ตอนที่ 42 พี่ชายของฉินหร่าน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หนิงฉิงยังยิ้มอยู่ตอนที่พูดประโยคก่อนหน้า แต่ประโยคเมื่อครู่ทำให้เธอหุบยิ้มทันที เธอพูดรับรอง “เดี๋ยวแม่จัดการเอง ไม่ต้องห่วงนะ” 

 

 

หลังได้ยินคำพูดของหนิงฉิง ฉินอวี่ก็ยิ้มเยือกเย็น 

 

 

เธอก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป 

 

 

เมื่อเห็นท่าทางของหนิงฉิงแล้วก็เห็นได้ชัดว่าเธอคงไม่อยากพูดเรื่องนี้บนโต๊ะอาหารเย็น 

 

 

หลังมื้อเย็น ฉินอวี่จับตามองความเคลื่อนไหวของหนิงฉิงและเห็นเธอผละออกไปโทรหาใครบางคนข้างนอก หลังจากครุ่นคิดสักพัก ฉินอวี่ก็ตามเธอไป 

 

 

หนิงฉิงโทรหาฉินหร่านสองครั้ง แต่เธอไม่รับ เธอขมวดคิ้วและโทรไปเป็นครั้งที่สาม 

 

 

ในที่สุดฉินหร่านก็รับสาย เสียงเธอจริงจังและสั้นห้วน “มีอะไร” 

 

 

“แกมีประชุมผู้ปกครองวันเสาร์นี้ใช่ไหม” หนิงฉิงพูดพลางนวดขมับของตัวเอง “ฉันจะไปเป็นผู้ปกครองอวี่เอ๋อร์ โทรเรียกป้าแกให้มาเป็นผู้ปกครองของแกก็แล้วกัน” 

 

 

การประชุมของผู้ปกครองและครูนั้นเกี่ยวกับผลการเรียนและความประพฤติของนักเรียน หนิงฉิงไปเป็นผู้ปกครองของฉินอวี่หลายครั้ง ในการประชุมทุกคนจะอยู่ในชั้นเดียวกัน หลี่ไอ้หรงถึงขั้นพูดชื่อพ่อแม่ที่ลูกมีผลการเรียนแย่ 

 

 

เธอไม่ได้พูดแบบจริงจังอะไรและตำหนิเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในโลกของผู้ใหญ่แล้วมันถือเป็นเรื่องน่าอับอาย 

 

 

เมื่อคิดถึงความประพฤติและผลการเรียนของฉินหร่านแล้ว หนิงฉิงไม่อยากไปร่วมประชุมผู้ปกครองของเธอแน่ 

 

 

เธอก็เป็นแม่ของฉินอวี่เหมือนกัน ฉินอวี่วางตัวดีที่โรงเรียนและเป็นคนดัง เมื่อเธอเดินกับฉินอวี่ เธอมักจะได้ยินผู้คนพากันพูดว่าเธอเป็นแม่ของฉินอวี่หรือเปล่า 

 

 

ทุกครั้งที่เธอเข้าร่วมประชุมผู้ปกครองของฉินอวี่ เธอมักได้รับความสนใจจากพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ 

 

 

ดังนั้นจากสองตัวเลือกนี้ หนิงฉิงก็ต้องเลือกฉินอวี่อยู่แล้ว 

 

 

ฉินอวี่ยืนอยู่ที่ประตู เมื่อได้ยินคำพูดทั้งหมด เธอก็กำมือแน่น ที่จริงแล้วเธออยากให้หลินฉีหรือหลินจิ่นเซวียนเข้าร่วมประชุมแทนหนิงฉิง 

 

 

แต่กลับกลายเป็นว่าหนิงฉิงไม่สนใจฉินหร่านเลยด้วยซ้ำ 

 

 

ฉินอวี่เศร้าใจ ในตอนนั้นเธอถึงขั้นคิดว่าฉินหร่านก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไร 

 

 

** 

 

 

ฉินหร่านวางสายจากหนิงฉิงอย่างสุดทน เธอได้ยินคำพูดและเสียงหัวเราะของแม่ 

 

 

ลูกๆ ทั้งสองของป้าก็อยู่ในโรงเรียนเดียวกันและลุงของเธอก็เข้าโรงพยาบาล ปกติป้ามักจะหาเวลาไปเยี่ยมยาย ฉินหร่านไม่คิดจะขอให้เธอมาเข้าร่วมงานประชุมผู้ปกครองแน่ 

 

 

เธอเดินไปที่ห้องเรียนพร้อมกระติกน้ำร้อนที่มีน้ำอยู่เต็ม ดวงตาของเธอหม่นหมองและใบหน้าดูเย็นชาราวกับมีไอเย็นแผ่อยู่รอบตัวเธอ 

 

 

สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกับผู้ที่มองและกระซิบกระซาบกันในเรื่องของเธอเลย 

 

 

ภายในไม่กี่วันที่มาโรงเรียน มู่หยิงก็รู้ถึงกิตติศัพท์ความโด่งดังของฉินหร่าน ไม่ว่าจะจากโพสต์บน เว็บบอร์ดของโรงเรียนหรือตามท้องถนนก็มีแต่คนพูดเรื่องฉินหร่าน ต่างจากฉินอวี่ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก 

 

 

ช่วงนี้ผู้คนต่างพากันพูดถึงเรื่องกระดานข่าวปริศนาเป็นพิเศษ 

 

 

ถึงยังไงฉินหร่านก็เป็นนักเรียนใหม่และหน้าตาก็สะสวยกว่าฉินอวี่ แม้ฉินอวี่จะหน้าตาดีมาก แต่ทุกคนก็เห็นเธอมาสองปีจนเบื่อ โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้พวกเขามีหน้าตาของฉินหร่านมาให้เปรียบเทียบได้ 

 

 

มู่หยิงเป็นรุ่นน้องและอยู่ในระหว่างการฝึกทหาร หลังกินมื้อเย็นเสร็จ เธอก็เข้าฝึกต่อ งานในชั้นเรียนวันนี้คือทำความสะอาดสนามเด็กเล่น 

 

 

คนกลุ่มหนึ่งเดินอยู่บนถนนและบังเอิญมองเห็นฉินหร่าน 

 

 

“มู่หยิง ดูสิ ญาติที่เป็นดาวโรงเรียนของเธอนี่” หลี่อวี้หานดึงแขนมู่หยิงและกระซิบด้วยความตื่นเต้น 

 

 

เมื่อมู่หยิงเงยหน้าขึ้น เธอก็มองเห็นฉินหร่านจริงๆ เธอจึงโบกมือและตะโกนเรียกทันที “พี่คะ!” 

 

 

หลังจากคุยโทรศัพท์กับหนิงฉิง ฉินหร่านก็อารมณ์ไม่ดี มู่หยิงตะโกนเรียกเธออยู่ไม่ไกลนัก เธอเงยหน้าขึ้นมองและสีหน้าดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย 

 

 

เธอค่อยๆ พยักหน้าและมองไป “เรียนเป็นยังไงบ้างล่ะ” 

 

 

“เพื่อนร่วมชั้นของฉันดีมากเลย” มู่หยิงยิ้มไปพูดไป เธอมองกระติกในมือของฉินหร่าน ฝากระติกนั้นประดับเพชรแวววาวอยู่รอบๆ อย่างประณีตและงดงาม 

 

 

เธออดใจมองมันอีกครั้งไม่ได้ 

 

 

ฉินหร่านพยักหน้า เพราะเธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สิ่งที่เธอเห็นนั้นจึงแจ่มชัดขึ้น 

 

 

“ฉินหร่าน รอด้วยสิ” ไม่ไกลจากจุดนั้น เฉียวเซิงถือลูกบาสเกตบอลวิ่งเข้ามา เขาตรงมาหาฉินหร่านพร้อมดึงชายเสื้อมาเช็ดเหงื่อ 

 

 

กล้ามหน้าท้องของเขาชัดเจนเพราะเขาชอบเล่นบาสเกตบอล 

 

 

เขาหล่อและทุกคนในโรงเรียนรู้ดีว่าเขาเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลเศรษฐี ผู้คนเริ่มจับจ้องกันมากขึ้น และมู่หยิงยังได้ยินคนพูดว่า “ฉินหร่าน” และ “เฉียวเซิง” อยู่ด้วยกัน 

 

 

มู่หยิงรู้ดีว่าเฉียวเซิงเป็นใคร เธอจึงอดจ้องเขาไม่ได้ เขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างหน้าตาดีจริงๆ 

 

 

“เอาโค้กมาให้ฉันแก้วนึงสิ” เฉียวเซิงสั่งรุ่นน้องและหันมาถามฉินหร่าน “เธอจะเอาอะไร” 

 

 

ฉินหร่านส่ายหน้า 

 

 

“โอเค” เฉียวเซิงถือลูกบาสเกตบอลและถามมู่หยิง “พวกเธอรู้จักกันเหรอ” 

 

 

“ใช่ เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องฉันเอง” ฉินหร่านล้วงกระเป๋าและมองไปที่มู่หยิง เธอพูดอย่างเฉื่อยชาและวางท่านิดๆ “ฉันต้องไปแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรก็มาหาฉันที่ห้องสามทับเก้านะ” 

 

 

“ใช่ น้อง มาหาพี่ด้วยก็ได้นะ” เฉียวเซิงถือลูกบาสเกตบอลเดินตามฉินหร่านไป เขายิ้มให้มู่หยิงก่อนจะรีบตามฉินหร่านไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

เขาไม่รำคาญเลยสักนิดที่ฉินหร่านเมินเขา 

 

 

เฉียวเซิงกับฉินหร่านสนิทกันอย่างคาดไม่ถึง เขาดูสนิทสนมกับเธอมากกว่าฉินอวี่เสียอีก 

 

 

“มู่หยิง ญาติเธอเป็นดาวโรงเรียนเหรอ” ผู้ชายในชั้นเดียวกันกับมู่หยิงมองเธอด้วยความประหลาดใจ 

 

 

เด็กผู้หญิงในชั้นเดียวกันกับมู่หยิงก็มองเธอด้วยความอิจฉาและเธอก็ถูกผู้คนรายล้อมอย่างรวดเร็ว 

 

 

มู่หยิงจำโลโก้บนกระติกน้ำของฉินหร่านได้ เมื่อเธอเก็บขยะที่สนามเด็กเล่นเสร็จ เธอก็รีบหยิบมือถือออกมาค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต กระติกน้ำที่สวยมากนี้เป็นของแบรนด์ราคาแพง 

 

 

เธอหาแบบที่ฉินหร่านมีไม่เจอ แต่เธอเห็นว่าราคาอย่างต่ำของกระติกน้ำยี่ห้อนี้อยู่ที่สี่หยวน 

 

 

มันเกือบเท่าเงินเดือนของหนิงเวยทั้งเดือน 

 

 

ได้ยินมาว่าตระกูลหลินไม่ชอบพี่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกนั้นถึงซื้อกระติกน้ำราคาแพงให้เธอล่ะ 

 

 

** 

 

 

ในซอยเงียบๆ ข้างโรงเรียน 

 

 

เฟิงฉือมองหญิงสาวที่อยู่ตรงข้ามและย่นคิ้ว “ทำไมเธอไม่ย้ายออกมาจากตระกูลเฟิงล่ะ” 

 

 

พานหมิงเย่ว์ก้มหัวลงแล้วพูดเสียงเบา “ฉันอยากตั้งใจเรียนในปีสุดท้าย” 

 

 

“ตั้งใจเรียนเหรอ” เฟิงฉือเลิกคิ้ว “ไม่ต้องมาพูดเอาใจฉัน เข้าใจไหม” 

 

 

พานหมิงเย่ว์เงยหน้ามองเขาก่อนเดินออกไป 

 

 

เขากระชากข้อมือเธอก่อนโอบกอดไว้ ชายคนนั้นพิงไหล่ของเธอพักไว้อย่างนั้น “เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน แต่เธอก็ยังเย็นชากับฉันมาก” 

 

 

“ปีสุดท้าย…” พานหมิงเย่ว์อ้าปากพูด 

 

 

เฟิงฉือขัดเธอ “เธออยากตั้งใจเรียนใช่ไหม ผลการเรียนเธอก็ดีพอจะเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งได้แล้วนี่” 

 

 

พานหมิงเย่ว์ถอนหายใจ “พี่เฟิง ฉันไม่ได้ฉลาดขนาดนั้นหรอกนะ” 

 

 

ไม่ไกลจากตรงนั้นมีเสียงของนักเรียนกำลังพูดคุยกัน พานหมิงเย่ว์เป็นนักเรียนชั้นแนวหน้าและค่อนข้างมีชื่อเสียง เฟิงฉือปล่อยเธออย่างไม่เต็มใจนัก 

 

 

“เธอเป็นอะไรกับพ่อของฉัน” เฟิงฉือจ้องเธอและหยิกแก้มเธอ “อย่าบอกนะว่าเธอเป็นลูกนอกสมรสของพ่อฉันจริงๆ” 

 

 

พานหมิงเย่ว์แทบไม่เคยพูดถึงพ่อแม่ของตัวเองเลย เฟิงฉือเคยสืบเรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้อะไรราวกับว่ามีใครบางคนจงใจปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ 

 

 

พานหมิงเย่ว์อยากพูดเรื่องการประชุมผู้ปกครองและครู แต่พอถูกถามเช่นนี้ เธอก็กลืนคำพูดลงคอ ก้มหน้าและดวงตาฉายแววเศร้า 

 

 

** 

 

 

การประชุมผู้ปกครองในวันเสาร์ 

 

 

นักเรียนก็ต้องเข้าร่วมการประชุมด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังยืนอยู่กันตรงทางเดิน ไม่ก็หลังห้องเรียน ผู้ปกครองนั่งบนโต๊ะที่นักเรียนนั่งเรียนในห้อง 

 

 

วันนี้หนิงฉิงใส่ชุดเข้ากันที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุดและจูงฉินอวี่ลงจากรถ 

 

 

รถบีเอ็มดับเบิลยูดูไม่ค่อยโดดเด่นนักเมื่อจอดอยู่หลังรถคาเยนน์ 

 

 

นักเรียนปีสุดท้ายกับผู้ปกครองอยู่กันเต็มโรงเรียน 

 

 

หนิงฉิงรักษากิริยาของตนเอง 

 

 

เธอเคยเข้าร่วมการประชุมผู้ปกครองของฉินอวี่เช่นนี้ปีละครั้ง และทุกครั้งที่เธอพาฉินอวี่มาที่โรงเรียน เธอจะได้รับความสนใจมากมาย 

 

 

เธอเดินเข้าประตูโรงเรียนพร้อมฉินอวี่ ทันทีที่เธอยิ้ม เธอก็ได้ยินเสียงดังขึ้นไม่ไกลจากด้านหลัง “โธ่ พ่อแม่ของฉินหร่านไม่มา แม่ครับ ผมอยากพาแม่ไปดูพ่อภรรยาหรือแม่ภรรยาในอนาคตจริงๆ!” 

 

 

“พ่อคะ ฉินหร่านเป็นดาวโรงเรียนที่หนูเคยเล่าให้ฟังไง แล้วเดี๋ยวพ่อไปดูกระดานข่าวห้องสามทับเก้านะคะ เขาเจอคนวาดแล้วด้วยนะ!” 

 

 

จากนั้นฝูงชนก็ออกันเนืองแน่นและนักเรียนอีกคนก็ผลักหนิงฉิงให้หลบไปด้านข้างพร้อมกับถือโทรศัพท์และตะโกนอย่างตื่นเต้น “นี่พี่ชายของฉินหร่านจริงๆ เหรอ พี่ชายของเธอหน้าตาแบบนั้นเหรอ”