจนร้อนใจแล้วหรือ ข้าเสร็จแล้ว”

เจียงเซี่ยนไปที่ห้องพักผ่อนในห้องของนางทันที และเอ่ยว่า “แดดข้างนอกแรงขนาดนี้ จุดเตาในศาลาก็ยุ่งยาก ไปอุทยานหลวงไม่ตากลมก็ตากแดด ข้าว่าพวกเราคุยกันในห้องดีกว่า”

ไป๋ซู่ไปอยู่เป็นเพื่อนเจียงเซี่ยน และไม่ขัดข้องอะไรกับเรื่องนี้

เหล่านางในนำชากับของว่างมาให้ ทั้งสองคนก็นอนตะแคงคุยกันบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง

“…บนภูเขาวั่นโซ่วสร้างวัดต้าเป้าเอินเหยียนโซ่วแล้ว” เจียงเซี่ยนพึมพำ “ดังนั้น ตอนกลางคืนพวกผู้หญิงน่าจะพักที่ตำหนักอวี้หวาและตำหนักอวิ๋นจิ่น งั้นไทเฮาก็น่าจะประทับที่ตำหนักไผอวิ๋น เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะประทับที่ไหน? จะเป็นตำหนักเหรินโซ่วทางประตูวังทิศตะวันออกหรือประทับที่ตำหนักตั้นหนิง?”

ชาติก่อนนางไม่รู้อะไรเลย กว่านางจะรู้ เฉาไทเฮาก็กลับพระราชวังต้องห้ามและถูกกักบริเวณอยู่ที่วังคุนหนิงแล้ว

ลงมือตอนไหน? ลงมืออย่างไร? ขุนนางใหญ่ในราชสำนักกับฮ่องเต้อยู่ที่ไหนกัน?

นางก็ไม่รู้เหมือนกัน

ครั้งนี้นางอยากไปร่วมวันเกิดของเฉาไทเฮา

นางจำเป็นต้องแน่ใจว่าเฉาไทเฮาจะไม่ถูกจ้าวอี้ฆ่า

ไม่อย่างนั้นนางก็ยังต้องเดินบนทางเก่าของชาติก่อน

เฉาไทเฮาพักที่ไหน เหล่าขุนนางใหญ่พักที่ไหน จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญมากแล้ว

ไป๋ซู่ยิ้มและเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้ถามจริงๆ ข้าเพียงแต่ได้ยินฝ่าบาทตรัสว่า วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระชนมายุห้าสิบปีของไทเฮา แต่ละที่ส่งคณะกายกรรมและคณะงิ้วที่มีชื่อเสียงเข้าเมืองหลวงมามากมาย ถึงเวลานั้นทางตำหนักเที่ยวหย่วนจะจัดคนเล่นกายกรรม ส่วนทางตำหนักอี๋เล่อจะจัดคนแสดงงิ้ว อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน…”

เจียงเซี่ยนก็คิดว่าไป๋ซู่รู้ไม่มากนักเช่นกัน

เพราะภูเขาวั่นโซ่วที่ทะเลสาบคุนหมิงอยู่ไกลจากเมืองหลวงเล็กน้อย ขบวนเสด็จของราชวงศ์ก็ยุ่งยาก จะเดินทางทีก็ชักช้า อวยพรวันเกิดแล้วยังมีงานเลี้ยง ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็หมดวันแล้ว ดังนั้นคนที่อวยพรวันเกิดจึงจะไปถึงล่วงหน้าหนึ่งวัน พักผ่อนที่ทะเลสาบคุนหมิงหนึ่งคืนแล้วถึงจะกลับมา

ฮ่องเต้ก็จะพักผ่อนที่นั่นเช่นกัน

ไป๋ซู่สืบอย่างละเอียด แล้วก็แอบสังเกตความน่าสงสัยของฮ่องเต้

พวกนางต่างเติบโตในวัง กฎทุกข้อท่องจำได้ขึ้นใจ

เจียงเซี่ยนได้ข่าวมาไม่มากนัก จึงตัดสินใจส่งคนไปลองสืบ

นางให้คนไปเชิญหลิวเสี่ยวหม่านมา “เจ้าลองไปถามฝ่าบาทว่า วันเฉลิมพระชนมพรรษานั้นวางแผนไว้อย่างไรบ้าง? วันนั้นข้าก็อยากไปดูบรรยากาศคึกคักด้วย”

หลิวเสี่ยวหม่านยิ้มพลางเตือนนาง “ไทฮองไทเฮาตรัสว่าไม่ไป ท่านหญิงยังจะไปหรือขอรับ?”

หลิวเสี่ยวหม่านหน้าขาวไร้หนวด จมูกโด่งตาเรียว อายุเกินห้าสิบปี ตอนที่ไม่พูดก็ยิ้มเล็กน้อย สุภาพและใจดีมาก

เขาเห็นเจียงเซี่ยนมาตั้งแต่เด็กจนโต

หลังจากไทฮองไทเฮาเสียชีวิต เขาขอไปเฝ้าสุสานของไทฮองไทเฮาเอง ตอนหลังเขาเป็นโรคไขข้ออักเสบที่นั่น ป่วยมานานแล้วก็ไม่ยอมปริปากบอก จนนางบังเอิญรู้เข้า จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการหนานจิง และให้เขาพักฟื้นที่หนานจิง

สำหรับคนอื่น หลิวเสี่ยวหม่านเป็นเพียงคนรับใช้ ทว่าสำหรับเจียงเซี่ยน คนที่ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายนางอย่างพวกเขา เจอหน้ากันทุกวัน อยู่ด้วยกันทุกวัน ล้วนเป็นคนที่นางใกล้ชิดที่สุด

หลิวเสี่ยวหม่านก็รู้เช่นกัน ดังนั้นปกติเขาถึงกล้าเอ่ยเรื่องพวกนี้

เจียงเซี่ยนก็รู้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้โกรธอย่างจริงจัง

“ข้าก็แค่อยากไปดูพวกที่เล่นกายกรรม” นางเอ่ยพลางแสร้งทำท่าผิดหวัง

หลิวเสี่ยวหม่านเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเล็กน้อย จึงคิดแล้วเอ่ยว่า “ไม่งั้นก็ทูลไทฮองไทเฮาว่า ไปและกลับวันนั้นเลย ไม่ตามขบวนเสด็จไป”

“ได้! ได้!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งั้นเจ้ารีบไปถามให้ข้าว่าวันนั้นฝ่าบาทประทับที่ไหน? ข้าไม่อยากอยู่กับพวกสตรีบรรดาศักดิ์ พวกนางมักจะชอบล้อมเฉาไทเฮาแล้วคุยนั่นคุยนี่ ข้าตอบก็ผิด ไม่ตอบก็ผิด…”

หลิวเสี่ยวหม่านยิ้มให้เจียงเซี่ยนอย่างเข้าใจ และเอ่ยว่า “ข้าจะไปถามให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้ขอรับ”

เจียงเซี่ยนพยักหน้าอย่างพอใจ

หลิวเสี่ยวหม่านถึงออกไป

เมื่อไม่มีอะไรทำไปชั่วขณะ ไป่ซู่จึงเอ่ยว่า “ไม่งั้นพวกเราเล่นหมากล้อมกันไหม?”

เจียงเซี่ยนเล่นหมากล้อมได้ไม่เลวทีเดียว แต่วันนี้ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าการเล่นหมากล้อมใช้สมองและเวลามากเกินไป นางจึงไม่รู้สึกสนใจ

ไป๋ซู่เสนอความเห็นอีก “ไม่งั้นพวกเราไปเล่นไพ่ที่ห้องอุ่นตะวันออก?”

ไทฮองไทเฮาเพิ่งจะส่งเฉาไทเฮาออกไป เป็นช่วงที่ต้องการความสงบพอดี ต้องไม่อยากเล่นไพ่อย่างแน่นอน

ไป๋ซู่คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่งั้นพวกเราไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงดีกว่า อย่างไรก็ไม่มีธุระอะไร และเดี๋ยวฟ้าก็จะมืดแล้ว”

อากาศของเมืองหลวง พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็กลายเป็นกลางวันสั้นกลางคืนยาว พอเลยยามโหย่วแล้วท้องฟ้าก็จะค่อยๆ มืดลง

เจียงเซี่ยนลังเลอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยว่า “ข้าว่าไม่เอาดีกว่า พวกเราต่างคนต่างพักในห้องสักครู่แล้วกัน อีกเดี๋ยวเสด็จยายก็จะเรียกพวกเราไปรับประทานอาหารค่ำแล้ว”

ไป๋ซู่เห็นเจียงเซี่ยนไม่ค่อยสนใจจริงๆ จึงยิ้มและส่งนางออกจากตำหนักซีซาน

พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้ม ต้นแปะก๊วยร่วงโกร๋น

เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกกระวนกระวายใจ

นึกว่าตอนที่หลี่เชียนมาพระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า ทำไมเพียงชั่วครู่ก็มืดขนาดนี้แล้ว

เจ้าคนสารเลวนั่นฉลาดหลักแหลมมาโดยตลอด สังเกตและวิเคราะห์สถานการณ์เก่งที่สุด พอเห็นนางไม่ไปก็ต้องกลับไปตั้งนานแล้วอย่างแน่นอน

ทว่าไม่รู้ทำไมในใจนางกลับเหมือนกังวลและไม่สบายใจตลอด

ทันใดนั้นก็นึกถึงปีนั้นที่เขามาเข้าเฝ้า นางไม่ค่อยสบาย จึงให้เขาค่อยมาวันรุ่งขึ้น เขาก็ยืนรออยู่นอกประตูวังฉือหนิง ตอนหลังฝนตกหนักก็ไม่มีใครกล้ายื่นร่มให้เขาเช่นกัน เขาเปียกฝนจนหนาวสั่น แต่ยังคงไม่ยอมกลับ และยืนรออยู่ตรงนั้นต่อไป จะให้นางเรียกเขาเข้าเฝ้าให้ได้…

ในใจนางแอบรู้สึกว่าเขาอาจจะยังไม่ไป

เจียงเซี่ยนรู้สึกว้าวุ่นใจ

ตอนที่เดินถึงหน้าประตูตำหนักตงซาน ก็รู้สึกกลุ้มใจจนถึงที่สุด นางหยุดอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็ยังเลี้ยวไปทางห้องอุ่นตะวันออกที่อยู่ข้างหน้า

ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อคิดว่านางจะไปที่ตำหนักของไทฮองไทเฮา จึงรีบตามไป

ใครจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนอ้อมห้องอุ่นตะวันออกไป ออกจากวังฉือหนิง และไปที่อุทยานหลวง

ทั้งสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ต่างมองเห็นความแปลกใจในดวงตาของอีกฝ่าย

ทว่าพวกนางกลับไม่กล้าแสดงออกมาแม้แต่นิดเดียว และก้มหน้าเดินอยู่ข้างหลังเจียงเซี่ยนอย่างเงียบๆ

————————————-