ตอนที่ 50 แสงไฟ

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 50 แสงไฟ

“น้องเจียง! เจ้าสั่งให้เมียเจ้าหยุดประเดี๋ยวนี้ นางดูเหมือนจะตบตีคนอื่นแล้วนะ” ฉวนหลี่เจิ้งพูดกับท่านปู่เจียงที่อยู่ด้านข้าง

ท่านปู่เจียงจึงทำได้เพียงหันไปเรียกหลีโผจื่อตามคำสั่ง “โผจื่อเจ้าหยุดตีโพยตีพายเถอะ พี่ฉวนบอกให้เจ้าหยุดได้แล้ว”

หลีโผจื่อค่อนข้างกลัวหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้พอสมควร แต่นางก็ทำได้แค่จ้องเขาอย่างแค้นใจ “ฉวนหลี่เจิ้ง หรือว่าเจ้าคิดจะปกป้องเจ้าเท้าเล็กนี่ ?”

เดิมทีนางอยากด่าว่าไอ้สิ่งอัปมงคล แต่เมื่อนึกได้ว่าเมื่อสักครู่แม่เฒ่าเซียนเว่ยบอกว่านางขับไล่ผีร้ายไปแล้ว จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนคำด่า

ฉวนหลี่เจิ้งขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองท่านปู่เจียง “น้องเจียง คนในครอบครัวเจ้าดูเหมือนจะพูดจาใช้การไม่ได้เลยนะ”

ท่านปู่เจียงรักศักดิ์ศรีของตัวเองยิ่งชีพ เขาได้ยินคำพูดนี้แล้ว ใบหน้าของเขาก็แดงจนออกม่วงเล็กน้อย ยิ่งมีผู้คนมากมายกำลังดูอยู่ด้วยเช่นนี้ เขาจึงหันไปตะคอกใส่หลีโผจื่อด้วยความโมโห “พอ! โผจื่อเจ้าพอเลย!”

หลีโผจื่อตัวสั่นเล็กน้อย มือของนางที่ถูกเจียงหยุนชานต้านไว้อยู่ตลอดก็วางลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่นัก

นางจ้องเจียงป่าวชิงเขม็ง

“หลีก!  หลีก!  หลีกทางให้หมด!” มีเสียงของซุนต้าหูดังขึ้นมาจากทางด้านหลังผู้คน “ข้าเชิญหมอกัวมาแล้ว”

จากนั้น ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างก็หลีกทางให้ซุนต้าหูอย่างรู้ตัวทันที ซุนต้าหูวิ่งมาอย่างเหนื่อยหอบ เขาแบกแม่เฒ่ากัว หมอคนเดียวในชีหลี่โวที่สามารถตรวจโรคได้ไว้บนหลัง

จมูกของซุนต้าหูชุ่มไปด้วยเหงื่อและใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ แม่เฒ่ากัวถูกทำให้สั่นสะเทือนจิตจนนางส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน สีหน้าของนางก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก และดูแล้วคงจะเป็นซุนต้าหูที่แบกนางมาตลอดทาง

ซุนต้าหูวางร่างแม่เฒ่ากัวลงในลานบ้านอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็มองเจียงป่าวชิงที่อยู่ในสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดหมาดำตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสารจับใจ

แต่ตอนนี้นั้น… สิ่งสำคัญที่สุดก็คือให้แม่เฒ่ากัวรีบไปดูอาการของเจียงโหย่วฉายให้เร็วที่สุด

เมื่อเห็นแม่เฒ่ากัว หลีโผจื่อก็นึกเรื่องที่แม่เฒ่ากัวบอกให้เจียงโหย่วฉายไปดูอาการในอำเภอเมื่อครั้งก่อนขึ้นได้ คิดได้ดังนั้นนางก็ถลึงตาใส่ทันที “เรียกนางมาจะมีประโยชน์อะไร ?!”

แม่เฒ่ากัวยังไม่ทันหายเหนื่อย นางได้ยินที่หลีโผจื่อพูดก็โมโหและทำท่าจะกลับทันที

“อย่าไป! แม่เฒ่ากัวอย่าไปนะเจ้าคะ” ทันใดนั้นโจซื่อรีบวิ่งพรวดพราดเข้ามาขวางแม่เฒ่ากัวไว้อย่างร้อนรนในสภาพที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ตอนนี้นางกำลังขอร้องให้ลูกชายตัวเองหายไข้ อย่าว่าแต่แม่เฒ่ากัวเลย ต่อให้เป็นแม่เฒ่ามาวหรือใครก็ได้ ตราบใดที่มีความหวังเพียงริบหรี่ นางก็จะลองดู

ตอนนี้แม่เฒ่ากัวเข้าไปดูอาการเจียงโหย่วฉายในบ้านแล้ว ซุนต้าหูยืนอยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิง เขารู้สึกสงสารนางจับใจ “น้องป่าวชิง เจ้าได้รับความทุกข์ทรมานอีกแล้วสินะ” เขาอยากเช็ดหน้าให้เจียงป่าวชิงเสียจริง แต่เขารู้ว่าชายหญิงถึงเนื้อต้องตัวกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก และถ้าหากว่าเขาเอื้อมมือนี้ออกไปต่อหน้าผู้คนมากมาย เกรงว่ายังไม่ทันพ้นประตูนี้ คำนินทาก็จะแพร่กระจายไปทั่วเสียก่อน

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะพี่ต้าหู” เจียงป่าวชิงส่ายหน้าให้ซุนต้าหู นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กลับเห็นแม่เฒ่าเซียนเว่ยค่อย ๆ ย่องเบา ๆ และตั้งใจจะหลบหนีออกไปในขณะที่คนอื่น ๆ ไม่ได้ให้ความสนใจ

“แม่เฒ่าเซียนเว่ย” น้ำเสียงของเจียงป่าวชิงยังคงแหบเล็กน้อยหลังจากที่ร้องไห้มาอย่างหนัก “นี่ท่านจะไปไหนรึเจ้าคะ ?”

แม่เฒ่าเซียนเว่ยไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะเรียกนางไว้เช่นนี้ นางตัวแข็งทื่อไปทันที

เมื่อสักครู่ นางเห็นท่าทางองอาจห้าวหาญของเจียงป่าวชิงที่ร้องห่มร้องไห้แต่ก่นด่าฟ้าดินจนคนในตระกูลเจียงพูดไม่ออกไปแล้ว นางจึงไม่อยากปะทะกับเจียงป่าวชิงอีก

แต่นางนั้น… ไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะเป็นฝ่ายเข้าหานางเช่นนี้

แม่เฒ่าเซียนเว่ยทำท่าทางราวกับนางคือคนพิเศษ นางหมุนตัวและตอบเจียงป่าวชิง “ที่นี่ไม่เหลือสิ่งชั่วร้ายแล้ว ข้าก็กำลังจะกลับบ้านข้าสิ”

“ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ผีร้าย และได้พิสูจน์ให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วว่าข้าไม่ได้เป็นผีร้ายอะไรนั่นจริง ๆ ถ้าอย่างนั้น เมื่อสักครู่ที่ท่านสะสางนั้นคืออะไรรึ ?” เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นน้อยใจ เพื่อต้องการให้แม่เฒ่าเซียนเว่ยพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

เหอะ! นางก็แค่ต้องแสดงเป็นคนบริสุทธิ์ไร้เดียงสามิใช่หรือ ? ทำเหมือนไม่มีใครแสดงเป็นอย่างนั้นแหละ

แต่คนที่แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์และไร้เดียงสาในแบบของคนอื่นนั้นมักจะเป็นสาวน้อยรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่คนที่แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์และไร้เดียงสาในแบบของเจียงป่าวชิงกลับมีสภาพเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดหมาดำที่เหนียวเหนอะหนะตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งไม่เป็นที่น่าดูเท่าไหร่นัก

ทว่าเพราะความไม่น่าดูเช่นนี้แล ที่ทำให้เจียงป่าวชิงยิ่งดูน่าสงสารมากกว่าเดิมหลังจากที่ถูกข่มเหงมายาวนาน

ชาวบ้านในหมู่บ้านพากันจ้องมองแม่เฒ่าเซียนเว่ย และในสายตาของหลาย ๆ คนก็เผยความสงสัยออกมาให้เห็นแล้วเช่นกัน

ในขณะที่แม่เฒ่าเซียนเว่ยกำลังใช้สมองอย่างหนักเพื่อคิดหาคำพูด นางก็เห็นแม่เฒ่ากัวเดินออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เสียก่อน จากนั้นแม่เฒ่ากัวก็ก่นด่าขึ้นมากลางลานบ้าน “เด็กป่วยถึงขนาดนี้ พวกเจ้ายังเชิญคนมาเต้นระบำเทพอยู่ได้ กลัวเด็กจะตายไม่เร็วพอใช่หรือไม่ ?!  เขาแค่เป็นไข้ตัวร้อน แต่ดูพวกเจ้าสิ ยังมาทำเป็นขับไล่ผีสางเช่นนั้นอีก ถุย!”

แม่เฒ่าก่นด่าและถ่มน้ำลายลงพื้นแรง ๆ หนึ่งที  นางสาดน้ำลายใส่แม่เฒ่าเซียนเว่ยต่อหน้าผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์

เนื่องจากเรื่องพี่ฉายเมื่อครั้งที่แล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้โจซื่อกับหลีโผจื่อจึงตั้งใจใส่ร้ายแม่เฒ่ากัวให้คนในหมู่บ้านฟัง บอกว่านางไม่มีความสามารถอะไร สู้แม่เฒ่าเซียนเว่ยไม่ได้แม้แต่น้อยทำนองนั้น

ครั้งนี้แม่เฒ่ากัวจึงกลั้นความโกรธไว้ในใจ และสู้เพื่อคืนชื่อเสียงที่บริสุทธิ์ให้กับตัวเอง

แม่เฒ่าเซียนเว่ยหน้าแดงและซีดไปพร้อม ๆ กัน  เดิมทีนางบอกว่าเจียงป่าวชิงถูกผีร้ายเข้าสิง แต่หลังจากที่ถูกเจียงป่าวชิงฉีกหน้า นางก็รู้สึกว่านางไม่สามารถกู้หน้ากลับมาได้ ตอนนี้แม่เฒ่ากัวก็ออกมาพ่นไฟใส่นางอีกคน

นี่ถือว่าชื่อเสียงของเซียนเว่ยได้ถูกทำลายจนถึงที่สุดแล้ว

แม่เฒ่าเซียนเว่ยเหมือนคนที่ถูกผู้อื่นจงเกลียดจงชัง นางรีบหนีออกไปท่ามกลางสายตาสงสัยและดูถูกของทุกคน

แต่แม่เฒ่าเซียนเว่ยนั้นไม่คาดคิดว่าตอนที่นางเดินมาถึงครึ่งทางที่เส้นทางบนภูเขา จะมีผู้หญิงเสียสติคนหนึ่งรีบวิ่งตามนางมา และจับนางไว้เพื่อไม่ให้นางหนีไปเช่นนี้

ผู้หญิงที่ค่อนข้างเสียสติคนนี้น้ำตาคลอเบ้า นางฉุดดึงเสื้อผ้าของแม่เฒ่าเซียนเว่ยและถามขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ประเดี๋ยวก่อน! เจ้าไม่รู้วิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายอะไรนั่นใช่ไหม ?! และไม่มีสิ่งชั่วร้ายอะไรนั่นใช่หรือเปล่า ?!”

แม่เฒ่าเซียนเว่ยถูกถามจนนางรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด

นางมีภาพความทรงจำที่คลุมเครือเกี่ยวกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง  เมื่อสองปีก่อน ผู้หญิงคนนี้ป่วย คนในบ้านของผู้หญิงคนนี้เชิญนางไปเต้นระบำเทพ เนื่องจากนางดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไร ประกอบกับนางกลัวว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของตัวเอง จึงพูดมั่ว ๆ ไปว่าลูกสาวของผู้หญิงคนนี้ถูกผีร้ายเข้าสิงร่าง และในครั้งนั้นนางก็ได้ใช้เลือดหมาดำมาทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายเช่นกัน

เมื่อถูกสาดด้วยเลือดหมาตรงศีรษะ เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตกใจจนสติเลอะเลือนทันที จากนั้นนางก็อ้างว่าสะสางสิ่งชั่วร้ายเรียบร้อยแล้ว และรับเงินกลับไปในที่สุด

ต่อมา นางก็ได้ยินเรื่องในภายหลัง ท่านยายของผู้หญิงคนนี้ให้ความสำคัญกับทายาทที่เป็นผู้ชายมาก และไม่ชอบหลานสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อนางรู้ว่าหลานสาวถูกผีร้ายเข้าสิงร่าง นางก็เชื่อมั่นว่าหลานสาวของตัวเองเป็นตัวกาลกิณีจึงถือจังหวะตอนที่หลานสาวไม่ได้ตั้งตัวพาหลานสาวที่สติเลอะเลือนไปขังไว้ในบ้านที่ชำรุดและเผาหลานสาวตัวเองทั้งเป็น

ในตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นถูกเผาตาย นางเพิ่งอายุเพียงห้าขวบเอง

ต่อมา แม่เฒ่าเซียนเว่ยเหมือนจะได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้กลายเป็นคนบ้า คนในบ้านจึงขังนางและไม่ให้นางออกมายังโลกภายนอก …ก็ไม่รู้เช่นกันว่าวันนี้นางหนีออกมาดูเรื่องสนุกนี้ได้อย่างไร

แม่เฒ่าเซียนเว่ยพูดอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “โอ้! เจ้าหายป่วยจากโรคนั้นแล้ว เช่นนั้นก็แสดงว่าสิ่งชั่วร้ายหายไปหมดแล้ว”

“หายป่วยรึ ? ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ได้ป่วยตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”

ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะอย่างเสียสติ เมื่อหัวเราะเสร็จ นัยน์ตาของนางก็ฉายแสงประหลาดออกมาให้เห็น จากนั้นนางก็หยิบมีดออกมาจากในหน้าอกและแทงแม่เฒ่าเซียนเว่ยทันที

ถึงอย่างไรแม่เฒ่าเซียนเว่ยก็อายุมากแล้ว นางถูกผู้หญิงคนนั้นใช้มีดแทงเข้าตรงบริเวณหน้าอกโดยที่ไม่ให้แม่เฒ่าเซียนเว่ยทันได้ตั้งตัว จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ออกแรงผลักแม่เฒ่าเซียนเว่ยลงไปในลำธารเล็ก ๆ ระหว่างภูเขา

ตอนที่แม่เฒ่าเซียนเว่ยถูกผลักตกหน้าผา ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว การสูญเสียเลือดมากและการตกลงไปอย่างรวดเร็วทำให้สติของนางค่อย ๆ วูบหายไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่กำลังตกลงมา ในหัวของนางมีเพียงหนึ่งคำถามเท่านั้น

หรือว่านี่จะเป็นกรรมตามสนอง ?

ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่บนริมหน้าผาและมองลงไปที่ด้านล่างหน้าผา เมื่อนางแน่ใจแล้วว่าแม่เฒ่าเซียนเว่ยคงไม่สามารถปีนขึ้นมาได้แน่ นางก็ถอดเสื้อคลุมที่เปื้อนไปด้วยเลือดของแม่เฒ่าเซียนเว่ยออก และโยนลงไปในลำธารเล็ก ๆ สุดท้ายนางก็กลับบ้านโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แม่ของนางยังคงนอนกลางวันอยู่บนเตียงอิฐ นางปิดหน้าต่างจากในบ้านและใช้ตู้บังหน้าต่างไว้ จากนั้นนางก็จุดไฟในบ้านและเผาร่างแม่กับตัวนางเองจนไม่เหลือซาก

ท่ามกลางเพลิงไฟ ผู้หญิงคนนั้นมองดูเปลวไฟร้อนระอุรอบตัวพลางคิดว่าลูกสาววัยห้าขวบของนางจะเจ็บปวดเช่นนี้หรือเปล่า สุดท้ายนางก็หลับตาลงช้า ๆ

‘ลูกจ๋า แม่มาหาลูกแล้ว…’

……

ณ ลานบ้านของบ้านตระกูลเจียงในเวลานี้ เจียงอีหนิวกับท่านปู่เจียงไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากกำลังเฝ้าดูเรื่องสนุกอยู่อย่างนั้น

เด็กเป็นไข้ตัวร้อนแต่บอกว่าเด็กโดนของ ทั้งยังยืดเยื้อเป็นเวลานานขนาดนี้ เมื่อสักครู่แม่เฒ่ากัวก็ก่นด่าอยู่ว่าเพราะยืดเยื้อเป็นเวลานาน จึงอาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อตัวเด็กในภายหลัง  นอกจากนี้ ยังกล่าวหาว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งหายจากโรคปัญญาอ่อนเป็นผีร้าย แล้วยังใช้เลือดหมาดำสาดใส่นางอีกต่างหาก

ช่างเป็นอะไรที่วุ่นวายจริง ๆ

เป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริง ๆ ว่าคนเรานั้น ถ้าหากไม่ใช่ลูกหลานแท้ ๆ ก็จะปฏิบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง

โจซื่อกับหลีโผจื่ออับอายจนไม่กล้าออกมาโดยให้ข้ออ้างว่าต้องดูแลเจียงโหย่วฉาย แต่ความเป็นจริงคือพวกนางตั้งใจหลบหน้าอยู่ในบ้านต่างหาก

ฉวนหลี่เจิ้งมองท่านปู่เจียงอย่างมีความหมายแฝง “น้องเจียง เป็นมนุษย์ต้องหัดรู้จักใจกว้างหน่อย อย่าลืมว่าเจ้าเอาที่ดินสิบไร่ของบ้านเขาไปนะ”

เมื่อฉวนหลี่เจิ้งพูดถึงตรงนี้ ท่านปู่เจียงก็หน้าแดง เขารีบพยักหน้าทันที

ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้ก็ใกล้ถึงเวลาที่จะเอาม่านลงแล้ว ฉวนหลี่เจิ้งเองก็ตั้งใจจะไปเดินย่อยต่อเช่นกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ ๆ เจียงป่าวชิงจะรีบเดินมาตรงหน้าฉวนหลี่เจิ้งอย่างกะทันหัน จากนั้นนางก็คุกเข่าและพูดขึ้น

“ท่านปู่หลี่เจิ้งเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะพูดเจ้าค่ะ”