ภาคที่ 2 บทที่ 52 รออย่างสงบ

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนลูบหน้าผาก

 

หลี่เชียนรีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และลดเสียงลงมากกว่าเดิม พลางเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าเข้าใจจุดประสงค์ของท่านหญิง ตระกูลหลี่แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย พยายามแสร้งทำเป็นว่าตนเองบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องชั่ว และเฝ้าดูอย่างเงียบๆ หรือไม่ก็คิดหาทางผูกสัมพันธ์กับขุนนางที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัย หลังจากแผนการสำเร็จ ก็คิดหาทางขอให้คนช่วยพูดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท และแยกตระกูลหลี่ออกมา แต่ข้าคิดทบทวนดูแล้ว และคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก หากพลาดไปแล้ว เกรงว่าชาตินี้ข้าคงจะเสียดาย”

 

หมายความว่าอย่างไร?

 

เจียงเซี่ยนแอบคาดเดาอยู่ในใจ ทว่ายังไม่ค่อยเชื่อนัก

 

นางมองหลี่เชียนอย่างเงียบๆ ด้วยสายตาซับซ้อน

 

หลี่เชียนพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

ท่านหญิงเจียหนานเดาได้แล้วว่าเขาจะทำอะไรงั้นหรือ?

 

ไม่อย่างนั้นนางจะมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ได้อย่างไร

 

นางก็คิดว่าแบบนี้เสี่ยงอันตรายและเพ้อฝันเกินไปเหมือนกันหรือ?

 

หลี่เชียนนึกถึงที่เขายังคงโต้เถียงกับบิดาอยู่ก่อนจะมา…ทันใดนั้นก็อยากรู้ว่าหากเจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาอยากทำอะไรจะคิดอย่างไร? จะสนับสนุนเขาหรือไม่?

 

“ตอนข้าเด็กๆ ท่านพ่อเคยเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง” เสียงของเขาดังขึ้นใกล้หูนางเหมือนกระซิบ “บอกว่ามีครอบครัวที่ร่ำรวยครอบครัวหนึ่ง หนูในบ้านเยอะมาก เขาก็เลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง แมวตัวนั้นพยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างสุดกำลัง ไม่กี่วันก็จับหนูในบ้านจนหมดเกลี้ยงแล้ว ครอบครัวร่ำรวยนั้นก็เริ่มเลี้ยงให้แมวตัวนั้นกินปลา นานวันเข้าพอหนูไม่มีให้จับแล้ว ครอบครัวร่ำรวยนั้นก็คิดว่า แมวตัวนี้ก็ไม่ได้ทำงานทั้งวัน ยังจะกินปลาอีก ไม่คุ้มเป็นอย่างมาก จึงเปลี่ยนเป็นเลี้ยงให้แมวตัวนั้นกินข้าวแทน ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ครอบครัวร่ำรวยนั้นรู้สึกว่าเลี้ยงให้แมวกินข้าวก็สิ้นเปลืองมากเช่นกัน จึงไล่แมวตัวนั้นออกไป”

 

“ผ่านไประยะหนึ่ง หนูก็เริ่มอาละวาดในบ้านของครอบครัวร่ำรวย ครอบครัวร่ำรวยนั้นไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องไปพาแมวอีกตัวหนึ่งกลับมา”

 

“ครั้งนี้แมวตัวนี้ฉลาดมาก”

 

“มันจับหนูแค่สี่ห้าตัวทุกวัน ทั้งไม่ให้หนูเยอะจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตปกติ แล้วก็ไม่ถึงกับให้หนูพวกนั้นตายหมด”

 

“มันก็มีงานทำทุกวัน”

 

“และครอบครัวร่ำรวยนั้นเห็นแมวตัวนั้นจับหนูอย่างยากลำบากทุกวัน ก็ปลื้มใจมาก รู้สึกว่าแมวตัวนี้ดีกว่าแมวตัวก่อนมาก…”

 

เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย และปิดปากเงียบ

 

แต่หลี่เชียนกลับยิ้มเล็กน้อย

 

เขารู้ว่าเจียงเซี่ยนเข้าใจแล้ว

 

ไม่อย่างนั้นเจียงเซี่ยนคงจะไม่สุขุมเยือกเย็นอย่างที่ต่อให้ภูเขาไท่พังทลายลงตรงหน้า สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแบบนี้

 

ทันใดนั้นราวกับมีกระแสความอบอุ่นหลั่งไหลออกมาในส่วนลึกของหัวใจของหลี่เชียน ความอ่อนนุ่มพันหัวใจของเขาไว้ ทำให้ตัวเขาอ่อนยวบไปทั้งตัว

 

เขารู้ว่าเจียงเซี่ยนต้องเข้าใจสิ่งที่เขาพูดอย่างแน่นอน

 

หลี่เชียนอดที่จะเอ่ยเสียงเบาต่อไม่ได้ “สถานการณ์ในวัง สถานการณ์ของตระกูลเจียง ข้าก็ไม่พูดมากแล้ว” เสียงของเขาเบาลงอีกเล็กน้อย จนแทบจะกระซิบ และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “ถึงเฉาไทเฮาถูกปิดล้อมจะดีที่สุด แต่ท่านกับข้าต่างก็รู้ว่าหากเฉาไทเฮาถูกปิดล้อม เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่ให้เฉาไทเฮามีโอกาสสั่งการอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทตามใจชอบอีกแล้ว”

 

“และข้าคิดว่า แทนที่มอบเฉาไทเฮาให้ฝ่าบาท ให้ฝ่าบาทผูกขาดอำนาจแต่เพียงผู้เดียว สู้เก็บเฉาไทเฮาไว้ดีกว่า”

 

“แต่หากให้เจิ้นกั๋วกงออกหน้าปกป้องเฉาไทเฮา ฝ่าบาทกับเฉาไทเฮาอาจจะยังคิดว่าเจิ้นกั๋วกงจะประจบประแจงทั้งสองฝ่าย โดดเด่นเหนือผู้ใดทั้งฝั่งราชสำนักและฝั่งประชาชน ซึ่งไม่เพียงแต่จะรักษาเฉาไทเฮาไว้ไม่ได้ ยังอาจจะถูกฝ่าบาทเกลียดด้วย”

 

“แต่หากให้ตระกูลหลี่ของพวกเราออกหน้า ก็จัดการง่ายขึ้นแล้ว…เดิมทีตระกูลหลี่ของพวกเราก็รับคำสั่งจากเฉาไทเฮาให้เข้าเมืองหลวงมาอวยพรวันเกิดอยู่แล้ว เวลานี้เกิดเรื่องขึ้นกับเฉาไทเฮา จึงแน่นอนว่าต้องปกป้องเฉาไทเฮา!”

 

“ความกตัญญูต้องมาเป็นอันดับแรก ราชสำนักปกครองบ้านเมืองด้วยความกตัญญูมาโดยตลอด ขอเพียงข้างพระวรกายเฉาไทเฮามีองครักษ์ที่ปกป้องนางอยู่อย่างจงรักภักดีและเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ฝ่าบาทก็ไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ไม่มีใครกล้าเสนอให้ฝ่าบาทสังหารเฉาไทเฮาเช่นกัน ขอเพียงอดทนรอให้ผ่านช่วงแรกที่ฝ่าบาทว่าราชการด้วยตนเองไปได้ ข้างพระวรกายเฉาไทเฮามีองครักษ์ที่ปกป้องนาง ฝ่าบาทอยากจัดการเฉาไทเฮาอีกก็คงยากแล้ว”

 

“พวกเราสองตระกูลนั้น ตระกูลหนึ่งสามารถอยู่ข้างพระวรกายเฉาไทเฮาได้ ส่วนอีกตระกูลก็สามารถอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทได้อย่างสิ้นเชิง เฝ้าปกป้องอย่างลับๆ และฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน”

 

“ไว้อีกไม่กี่ปี ฝ่าบาทกุมอำนาจในการปกครองแคว้นได้อย่างมั่นคงแล้ว แต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว ตระกูลหลี่ของพวกเราก็ควรกลับซานซีแล้ว ความดีความชอบที่คอยติดตามอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทของตระกูลเจียงของพวกท่านก็ค่อยๆ จืดจางไปเช่นกัน ตระกูลเจียงของพวกท่านก็สามารถเป็นท่านกั๋วกงต่อไปอย่างเงียบๆ และซ่อนเรื่องราวทุกอย่างไว้ให้เหมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นได้”

 

เจียงเซี่ยนไม่พูดอะไรอยู่นานสองนาน

 

ทว่าในใจกลับเหมือนกาน้ำที่ตั้งอยู่บนเตา และฟองน้ำกับไอร้อนกำลังผุดออกมา

 

นึกไม่ถึงว่าหลี่เชียน…จะคิดไปในทางเดียวกันกับนาง!

 

เพราะนางรู้ตอนจบของชาติก่อน ถึงได้กล้าวางแผนกับจ้าวอี้

 

หลี่เชียนเพียงฟังคำพูดแค่ไม่กี่คำของตนเอง กลับเข้าใจทุกอย่าง

 

เขาเป็นนักพนันที่ชอบใช้ต้นทุนอันน้อยนิดแลกกับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่มาตั้งแต่เกิดงั้นหรือ?

 

เจียงเซี่ยนอยากดูถูกเขาในใจสักสองสามคำเหมือนเมื่อก่อนมาก ทว่าไม่รู้ทำไม ไม่ว่าอย่างไรนางก็พูดไม่ออก

 

นางนึกถึงการหลบหนี การฝืนอดทน และความหวาดกลัวจนหัวหดของตนเองในชาติก่อน

 

แทบจะแตกต่างกับหลี่เชียนอย่างสิ้นเชิง…ทว่าผู้คนมักจะอยากได้อะไรที่เกินตัว เฝ้ารอคอย และเลื่อมใสศรัทธาในสิ่งที่ตนเองขาด…

 

เจียงเซี่ยนจำเป็นต้องยอมรับว่า ไม่ว่าหลี่เชียนจะเป็นคนอย่างไร อย่างน้อยในด้านการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดนี้ เขาก็เก่งกว่าตนเอง

 

และเมื่อเป็นเช่นนี้ ความคิดของหลี่เชียนก็เหมือนกับนางจนน่าประหลาดใจ ทั้งที่ไม่เคยปรึกษากันมาก่อน ต่างก็คิดว่าเก็บเฉาไทเฮาไว้จะดีกว่ามอบนางไว้ในมือฮ่องเต้ซึ่งจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้แน่ชัด แถมเขายังบุกเข้ามาในแผนของนางโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว ทำให้แผนของนางกลายเป็นสมบูรณ์แบบและมีหนทางสำเร็จมากกว่าเดิม

 

นี่เป็นเจตนารมณ์ของสวรรค์อย่างนั้นหรือ!

 

เจียงเซี่ยนจ้องมองหลี่เชียนโดยไม่พูดอะไร

 

นางถึงพบว่าคิ้วของหลี่เชียนสวยเป็นพิเศษ เรียวยาวพอเหมาะ แต่กลับงอนขึ้นเล็กน้อยตรงที่คิ้วโค้งลง จนก่อให้เกิดเป็นคิ้ว ทำให้หน้าตาที่เดิมทีเพียงแค่องอาจห้าวหาญและเต็มไปด้วยความฮึกเหิมของเขา จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสดใสและคมกริบเหมือนหัวธนูและคมดาบ ทำให้คนเห็นแล้วยากที่จะลืมเลือนได้

 

เหมือนกับเกิดใหม่ นางสังเกตหลี่เชียนอย่างละเอียดเช่นนี้เป็นครั้งแรกเสียด้วย

 

หลี่เชียนเป็นแบบนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยคุ้น ทว่าหล่อเหลาและองอาจกว่าในความทรงจำของนางเสียอีก

 

เจียงเซี่ยนเม้มปาก

 

หรือว่านางไม่เคยรู้จักคนๆ นี้จริงๆ เลยอย่างนั้นหรือ?

 

นางงุนงงมาก ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยกับเขาเสียงเบามากว่า “เจ้าว่าอะไรนะ? ข้าไม่เข้าใจ! แต่ว่าหากเจ้าอยากได้แผนการของงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ภูเขาวั่นโซ่ว เกรงว่าคงต้องอีกสักสองสามวัน ข้าให้คนไปเอามาแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่ประทับของฝ่าบาท จะได้มาหรือไม่ก็พูดยากแล้ว!”

 

หลี่เชียนหัวเราะเบาๆ เสียงราวกับส่งมาจากหน้าอก อบอุ่น จริงใจ เสนาะหู ชัดเจน และสบายใจ

 

เจียงเซี่ยนอดที่จะรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้

 

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “เรื่องนี้พูดง่าย แต่ทำยาก จนถึงตอนนี้ ท่านพ่อก็ไม่มีข่าวสารที่ชัดเจน แน่นอน และเชื่อถือได้เช่นกัน ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะ อย่างไรก็ควรจะลองปรึกษากับเจิ้นกั๋วกงสักหน่อย”

 

ปิดล้อมเฉาไทเฮาอย่างไร เจียงเจิ้นหยวนน่าจะวางแผนไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว

 

ตระกูลหลี่เป็นทหารมาก่อน ขอเพียงเจียงเจิ้นหยวนยอมร่วมมือกับตระกูลหลี่ ถึงจะไม่มอบหมายแผนการทั้งหมด ขอเพียงบอกคนที่ตระกูลหลี่พามาว่าไปตำหนักไผอวิ๋นทางไหน และลงมืออย่างไร ตระกูลหลี่ก็สามารถคาดเดาแผนการของพวกเขาได้พอประมาณแล้ว

 

นางมองหลี่เชียนอย่างระมัดระวัง

 

ใครจะรู้ว่าหลี่เชียนพูดจริงหรือโกหก?

 

สำหรับตระกูลเจียง นี่เท่ากับฝากชีวิตเอาไว้

 

หากเชื่อคนผิด ก็ถูกสังหารทั้งตระกูล และตายโดยไร้ที่ฝังร่าง

 

หลี่เชียนที่อายุยี่สิบสามเป็นคนที่ทะเยอทะยานมากและมีความคิดลุ่มลึก เขาจะต้องไม่ยอมอยู่ใต้เฉาไทเฮาอย่างแน่นอน

 

ทว่าหลี่เชียนที่อายุสิบแปด เจียงเซี่ยนไม่รู้

 

———————–