ตอนที่ 51 ออกไปใช้ชีวิตโดยลำพัง

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 51 ออกไปใช้ชีวิตโดยลำพัง

ฉวนหลี่เจิ้งมองเจียงป่าวชิงอย่างแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปยิ้มให้ท่านปู่เจียงที่อยู่ด้านข้าง และพูดขึ้นอย่างอดทนว่า “ป่าวชิง เจ้ามีอะไรจะพูดรึ ?”

เจียงป่าวชิงเงยหน้าขึ้น

แดดในตอนเที่ยงวันกำลังร้อนได้ที่ แสงสีส้มสาดส่องลงมากระทบใบหน้าของเจียงป่าวชิง แม้ว่านางจะเช็ดหน้าไปบ้างแล้ว แต่บนใบหน้าของนางยังคงมีคราบเลือดหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก และเนื่องจากเส้นผมที่เปื้อนด้วยเลือดหมาดำที่เหนียวเหนอะหนะแนบไปกับใบหน้า ตอนนี้นางจึงดูน่ากลัวอยู่พอสมควร

ทว่าดวงตาของเด็กผู้หญิงตัวเล็กกลับเป็นประกายจนทำให้คนอื่น ๆ ต้องตกใจเล็กน้อย นางมองฉวนหลี่เจิ้งและโน้มศีรษะลง “ท่านปู่หลี่เจิ้ง ข้ารู้ว่าท่านยุติธรรมและมีเหตุผลมาตลอด วันนี้ข้าจึงอยากขอร้องให้ท่านช่วยให้ข้ากับพี่ชายข้าออกไปจากตระกูลเจียง เพื่อที่เราจะได้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเองเจ้าค่ะ”

เมื่อพูดออกไปเช่นนี้ เดิมทีชาวบ้านที่กำลังจะแยกย้ายกันไปก็ตกใจ ทุกคนถึงกับต้องหันมามองเลยทีเดียว

เจียงหยุนชานก็รีบคุกเข่าลงข้างน้องสาวเช่นกัน จากนั้นเขาก็โน้มศีรษะให้ฉวนหลี่เจิ้งอย่างแน่วแน่ “ท่านปู่หลี่เจิ้ง ข้ากับน้องอยากไปจากตระกูลเจียง เพื่อที่เราจะได้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเองจริง ๆ ขอรับ”

จู่ ๆ ด้านข้างก็มีคนพูดเตือนเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานอย่างอดไม่ได้ “อายุยังน้อยคงไม่รู้ว่าโลกภายนอกนั้นลำบากแค่ไหน ตอนนี้ในบ้านยังมีผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยพวกเจ้าได้อยู่ แม้ว่าจะเป็นทุกข์ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเจ้าก็จะไม่อดตายนะ ถ้าพวกเจ้าแยกออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไม่แน่พวกเจ้าก็อาจจะต้องร้องไห้กลับมาในภายหลังก็ได้”

“ใช่ ก่อนหน้านี้เด็กจากตระกูลเจียวในหมู่บ้านก็สูญเสียพ่อแม่ไป แต่เขากลับไม่ยอมไปอยู่กับอาและลุงของเขา สุดท้ายเขาก็อยู่ไม่พ้นฤดูหนาวในปีนั้น พอถึงฤดูใบไม้ผลิถึงจะมีคนไปพบศพของเขา น่าสงสารมากเลยเชียว”

“ใช่แล้ว ป้าหงที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ ก็ด้วย นางต้องการยืนด้วยลำแข้งตัวเอง สุดท้ายเขาเล่ากันมาว่านางลื่นล้มหัวฟาดกับเตียงอิฐและจากไปตั้งแต่คืนนั้น ตอนเช้ามีเด็กที่อยู่บ้านข้าง ๆ จะแวะไปคุยกับนางแต่กลับเห็นเลือดนองเต็มพื้น เด็กคนนั้นตกใจมาก ต่อมาเขาก็ป่วยและพูดเพ้อเจ้ออยู่อย่างนั้น… บรึ๋ย! น่ากลัวจริง ๆ”

“ใช่ ๆ หยุนชาน เจ้ายังต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในอำเภออีกไม่ใช่รึ ? ถึงตอนนั้นน้องสาวเจ้าต้องอยู่เพียงลำพัง เจ้าไม่เป็นห่วงนางหรืออย่างไร ?”

ชาวบ้านพากันพูดเตือนเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานยกใหญ่

เจียงหยุนชานแหงนหน้าที่อ่อนวัยของเขาขึ้นมา ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะไม่ได้ดังอะไร แต่มันกลับแน่วแน่มาก “ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปเรียนหนังสือในอำเภอ แต่จะเรียนเองที่บ้านขอรับ คงจะไม่มีปัญหาอะไร และข้าสามารถดูแลน้องสาวตัวเองได้เป็นอย่างดีขอรับ”

เจียงป่าวชิงเหลือบมองเจียงหยุนชาน นางไม่คิดว่าเจียงหยุนชานจะเสียสละสิ่งนี้เพื่อนาง นางรู้ว่าเจียงหยุนชานรักการเรียนมากเพียงใด หากไม่มีความรักหนังสืออยู่ในใจก็จะไม่สามรถรักษาความรู้สึกที่ต้องเรียนหนังสืออย่างหนักแบบนั้นไว้ได้ แต่ดูตอนนี้สิ เขากลับยอมทิ้งโอกาสที่จะได้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในอำเภอไปทั้งอย่างนั้น…

เจียงป่าวชิงไม่ได้โต้แย้งคำพูดของเจียงหยุนชานต่อหน้าผู้คน นี่เป็นเรื่องของพวกเขาสองพี่น้อง ซึ่งนางค่อยไปพูดโน้มน้าวเจียงหยุนชานเป็นการส่วนตัวอีกครั้งเอาก็ได้

ในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องออกจากบ้านของท่านปู่เจียงกันให้ได้ก่อน

ฉวนหลี่เจิ้งไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้น เขามองท่านปู่เจียงที่มีสีหน้าไม่สู้ดีเล็กน้อย และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ปล่อยให้ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ พูดเตือนสองพี่น้องอยู่อย่างนั้น แต่ตัวเขากลับไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ

จนกระทั่งเจียงหยุนชานบอกว่าจะไม่ไปเรียนหนังสือในอำเภออีก เขาถึงจะเงยหน้าขึ้นและสังเกตสองพี่น้องที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาเล็กน้อย

ผ่านไปสักครู่ ฉวนหลี่เจิ้งถึงจะพูดขึ้น “ตอนนั้นเป็นคนในวงศ์ตระกูลเจียงที่ตัดสินใจอนุญาตให้ตระกูลเจียงรับพวกเจ้ามาเลี้ยงดู ข้าที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องนี้ แต่สามารถช่วยรับฟังในฐานะพยานได้”

ท่านปู่เจียงทนแล้วทนอีก จากนั้นเขาถึงจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ “พี่ฉวน ข้าว่าพี่ไม่ต้องไปรบกวนคนในวงศ์ตระกูลหรอก… ตอนที่เด็กสองคนนี้เข้ามาที่บ้านข้า พวกเขาเพิ่งจะอายุหกขวบเอง ทำอะไรกันไม่เป็น ยังไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ นี่กว่าจะโตมาก็ไม่ง่ายเลย ตอนนี้ก็ช่วยเหลือครอบครัวได้แล้ว ถ้าบอกว่าจะแยกออกไปเช่นนั้น… คงไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับบ้านไหนใช่ไหมเล่า ?”

ฉวนหลี่เจิ้งยื่นมือออกไปเพื่อหยุดการกระทำของท่านปู่เจียง “น้องเจียง พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ข้าว่าให้ข้าไปพูดกับคนในวงศ์ตระกูลเจ้านั่นแหละดีแล้ว เรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลของพวกเจ้า ข้าผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านแทรกมือเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้ และถึงเจ้าจะบอกข้า มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดีนั่นแหละ”

ท่านปู่เจียงหุบปากด้วยความแค้นใจ

เจียงอีหนิวมองท่านปู่เจียงอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย “ท่านพ่อ…”

ท่านปู่เจียงทำหน้าขรึม เขาพูดเพียงว่า “ค่อยไปพูดกันที่บ้าน”

เจียงป่าวชิงที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น สายตาของนางแน่วแน่มาก “จะดีมากหากทุกอย่างราบรื่นไปได้ด้วยดี ข้าจำได้ว่าหมู่บ้านเรากับหมู่บ้านข้าง ๆ มีผู้อาวุโสในตระกูลที่น่านับถือหลายคนอาศัยอยู่ อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกล เช่นนั้นก็เชิญพวกเขามาคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เถอะเจ้าค่ะ”

ฉวนหลี่เจิ้งได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าทันที “ได้ เพื่อเป็นการไม่ยืดเยื้อและป้องกันการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้”

ฉวนหลี่เจิ้งพูดถึงขนาดนี้แล้ว ท่านปู่เจียงกับเจียงอีหนิวจึงคัดค้านอะไรไม่ได้ พวกเขาตีหน้าขรึมและหาคนเพื่อไปเชิญพวกผู้อาวุโสในตระกูลให้มาที่นี่

อันที่จริงท่านปู่เจียงกับพวกปู่ของเจียงป่าวชิงและเจียงหยุนชานก็ถือได้ว่าเป็นสายเลือดที่แตกสายออกมาจากตระกูลเจียง ซึ่งค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสายหลัก และโดยปกติก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว อย่างน้อยในความทรงจำของเจียงป่าวชิง นางกับพี่ชายอยู่ที่ตระกูลเจียงมาหลายปี ทว่าก็ไม่เคยเห็นคนในวงศ์ตระกูลมาเยี่ยมพวกเขาเลยสักคน

เนื่องจากกว่าพวกผู้อาวุโสในตระกูลจะมาถึงที่นี่ก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร ท่านปู่เจียงจึงเชิญฉวนหลี่เจิ้งเข้าไปดื่มชาในห้องใหญ่ ส่วนเจียงป่าวชิงก็กลับไปชำระร่างกายที่ห้อง และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่

ถึงแม้ว่าการที่ตัวเปื้อนไปด้วยเลือดหมาดำตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเช่นนี้จะมีแรงโน้มน้าวจิตใจมากอยู่พอสมควร แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว เจียงป่าวชิงจึงไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองเปื้อนเลือดต่อไป แต่เลือกที่จะทิ้งร่องรอยไว้แทน

ซุนต้าหูที่อยู่ด้านข้างพูดกับเจียงหยุนชานเสียงเบา “หยุนชาน ข้ากับเจ้าเราเล่นกันมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลอะไร หากว่าเจ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกข้าได้เลย”

เจียงหยุนชานพยักหน้าอย่างซึ้งใจ เขาพูดขอบคุณซุนต้าหูด้วยความจริงใจ “พี่ต้าหู วันนี้โชคดีที่ได้พี่ไปเชิญแม่เฒ่ากัวมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นตอนหลังก็คงจะไม่สามารถลบล้างความสงสัยของทุกคนที่มีต่อเจียงป่าวชิงได้ง่ายขนาดนั้นอย่างแน่นอน”

ซุนต้าหูได้ยินว่าตนเองช่วยเจียงป่าวชิงไว้ได้ เขาก็เกาศีรษะอย่างเก้อเขิน จากนั้นก็ยิ้มอย่างไร้เดียงสา “อืม… แค่ช่วยนางได้ ข้าก็ดีใจแล้ว”

ทางฝั่งเจียงอีหนิว เขาเข้าไปในห้องที่เจียงโหย่วฉายรักษาตัวอยู่ เขาดึงม่านให้หล่นลงมาบังไว้

หลีโผจื่อมองเจียงอีหนิว “ทำอะไรของเจ้า ถ้าพี่ฉายตกใจจะทำอย่างไรเล่า ?!”

แท้ที่จริงพิษจากยาที่เจียงโหย่วฉายเคยกินยังหลงเหลืออยู่จากครั้งที่แล้ว มันยังคงหายไม่หมด ในร่างกายของเขาจึงร้อนอบอ้าวและอ่อนแอเกินไปจนทำให้เขาเป็นไข้หวัด จากนั้นก็ก่อให้เกิดไข้สูงอย่างต่อเนื่อง

เดิมทีเพียงแค่ให้แม่เฒ่ากัวมาดูอาการและกินยาลดไข้ ไม่แน่เขาก็อาจจะหายแล้วก็ได้ แต่หลีโผจื่อกับโจซื่อกลับคิดว่าแม่เฒ่ากัวเป็นนักต้มตุ๋นไร้ความสามารถ กลับไปเชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยให้มาขับไล่สิ่งชั่วร้ายแทน สุดท้าย ก็ยืดเยื้อเวลาไปตั้งครึ่งวัน ปล่อยให้เจียงโหย่วฉายนอนซมพูดเพ้อเจ้อด้วยสติที่เลอะเลือนทั้งอย่างนั้น

แม้แต่แม่เฒ่ากัวเองก็ยังบอกว่าไม่รู้ว่าต่อไปเจียงโหย่วฉายจะหลงเหลือโรคเรื้อรังอะไรไว้หรือไม่ ซึ่งตอนนี้หลีโผจื่อกับโจซื่อก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจเช่นกัน

เจียงอีหนิวพูดอย่างใช้อารมณ์ “ท่านแม่ เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานบอกว่าจะแยกไปอยู่โดยลำพัง”

หลีโผจื่อตะลึงไปเล็กน้อย นางก่นด่ายกใหญ่ ซึ่งปฏิกิริยาของนางนั้นพอ ๆ กับท่านปู่เจียง “ไอ้หมาป่าตาขาวสองตัวนี้นะ! คิดว่าเลี้ยงพวกมันมาง่ายมากหรืออย่างไร  พอก้นแตะพื้นได้หน่อยก็คิดจะออกไปอยู่กันเอง ถุย!”

ถึงแม้ว่าโจซื่อจะเป็นห่วงเจียงโหย่วฉายในใจ แต่เมื่อนางเจอเรื่องนี้ นางกลับคิดมากกว่าคนอื่น ๆ เสียอีก นางดึงแขนของหลีโผจื่อเพื่อบอกให้หลีโผจื่อเบาเสียงลงหน่อยจะได้ไม่รบกวนเจียงโหย่วฉาย จากนั้นนางก็พูดขึ้นเสียงเบา “แต่ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องดีนะท่านแม่”

หลีโผจื่อเห็นลูกสะใภ้กล้าค้านตัวเอง นางก็พ่นลมหายใจยาว ขณะที่กำลังจะด่าลูกสะใภ้ นางกลับได้ยินโจซื่อพูดขึ้นมาเสียงเบาเสียก่อน

“พวกท่านลองคิดดู ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว อีกอย่าง แม้ตอนนี้จะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเจียงป่าวชิงมีผีน้ำสิงอยู่จริงหรือไม่ แต่ข้ากลับคิดว่านางเป็นตัวกาลกิณีไปเสียแล้ว และถ้าให้นางอยู่ในบ้านต่อไปแล้วนางมาขัดขวางพี่ฉายของเราล่ะจะทำอย่างไร ?  ข้าคิดดูแล้ว ถึงแม้ว่าพี่ฉายจะป่วยเป็นไข้ตัวร้อนธรรมดา แต่มันแปลกมาก  เมื่อก่อนบ้านเราเลี้ยงพี่ฉายมาตั้งหลายปี พี่ฉายเคยป่วยบ่อยแบบนี้เสียที่ไหนกัน ?”