ตอนที่ 41 คุณเจวี้ยน เด็กดี

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ทั้งฉินอวี่และเฉียวเซิงแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ 

 

 

เฉียวเซิงเกาหัวและหัวเราะเบาๆ เว้นแต่เสียงของเขาดูแผ่วเล็กน้อย “เอ่อ อย่าล้อเล่นสิ” 

 

 

ฉินอวี่กำมือแน่น ส่วนตัวแล้วเธอไม่เชื่อเลยสักนิด แต่นี่มาจากปากของสวีเหยากวง คนอื่นอาจพูดเล่น แต่เขาจริงจังเสมอ 

 

 

ดวงตาของสวีเหยากวงแน่วแน่และท่าทางสงบ เขาเม้มปากและไม่ได้พูดอะไรออกมา 

 

 

ตอนนี้เฉียวเซิงเองก็พูดไม่ออก 

 

 

แม้แต่ฉินอวี่ยังรู้ว่าสวีเหยากวงไม่ใช่คนพูดเล่น ทำไมเขาจะไม่รู้ 

 

 

เขาซื้อนมถั่วเหลืองกล่องหนึ่งที่โรงอาหาร พอปักหลอดลงไปเสร็จก็พูดขึ้นว่า “เป็นเธอจริงๆ เหรอ” 

 

 

“จริงสิ” สวีเหยากวงถือชามโจ๊กด้วยท่าทางเย็นชา 

 

 

ณ ขณะนั้นเฉียวเซิงพูดอะไรไม่ออก ฉินอวี่ที่นั่งอยู่ข้างพวกเขาถูกเมินเป็นครั้งแรก ในหัวใจของเธอ เต็มไปด้วยความสับสนเป็นเท่าทวี 

 

 

จะเป็นฉินหร่านได้ยังไง 

 

 

จะเป็นเธอไปได้ยังไง! 

 

 

ตะเกียบใช้แล้วทิ้งในมือของฉินอวี่แทบจะหักงอ ฉินหร่านเป็นใครกันแน่ เรียนก็ไม่ได้เรื่อง แถมเธอยัง ไม่มีดีอะไรนอกจากการต่อสู้ 

 

 

เมื่อก่อนนอกจากไวโอลินแล้ว เธอแทบไม่เคยเข้าชมรมอื่น เธอมีบุคลิกแปลกๆ และไม่ค่อยมีใครอยากจะเล่นกับเธอด้วยซ้ำ 

 

 

เธอวาดรูปได้ยังไง แถมยังวาดรูปสวยอีก! 

 

 

ฉินอวี่มักจะรู้สึกว่าเธอถือไพ่เหนือกว่าฉินหร่านเพราะรู้เรื่องฉินหร่านทุกอย่าง แต่วันนี้ฉินอวี่ก็ได้รู้แล้วว่าหลังจากไม่ได้เจอฉินหร่านมาหลายปี เธอก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรของฉินหร่านเลย 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เธอก็ยิ่งกำตะเกียบในมือแน่นขึ้น 

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นและยิ้มแบบขอไปที “ฉันจะไปซ้อมไวโอลิน” 

 

 

“นายน้อยสวี ฉันจะไปหาฉินหร่าน” เฉียวเซิงผุดลุกขึ้นมาทันที 

 

 

สวีเหยากวงพยักหน้า ดวงตาของเขาเย็นชา “ได้สิ” 

 

 

** 

 

 

ฝูงชนเข้ามาออกันเนืองแน่นห้อง สามทับเก้าและหลินซือหรานก็ออกไปซื้ออาหารเช้า 

 

 

เฉียวเซิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของหลินซือหราน ฉินหร่านยังนอนหลับอยู่ เขาเอื้อมมือไปสะกิดแขนเธอและค่อยๆ หันไปพูดว่า “เธอเป็นคนวาดหรือเปล่า” 

 

 

“เฉียวเซิง” ฉินหร่านยังใส่ชุดนักเรียนอยู่ น้ำเสียงของเธอแหบต่ำเล็กน้อย “อย่าเสียงดังสิ” 

 

 

เธอดูไม่อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้ และเฉียวเซิงก็จำได้ว่าปกติเวลาคนในห้องเสียงดัง เธอมักจะขมวดคิ้ว ดังนั้นเขาจึงรูดซิปปากทันที 

 

 

ทันทีที่เขาหันไปก็มีคนเข้ามาในห้องมากขึ้น มันเสียงดังจอแจน่าปวดหัวไม่ต่างจากตลาดสดเลย 

 

 

เขาเตะโต๊ะตรงข้ามทางเดิน 

 

 

“เอี๊ยด—” 

 

 

เสียงดังและแรงมาก 

 

 

คนที่ออกันอยู่เงียบเสียงและเฉียวเซิงก็วางมือลงบนโต๊ะก่อนหันไปมองพวกนั้นด้วยหางตา “เงียบๆ หน่อย” 

 

 

เสียงของคนพวกนั้นจึงค่อยๆ เบาลง 

 

 

นี่เป็นเรื่องที่พวกนักเรียนรู้กันดีอยู่แล้วว่าอย่าไปกวนใจฉินหร่าน 

 

 

ฉินหร่านนอนลงสักพักและเสียงในหูก็เงียบหายไป เธอจึงเอาชุดนักเรียนคลุมหัวและสูดลมหายใจลึกๆ เธอนั่งบนเก้าอี้แล้วเอาเท้าพาดโต๊ะยันกำแพงไว้ 

 

 

“ภาพวาดพวกนั้น…” เฉียวเซิงมองเธอ 

 

 

เมื่อมองจากมุมนี้ เขาก็เห็นขนตายาวเป็นแพหนาของเธออย่างชัดเจน และเฉียวเซิงคิดในใจว่าสมแล้วที่นักเรียนพากันตั้งฉายาเธอว่า “สาวขนตางอน” 

 

 

“ฉันวาดเอง แต่อย่าพูดออกไปนะ” ฉินหร่านครุ่นคิดแล้วขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอเดาได้เลยว่าถ้าพวกนักเรียนรู้ เธอต้องถูกจ้องมองเหมือนลิงทุกวันไปอีกนานแน่ 

 

 

“… บ้าเอ๊ย” เฉียวเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดเสียงแข็ง “ทำไมเธอถึงวาดเหยียนซีล่ะ เธอชอบหมอนั่นเหรอ” 

 

 

“ใครจะชอบคนพรรค์นั้นกัน หลินซือหรานต่างหาก” ฉินหร่านกอดอกพิงกำแพง เธอดูรำคาญเสียงจอแจและดูหมดเรี่ยวแรง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เธอก็ยังดูสวย 

 

 

“ฉันเข้าใจแล้ว” เฉียวเซิงหัวเราะ 

 

 

นักเรียนในโรงเรียนอีจงเจ็ดในสิบเป็นแฟนคลับเหยียนซี 

 

 

นั่นเป็นครั้งแรกเหยียนซีถูกพูดถึงในฐานะ “คนพรรค์นั้น” 

 

 

** 

 

 

ยังไม่มีใครรู้ตัวคนวาดรูป ตามเว็บบอร์ดในเว่ยป๋อได้พูดคุยถึงเรื่องนี้อยู่สองวันติดโดยไม่มีใครรู้อะไร 

 

 

ไม่มีใครออกมาแสดงตัวว่าเป็นคนวาดและไม่มีใครรู้ว่าใครวาด 

 

 

แต่ชื่อเสียงของฉินหร่านก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย หลินซือหรานเป็นผู้รับผิดชอบกระดานข่าวและคนในห้องสามทับเก้าก็เห็นว่าช่วงสองวันมานี้หลินซือหรานดูเอาใจฉินหร่านเป็นพิเศษ 

 

 

ด้วยเหตุนี้เองความนิยมของฉินหร่านในห้องสามทับเก้าและในโรงเรียนก็พุ่งสูงขึ้นอีกเท่าตัว 

 

 

นอกจากทุกคนในชั้นม.สามจะรู้จักเธอ แม้แต่น้องใหม่ยังรู้จักดาวโรงเรียนในตำนานที่ชื่อฉินหร่าน พวกนั้นอยากเห็นเธอ แต่ไม่กล้ามาที่ตึกของชั้นม.สาม 

 

 

ฉินหร่านออกจากโรงเรียนตอนกลางวันพร้อมกับถือกระติกน้ำร้อนตรงไปยังห้องพยาบาลของโรงเรียน 

 

 

“เด็กสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมดนะ ถ้าเด็กผู้หญิงสนใจเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก แต่พวกเด็กผู้ชายก็เป็นไปด้วยเนี่ยนะ” ต่างหูของลู่จ้าวอิ่งสะท้อนแสง “คุณเจวี้ยน เดี๋ยวนี้คุณมีเสน่ห์กับเด็กผู้ชายแล้วเหรอ” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเงียบ 

 

 

ร่างของหญิงสาวดูเพรียวระหงภายใต้แสงอาทิตย์ และเด็กพวกชายเรียกเธอให้หยุดเพื่อยื่นซองจดหมายสีชมพูให้ 

 

 

หญิงสาวรับมันมาอย่างสุภาพ เด็กผู้ชายไม่ได้เดินออกไป แต่ยืนมองตามหลังฉินหร่านอยู่หน้าห้องพยาบาล 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งระเบิดหัวเราะและพูดว่า “อ๋อ จดหมายของฉินหร่านนี่เอง ในที่สุดผมก็เจอคนที่สู้คุณได้แล้ว” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

เขาสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงลำลองที่รับกับขายาวๆ ของเขา มันเป็นรูปทรงที่เซ็กซี่มาก เขามีดวงตาสีดำและขาวคู่หนึ่งและมุมปากของเขาก็เหยียดอย่างเย็นชา 

 

 

ฉินหร่านวางข้าวของก่อนตรงเข้าไปในครัว 

 

 

เธอเห็นลู่จ้าวอิ่งจ้องอยู่เลยชะงัก “มีอะไร” 

 

 

คุณเจวี้ยนถอนสายตาและดูกระสับกระส่าย “ปีสุดท้ายสำคัญมากนะ ฉันว่าการเรียนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรเสียสมาธิไปกับเรื่องอื่น” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง: “…?” 

 

 

ฉินหร่านพยักหน้านิ่งๆ “ขอบคุณ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” 

 

 

คุณเจวี้ยนรู้สึกประหลาดใจที่เธอเชื่อฟัง 

 

 

ฉินหร่านกลับเข้ามา 

 

 

ยังมีผู้คนอยู่ด้านนอกและคุณเจวี้ยนก็เอนหลังพิงโซฟาอย่างสบายๆ “ลู่จ้าวอิ่ง ปิดประตูซิ” 

 

 

** 

 

 

ตระกูลหลิน 

 

 

ฉินอวี่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะอาหารเย็น 

 

 

หนิงฉิงดูดีใจอย่างออกนอกหน้าเมื่อเธอกระซิบว่า “ได้ข่าวว่าคุณนายเฟิงชอบลูกมากเลยใช่ไหม” 

 

 

“ค่ะ” ในตอนนั้นอารมณ์ของฉินอวี่ดูดีและสดใสขึ้น 

 

 

ตาของหนิงฉิงเป็นประกายสดใสและเธอดูมีความสุขขึ้นมาก เธอตักเนื้อให้ฉินอวี่ “ดีกับคุณนายเฟิงไว้นะ เฟิงฉือน่ะ…” 

 

 

ตระกูลเฟิงมีอำนาจในอวิ๋นเฉิงและการทำความรู้จักกับพวกเขานั้นยากมาก 

 

 

หลังจากนานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่หลินหว่านปฏิบัติกับเธอดี 

 

 

หนิงฉิงมองฉินอวี่ด้วยดวงตาอ่อนโยน 

 

 

เธอพูดเสียงเบาให้ฉินอวี่ได้ยินเพียงคนเดียว 

 

 

“มีอะไรเหรอ” หลินหว่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เห็นว่าฉินอวี่อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน 

 

 

“วันเสาร์นี้มีประชุมผู้ปกครอง” ฉินอวี่หันไปและยิ้ม เธอไม่มีทางพูดเรื่องฉินหร่านวาดรูปสวยแน่ แต่มันทำให้เธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอพูดอย่างอึกอัก “เด็กชั้นม. 3 มีประชุมหมด พี่เองก็อยู่ม. 3 แม่คะ แม่ไปงานประชุมผู้ปกครองของพี่และให้พี่ชายหรือพ่อมาเป็นผู้ปกครองหนูได้ไหม”