ภาคที่ 2 บทที่ 53 เชื่อใจ

มู่หนานจือ

หลี่เชียนปล่อยให้เจียงเซี่ยนได้ใช้ความคิดอย่างสงบ

อันที่จริงเขารู้สึกกระวนกระวายใจ

ให้เฉาไทเฮามีชีวิตอยู่ ถึงอย่างไรก็เป็นผลดีกับตระกูลเจียงเช่นกัน แน่นอนว่าคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดยังคงเป็นตระกูลหลี่ กลายเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของเฉาไทเฮา สามารถใช้พลังที่เหลืออยู่ในมือเฉาไทเฮา ทำให้ตระกูลหลี่ครอบครองตำแหน่งที่มีอำนาจมากขึ้น และทำให้ตระกูลหลี่ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ว่าจงรักภักดีและเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เจียงเซี่ยนมองจุดประสงค์ของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง กลับไม่ดูถูกหรือตวาดด่าเขา เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว

เขาทำเช่นนี้ จริงๆ แล้วก็คิดจะเหยียบตระกูลเจียงเพื่อไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น

เวลานี้ยังหน้าด้านให้คนอื่นช่วยสืบแผนการของตระกูลเจียงล่วงหน้า ท่านหญิงเจียหนานไม่เรียกคนไล่เขาออกไปก็ถือว่าควบคุมอารมณ์ได้ดีแล้ว

เขายิ้มให้เจียงเซี่ยนอย่างเกรงใจ แล้วล้วงถุงเงินทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำเงินทอและปักลายดอกบัวสีขาวออกมาจากในอกเสื้อยื่นให้เจียงเซี่ยน พลางเอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “เชิญท่านหญิงลองเปิดดูขอรับ”

นัยน์ตาของเจียงเซี่ยนฉายแววงุนงง นางคิดว่าในเมื่อหลี่เชียนพูดถึงเรื่องจริงจังแล้วก็ไม่น่าจะน่าเบื่อขนาดนั้น จึงเปิดถุงเงิน

ข้างในเป็นป้ายที่เขียนยืนยันถึงความจงรักภักดี

เขียนว่าตระกูลหลี่เป็นฝ่ายร่วมมือกับตระกูลเจียง ยอมกบดานอยู่เบื้องหลังเฉาไทเฮา และรอคำสั่งส่งตัวไปทำงานที่อื่นจากเจิ้นกั๋วกง

เจียงเซี่ยนแปลกใจเล็กน้อย แต่คิดอีกว่าด้วยนิสัยของหลี่เชียน นี่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายเช่นกัน

เพียงแค่ดูลายมือและป้ายคำสัตย์นี้ หลี่เชียนน่าจะเป็นคนเขียน จะเห็นได้ว่าหลี่ฉางชิงไม่เห็นด้วยกับวิธีการของหลี่เชียน

ทว่าครั้งแรกที่เจียงเซี่ยนเจอหลี่เชียน หลี่เชียนที่อายุเพียงยี่สิบสามปีเป็นแม่ทัพต้าถงแล้ว แสดงว่าตอนนั้นเขาเป็นคนดูแลตระกูลหลี่ และหลังจากนั้นนางก็เคยเห็นชื่อของหลี่ฉางชิงแค่ในสาส์นที่ขอให้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง จึงรู้ว่าหลี่ฉางชิงที่ประพฤติตนอย่างถูกต้องและอายุสามสิบสี่สิบปียังมีชีวิตอยู่ดี เพียงแต่ลาออกจากการเป็นขุนนางและพักผ่อนอยู่ที่จวนแล้ว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลี่เชียนจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย

รวมถึงตอนที่ต่อต้านนางด้วย…

พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ เจียงเซี่ยนก็เหมือนท้อแท้

นางก็เป็นฝ่ายแพ้ในกำมือของเขาเช่นกัน จึงว้าวุ่นใจว่าหลี่เชียนจะอาศัยโอกาสควบคุมตระกูลเจียงแล้วใช้ประโยชน์อะไรหรือเปล่า?

จะเดินหมากก็ต้องให้คนที่เล่นหมากฝีมือสูสีกันเดินถึงจะถูก!

เจียงเซี่ยนหักป้ายคำสัตย์ของหลี่เชียนเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วยัดเข้าไปในถุงเงิน นางผูกถุงเงินไว้ข้างเอวของตนเอง และปลดหยกแขวนซึ่งเป็นหยกมันแพะรูปปลาคู่ในสระบัวที่ใช้ควบคุมการเดินไม่ให้ก้าวใหญ่เกินไปจนเสียมารยาทตรงเอวมายื่นให้หลี่เชียน แล้วเอ่ยว่า “หยกแขวนชิ้นนี้ไทฮองไทเฮาพระราชทานให้ข้าตอนวันเกิดปีที่แล้ว ตอนนั้นท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของข้าก็อยู่ด้วย ว่ากันว่าเป็นของโบราณของราชวงศ์ก่อน สมัยนี้หาชิ้นที่สองที่เหมือนกันไม่ได้แล้ว เจ้าเอาไว้เป็นของยืนยันและคิดหาทางแอบไปเจอท่านลุงของข้า บอกท่านลุงของข้าเรื่องที่เจ้ายื่นป้ายคำสัตย์ให้ข้าแล้ว ควรจะทำอย่างไร เจ้าก็ปรึกษากับท่านลุงของข้าไป เรื่องพวกนี้ข้าก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ กลัวว่ามากไป จะกลายเป็นยิ่งช่วยยิ่งยุ่ง”

หลี่เชียนสายตาแน่วแน่

ท่านหญิงเจียหนานมักจะทำให้เขาแปลกใจมากเสมอ

เขาคิดว่านางจะถามความคิดของเขา

ปรากฏว่านางยอมรับอย่างสงบนิ่งแล้ว

เขาคิดว่านางจะเชื่อตนเอง

ปรากฏว่านางรอจนเขาเอาของที่สามารถยืนยันความจงรักภักดีออกมาถึงจะคุยเรื่องจริงจังกับเขา

เขาคิดว่านางจะให้เขานำป้ายคำสัตย์ของเขาไปพบเจิ้นกั๋วกง

ปรากฏว่านางเก็บป้ายคำสัตย์ไว้เสียเอง และกลับมอบหยกแขวนชิ้นหนึ่งให้เขาเป็นของยืนยัน

นางคงเชื่อใจเขากระมัง?

เพียงแต่เรื่องนี้สำคัญมากเกินไป นางเชื่อใจเขา ทว่าเขาก็ต้องอธิบายกับจวนเจิ้นกั๋วกง ตระกูลเจียง ลุงของนางและเหล่าทหารที่ติดตามทำงานกับลุงของนางเช่นกัน

ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่เก็บป้ายคำสัตย์ที่เขาเขียนเอาไว้

ป้ายคำสัตย์ชิ้นนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของตระกูลหลี่และคนที่ติดตามตระกูลหลี่มาพึ่งพาราชสำนักด้วยกัน เขาก็มอบชีวิตของตนเองและคนทั้งตระกูลให้ตระกูลเจียงแล้วเช่นกัน

ตระกูลเจียงมีป้ายคำสัตย์นี้อยู่ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของตระกูลหลี่ได้ ทว่าท่านหญิงเจียหนานเป็นแค่สตรีที่มีตำแหน่งแต่เพียงในนามและเติบโตในวัง ถึงนางจะมีปัญญาดุจมหาสมุทร แต่ไม่มีเจียงเจิ้นหยวนอำนวยความสะดวก แทนที่จะกล่าวว่าการเก็บป้ายคำสัตย์ชิ้นนี้เอาไว้เป็นการช่วยตระกูลเจียง สู้บอกว่าเป็นคนกลางระหว่างตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่ดีกว่า

นี่เป็นความเชื่อใจที่นางสามารถให้เขาได้มากที่สุดแล้ว!

หลี่เชียนเหมือนทำขวดห้ารสล้มคว่ำในทันใด จนบอกไม่ถูกว่าเป็นรสอะไร

หลังจากเขากับบิดาที่เชื่อใจเขามากมาตลอดทะเลาะกันจนไม่มีทางยุติได้ ท่านหญิงเจียหนานที่ยังถือว่าแปลกหน้าสำหรับเขากลับเชื่อเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว

สิ่งที่โลกนี้เรียกว่าเพื่อนใหม่ที่บังเอิญรู้จักกลับเหมือนเพื่อนเก่าที่สนิทสนมกันมากก็คงเป็นความรู้สึกแบบนี้กระมัง!

ทันใดนั้นความกล้าหาญและปณิธานอันกว้างไกลพลันผุดขึ้นในใจของหลี่เชียน

คนมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณไม่กี่สิบปีเท่านั้น มีเรื่องที่อยากทำ มีคนรู้ใจ มีเพื่อนสนิท มีคนที่เข้าใจตนเอง ยังมีอะไรน่าเสียดาย

เขาจะต้องยืนอยู่ปลายสุดของใต้หล้านี้อย่างแน่นอน อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ถูกคนอื่นจับจุดอ่อนและบีบบังคับให้ยอมอีก บินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศอย่างอิสระเหมือนนก…

“ท่านหญิง!” หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนอย่างจริงใจ ถึงแม้เสียงเบา ทว่ากลับเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หากทำงานล้มเหลว ข้ายินดีตายชดใช้ความผิด”

นางจะต้องการศีรษะของเขาไปทำไม?

เจียงเซี่ยนมุมปากกระตุกเล็กน้อย

สิ่งที่นางต้องการคือเขาสามารถทำตามที่เขาพูดได้ กบดานอยู่ข้างกายเฉาไทเฮา รักษาความปลอดภัยของเฉาไทเฮา จนแน่ใจว่าเฉาไทเฮาสามารถรักษาสมดุลที่ซับซ้อนกับจ้าวอี้ที่ว่าราชการด้วยตนเองแล้วได้ ทำให้จ้าวสี่ที่แม่นมฟางให้กำเนิดปลอดภัย และเติบโตอย่างแข็งแรง ให้นางได้ดูเรื่องสนุก

แต่…จะว่าไปแล้ว

คิดไม่ถึงว่าตอนหลี่เชียนอายุสิบเจ็ดสิบแปดจะเป็นคนเก่งกาจ แม้แต่ของที่ยืนยันความจงรักภักดีก็ทำขึ้นมาได้

มิน่าเล่าตระกูลหลี่ที่อยู่ในกำมือเขา ทั้งที่มาทีหลังถึงแซงหน้าผู้ที่อยู่มาก่อนไปได้ จนกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดในบรรดาตระกูลขุนนางของราชวงศ์ปัจจุบัน

มีหลี่เชียนคอยไกล่เกลี่ยอยู่ในนั้น แผนการของนางจะต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน

เจียงเซี่ยนอารมณ์ดีมาก สีหน้าก็เจือความอบอุ่นด้วยเล็กน้อย

“สายมากแล้ว” นางเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้าต้องกลับวังฉือหนิงแล้ว องครักษ์หลี่ก็กลับไปเร็วหน่อยเถอะ! มีเรื่องที่ต้องทำเยอะมากทีเดียว”

เขาไม่ควรอยู่ที่นี่นานกว่านี้จริงๆ

หลี่เชียนถึงนึกได้ว่าเขารอท่านหญิงเจียหนานอยู่ที่นี่มาตลอดทั้งบ่ายแล้ว

เขาอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ท่านหญิง ท่านเพิ่งจะมาตอนนี้ เจอเรื่องอะไรที่ไม่ค่อยสะดวกหรือไม่…”

หลี่เชียนยังพูดไม่จบ เจียงเซี่ยนก็ปรายตามองมาอย่างเย็นชา

ทำไม? นี่เขาจะคิดบัญชีกับนางหรือ?

ก็แค่ให้เขารอเท่านั้นเอง

ไม่ใช่ว่าชาติก่อนเขาไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เสียหน่อย

นี่เป็นเพราะความแตกต่างที่นางเป็นไทเฮากับไม่ได้เป็นไทเฮางั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์อีกแล้ว

หลี่เชียนอายุยังน้อยก็ได้รับความไว้วางใจจากบิดาแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้อาศัยเพียงว่าเป็นลูกชายคนโต ทำอะไรสุขุม สติปัญญาเฉียบแหลมและวางแผนเก่ง ทว่ายังเป็นเพราะเขามีความคิดเฉียบแหลม คาดเดาจิตใจของผู้อื่นจากการสังเกตสีหน้าและคำพูดเก่ง รู้จักควบคุมจิตใจผู้คน และใช้คนเป็น

เมื่อก่อนเขาอยากสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในเมืองหลวง จึงต้องสังเกตความเปลี่ยนแปลงของวงการขุนนาง ต้องระมัดระวังพวกคำใส่ร้ายป้ายสีที่คนอื่นแพร่กระจายลับหลังเขา…เรื่องที่ต้องทำมีมากเกินไปแล้ว สำหรับเจียงเซี่ยนที่เคยเจอกันเพียงไม่กี่ครั้งนั้น ถึงแม้ฐานะของนางจะมีอำนาจมาก แต่กลับเป็นเด็กสาวที่เงียบขรึม พูดน้อย และไม่คิดมาก เวลานี้เขากับเจียงเซี่ยนมีความลับร่วมกันแล้ว นี่ทำให้เขาเห็นเจียงเซี่ยนเป็นคนกันเอง เช่นนั้นทำให้นางเชื่อเขาและยอมที่จะคบหากับเขาต่อไปก็กลายเป็นเรื่องสำคัญมากแล้ว

เขาก็รู้สึกถึงปฏิกิริยาของนางได้ไวขึ้นเช่นกัน

พอเจียงเซี่ยนมองมา สมองของหลี่เชียนก็เริ่มหมุนอย่างเร็วมาก

“ข้ารู้ว่าท่านมีธุระมากมาย ไม่ได้สะดวกออกมาขนาดนั้น” เขารีบอธิบาย ด้วยกลัวว่าเจียงเซี่ยนจะคิดว่าเขากำลังหงุดหงิดที่รอนาง “ในวังนี้มีผู้คนผ่านไปมาตลอด ข้ามาเป็นบางครั้งยังไม่เป็นไร หากมาบ่อยไป จะถูกคนอื่นสังเกตเห็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต่อไปหากมีเรื่องอะไร พวกเราค่อยนัดพบกัน ข้าจะนั่งรอท่านอยู่บนต้นไม้โบราณต้นเมื่อครู่นั้น ท่านเข้าไปในสวนแล้วเงยหน้ามองข้างบนก็เจอเลย…ต้นไม้โบราณต้นนั้นเติบโตได้ดีจริงๆ กิ่งและใบเจริญงอกงามดี ฤดูร้อนหากนั่งตรงนั้น ก็คงจะบังคนไว้หมดแล้ว ซึ่งหากไม่ตั้งใจมองก็จะมองไม่เห็น…”

———————————