ภาคที่ 1 บทที่ 51 ปีก

มู่หนานจือ

เมืองหลวงในเวลานี้หนาวมากแล้ว ต้นหญ้าและต้นไม้แห้งเหี่ยว แต่อุทยานหลวงของพระราชวังต้องห้ามนั้นเพราะมีคนดูแลโดยเฉพาะ และสิ่งที่ปลูกส่วนใหญ่ก็เป็นต้นไม้ที่เขียวตลอดทั้งปี แม้จะเป็นต้นฤดูหนาวแล้ว ทว่าต้นไม้ในสวนดอกไม้กลับยังคงเขียวชอุ่มและเจริญงอกงามเช่นเดิม เพียงแค่มีลมพัดผ่านก็จะเกิดเสียงใบไม้เสียดสีกันอย่างต่อเนื่อง เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย

อากาศแบบนี้ ไม่รู้ว่าหลี่เชียนสวมเสื้อผ้าหนาหรือไม่?

นางมองไปรอบด้าน

ในอุทยานหลวงเงียบมาก ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว

นางคิดแล้วก็ไปตรงต้นไห่ถังที่เจอหลี่เชียนครั้งที่แล้ว

ใบของต้นไห่ถังร่วงหมดแล้ว กิ่งก้านสีน้ำตาลเปิดโล่งอย่างไร้ซึ่งการปิดบังอยู่ภายใต้ท้องฟ้าอึมครึมเจือความอ้างว้างของฤดูหนาว

แต่ข้างต้นไห่ถังกลับเงียบกริบ และยังคงไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียวเช่นเดิม

หลี่เชียนน่าจะไม่ได้รอนางแล้ว

หัวใจของเจียงเซี่ยนหดหู่ลงเล็กน้อย

นางคิดว่าตนเองก็ควรกลับไปวังฉือหนิงแล้วเหมือนกัน ทว่าในใจกลับมีเสียงหนึ่งบอกนางตลอดว่า หลี่เชียนไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายแบบนั้น ในเมื่อเขาบอกแล้วว่ารอนางที่อุทยานหลวง ก็น่าจะยังอยู่ที่อุทยานหลวง บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เจอกัน บางทีเขาอาจจะรอนานแล้ว จึงไปสถานที่อย่างเช่นพวกห้องรับแขกแล้ว บางทีอาจจะกลัวองครักษ์ที่ลาดตระเวนมาพบเข้า จึงรออยู่สถานที่ที่เปล่าเปลี่ยวตรงไหนสักแห่ง ในเมื่อนางมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอหน้ากันสักครั้ง

เจียงเซี่ยนเดินไปตามทางเดินหลักของอุทยานหลวงรอบหนึ่ง

ไม่เห็นหลี่เชียน!

ใบหน้าของเจียงเซี่ยนหมองหม่นลงอย่างห้ามไม่อยู่

เจ้าคนสารเลว!

เจ้าคนสารเลว!

หากนางเชื่อว่าเขาพูดจริงอีกครั้ง นางก็เป็นคนโง่

เจียงเซี่ยนเลิกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย รีบร้อนจะออกจากอุทยานหลวง

มีหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งตกใกล้เท้านาง

นางหยุดฝีเท้าอย่างตกใจ

มีหินก้อนเล็กอีกก้อนหนึ่งตกใกล้เท้านาง

นางถึงกล้ามั่นใจ

หันไปมองตามเสียง

หลี่เชียนก็นั่งยองๆ อยู่บนต้นไป่โบราณที่อยู่หน้าประตูอุทยานหลวง

เจียงเซี่ยนโกรธจนสีหน้าแดงก่ำ

ไม่ว่าอย่างไรเขาเป็นลูกชายของแม่ทัพเช่นกัน ทำไมทุกครั้งต้องทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับฐานะและเกียรติของตนเช่นนี้ด้วย?

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” นางซักไซ้ แต่ความรู้สึกดีใจกลับผุดขึ้นในใจอย่างไม่อาจอธิบายได้ นัยน์ตาสีดำขลับสองลูกนั้นทอประกายวิบวับ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นกลางวัน ทว่ากลับเหมือนดวงดาวทั้งท้องฟ้าสะท้อนกลับหัวที่ม่านตาของนาง สว่างไสวระยิบระยับ และแวววาวสะดุดตา

หลี่เชียนหายใจติดขัด และกระโดดลงมาจากบนต้นไม้ “ข้ากลัวคนอื่นเห็น จึงซ่อนอยู่บนต้นไม้ ตอนที่ท่านเข้ามา ข้าก็เห็นท่านแล้ว อยากเรียกท่านอยู่ แต่ปรากฏว่าท่านรีบเดินไปทางตะวันออกของอุทยานหลวง ประเดี๋ยวเดียวก็หายไปแล้ว ข้าก็ไม่กล้าตะโกนเสียงดัง พอดีบนต้นไม้มองเห็นอยู่ไกลๆ ว่าท่านกำลังมาตามทางเดินหลัก ข้าจึงไม่รบกวนท่าน”

เขาพูดอยู่ สติยังคงหยุดอยู่ที่แสงดาวในดวงตาคู่นั้น แลดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เจียงเซี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย ยังไม่ได้สัมผัสและรู้สึกถึงความดีใจในใจ ความรู้สึกนั้นก็หายตามสิ่งที่หลี่เชียนทำไปอย่างไร้ร่องรอย

ต้นนั้นสูงหนึ่งจั้ง[1]กว่าๆ กิ่งและใบบนต้นเชื่อมต่อกันเหมือนร่ม ลำต้นตรง รากที่คดงอนูนขึ้นมาใต้ต้น จู่ๆ เขาก็กระโดดลงมาจากบนต้นไม้ ทำให้พวกไป่เจี๋ยตกใจจนส่งเสียงดังเอะอะโวยวายพักหนึ่ง

นางอยากผ่าสมองของเขาออกมาดูจริงๆ ว่าในนั้นใส่อะไรไว้บ้าง?

ทำไมทุกครั้งต้องส่งเสียงดังและทำตัววุ่นวายต่อหน้านาง?

เขาจะปรากฏตัวต่อหน้านางอย่างเงียบสงบ หล่อเหลา สุขุมเยือกเย็นเหมือนคุณชายไม่ได้หรือ?

เจียงเซี่ยนนึกถึงสิ่งเหล่านั้นที่เขาทำในชาติก่อน ก็ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะตวาดด่าสั่งสอนเขาแล้ว

นางมองหลี่เชียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ รอให้เหล่านางในและขันทีที่ตามอยู่ข้างหลังสงบลง

หลี่เชียนรู้สึกถึงความไม่พอใจของนาง ก็อดที่จะลูบคางไม่ได้

ท่านหญิงเจียหนานนี่…ช่างอารมณ์แปรปรวนจริงๆ!

เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย ทว่าชั่วพริบตาก็วางมาดเยี่ยงสตรีชั้นสูงแล้ว

แต่ฐานะของนางมีอำนาจมาก และเติบโตในวังตั้งแต่เด็ก กฎระเบียบในวังก็มีมากเป็นพิเศษ นางจึงน่าจะถูกเลี้ยงจนกลายเป็นคนแบบนี้แล้ว

พอหลี่เชียนคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่าเจียงเซี่ยนน่าสงสารเล็กน้อย

หัวเราะก็หัวเราะเสียงดังไม่ได้ พูดจาก็พูดจาอย่างสบายใจไม่ได้ นางยังเป็นเด็กสาวที่อายุไม่ครบสิบห้าปีเลย!

หลี่เชียนล้วงถุงเงินสีแดงอ่อนปักลายใบโพธิ์สีเขียวเป็นมันขลับออกมาจากในอกเสื้อและยื่นให้เจียงเซี่ยน พลางเอ่ยว่า “สิ่งนี้…ให้ท่าน”

ถึงจะเป็นคนที่เยือกเย็นอย่างเจียงเซี่ยน ก็ตกใจกับการกระทำที่กะทันหันของเขามากเช่นกัน นางถอยหลังไปสองก้าว สายตาวนเวียนอยู่ที่ถุงเงินที่ปักอย่างประณีตสวยงามนั้น พลางเอ่ยด้วยสายตาปนความระแวดระวังว่า “เจ้าจะทำอะไร?”

ตอนแรกหลี่เชียนเหมือนยังไม่เข้าใจ ทว่าพอคิดอีกทีถึงได้เข้าใจ

ชายหญิงอายุเจ็ดปีขึ้นไปก็นั่งด้วยกันไม่ได้แล้ว หญิงสาวคงจะไม่ได้คิดว่าเขาจะแอบแลกของแทนใจกับนางใช่หรือไม่?

เขารู้สึกว่าตนเองควรจะอธิบายกับเจียงเซี่ยนที่อยู่ตรงหน้าดีๆ สักรอบ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับขยิบตาให้นางเสียได้ ในดวงตาสดใสเจือความยั่วเย้าและแปลกประหลาดเล็กน้อย พลางเอ่ยหยอกล้อว่า “ท่านคิดว่าข้าจะทำอะไร?”

เจียงเซี่ยนหน้าแดงเหมือนเลือดทันที ทั้งลำบากใจและเขินอาย

เขาน่าจะแค่อยากมอบของให้นางเล็กน้อยเพียงเท่านั้น

ก็เหมือนไปเป็นแขกที่บ้านคนอื่น แล้วต้องมอบของขวัญให้เล็กน้อยด้วยความเกรงใจเท่านั้นเอง

เหมือนกับชาติก่อน ทุกครั้งที่เขาเข้าเมืองหลวงมาเข้าเฝ้านาง นอกจากของเหล่านั้นที่อยู่ในรายการแล้วก็เหมือนยังจะมอบของเล่นให้นางสองสามชิ้นเป็นการส่วนตัวด้วย

นางเข้าใจผิดว่าเขาอยากเอาใจนางได้อย่างไร…

แต่นี่เป็นความผิดของนางหรือ?

ใครใช้ให้เขามักจะจับผิดนางไม่ปล่อยอยู่เสมอ

เขาก็ทำเป็นมองไม่เห็นไม่ได้หรือ?

เจียงเซี่ยนพาลโกรธ จู่ๆ ก็อยากให้มีฟ้าผ่าลงมาให้แผ่นดินแยกและให้นางมุดเข้าไป

ทว่าศักดิ์ศรีที่เคยเป็นไทเฮาที่สำเร็จราชการแทนกลับไม่อนุญาตให้นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

นางสูดหายใจลึก ยืดหลังตรงอย่างรวดเร็ว หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย และยิ้มออกมาอย่างใสซื่อปนจริงใจ พลางเอ่ยว่า “ขอบคุณองครักษ์หลี่มาก! เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าเสียมารยาทแล้ว!” นางเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน และจบหัวข้อสนทนานี้โดยเร็ว พลางส่งสัญญาณมือให้คนที่รับใช้อยู่ข้างหลังมารับของที่หลี่เชียนมอบให้ไป และเอ่ยว่า “องครักษ์หลี่หาข้า มีธุระสำคัญอะไรหรือ?”

สิ่งที่ควรพูด นางก็พูดไปหมดแล้ว หลี่เชียนยังคิดไม่ออกอีกงั้นหรือ

เขาไม่น่าจะโง่ขนาดนั้นนี่นา!

ไป่เจี๋ยก้าวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นางย่อตัวคารวะ และรับถุงเงินของหลี่เชียนไป

ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่รับใช้อยู่ข้างกายท่านหญิงเจียหนาน

หลี่เชียนยิ้มพลางพยักหน้าให้ไป่เจี๋ย และส่งถุงเงินให้ไป่เจี๋ย

เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว

ชาติก่อนไป่เจี๋ยเป็นอนุภรรยาของหลี่เชียน ได้ยินว่าได้รับความโปรดปรานและมีหน้ามีตามากเสียด้วย

เวลานี้พบกัน โอกาสเช่นนี้ เขายังคงสนใจไป่เจี๋ย

จะเห็นได้ว่าไป่เจี๋ยยังคงแตกต่างจากเขา

ในปากนางเหมือนอมผลซิ่ง[2]ที่สุกยังไม่เต็มที่อยู่ ทั้งฝาดทั้งเปรี้ยว แถมยังปนขมเล็กน้อย นางเอ่ยอย่างคล้ายจะไม่พอใจ “ขอบคุณมาก”

ในวังทุกที่คือดวงตา หลี่เชียนไม่มีทางที่จะมาหาเจียงเซี่ยนอย่างไร้สาเหตุแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นางพูดแบบนั้นกับเขาไปแล้ว แม้เขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเจียงเซี่ยนแล้ว ทว่าเวลานี้กลับไม่มีอารมณ์คิดอย่างละเอียด เขาทำหน้าจริงจังเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ท่านหญิง พวกเราหาที่คุยกันสักที่ได้หรือไม่?”

เจียงเซี่ยนรู้จุดประสงค์ที่เขามาทันที

นางรีบจัดการอารมณ์ให้เรียบร้อย แล้วพยักหน้าให้หลี่เชียนอย่างจริงจังและระมัดระวัง พลางเอ่ยว่า “เจ้าตามข้ามา!” แล้วไปทางศาลาที่อยู่ข้างๆ

พวกไป่เจี๋ยคอยเฝ้าอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเข้ามา

หลี่เชียนเห็นว่ารอบศาลานั้นแค่ปลูกต้นไม้ใหญ่อย่างกระจัดกระจายไว้เพียงไม่กี่ต้น ก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่คุยที่ดี

เขากดเสียงให้เบาลง และเอ่ยว่า “เรื่องที่ท่านเคยบอก ข้าคิดมาอย่างละเอียดแล้ว ถึงเวลานั้นให้ท่านกั๋วกงบอกข้าเรื่องแผนการในวันเฉลิมพระชนมพรรษาได้หรือไม่ และพอถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษานั้นก็แอบปล่อยข้าไปพบเฉาไทเฮา”

“อะไรนะ?” เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนอย่างตกใจ

นางพูดจาอย่างเปิดเผยขนาดนั้นแล้ว ทำไมหลี่เชียนยังจะหาทางเข้าหาเฉาไทเฮาอีก?

ช่วยเหลือ?

งั้นเขาก็ไม่น่าจะขอให้ลุงของนางปล่อยเขาไปแล้ว!

หรือต้องการยืนยันความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ กำจัดเฉาไทเฮาแทนฮ่องเต้?

นี่ไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองและอยากชื่อเสียงฉาวโฉ่หรือ?

เจ้าคนสารเลวนี่ มีสมองหรือไม่กันแน่!

เวลานี้ยังคิดเข้าหาเฉาไทเฮา

เขาจะทำตัวให้เป็นปกติหน่อยได้หรือไม่!

———————————–

[1] 1 จั้ง = 3.33 เมตร

[2] ผลซิ่ง = แอปริคอท