หลิวปู้ที่ตระหนักได้ว่าตนไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว เขาก็กล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ “นายไปนั่งคนเดียวบนหลังกระบะ ส่วนเฉิงตงหางจะนั่งในรถ” จากนั้นก็แค่นเสียง “ถ้านายบอกว่าตัวเองไม่ได้พามาทางผิด งั้นก็ไปเผชิญกับอันตรายด้วยตัวเองแล้วกัน”
เขาไม่ห่วงแล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะกินแครกเกอร์หรือเปล่า แน่นอนว่าการมีชีวิตรอดสำคัญกว่าโดนเริ่นเสี่ยวซู่กินขนมไปบ้างอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็ไม่มีใครอยากตายข้างนอกนี่หรอก
เริ่นเสี่ยวซู่เมินเขา ก่อนจะเข้าไปตรวจสอบอาการของสูเซี่ย เขานำมือของสูเซี่ยออกจากท่าจับคอ ก่อนจะประหลาดใจที่เห็นเหล็กในยาวฝังอยู่ที่คอเขา เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ทันทีว่ามันคือ…แตน!
เขาหันหลังใส่คนอื่น พร้อมลอบดึงเหล็กในแตนออกมา เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าสูเซี่ยตายอย่างไร บรรยากาศในกลุ่มเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็น ‘คนนำทาง’ ได้นำทางให้พวกเขารู้จักกลัวความอันตรายของแดนรกร้างบ้างถือว่ามีแต่ประโยชน์ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้มองว่าตนเองเป็นคนดีอะไร จึงไม่จำเป็นต้องสาธยายทุกอย่างให้ทุกคนฟัง การมีชีวิตรอดของตัวเองสำคัญที่สุดแล้ว
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตราบใดสิ่งที่โจมตีมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตลึกลับ นับว่าดีถมเถแล้ว ว่าตามตรง ตอนนี้เขาเองก็ยังขวัญผวากับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่หายเลย
เริ่นเสี่ยวซู่อนุมานว่าน่าจะมีแตนตัวหนึ่งบินเข้าไปหลังกระบะแล้วไม่ได้ไปไหนต่อ พอสูเซี่ยปีนขึ้นไป แตนคงตกใจเลยต่อยเขาเข้า
แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเหล็กในของแตนจะร้ายแรงถึงชีวิตแบบนี้เพราะคอบวมเลยทำให้เกิดภาวะขาดอากาศหรือเปล่านะ ไม่สิ ไม่น่าเป็นแบบนั้นไปได้ ถ้าเขาขาดอากาศตายจริง ก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่สิบวิแน่นอน ดูเหมือนว่าสาเหตุการตายน่าจะเกิดจากพิษเหล็กในมากกว่า
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ยังเล็ก เขาเคยโดนแตนต่อยมาก่อน แต่ว่าแค่หน้าบวมไปหลายวัน ไม่ได้ร้ายแรงจนถึงชีวิต
แดนรกร้างนับวันยิ่งอันตราย
บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดขัดแย้งกันเอง ด้านหนึ่งก็โดนความลึกลับของแดนรกร้างดึงดูด อยากเรียนรู้ความลับของมันให้ได้ อีกด้านหนึ่ง ก็ทราบดีว่าความอยากรู้อยากเห็นนี้สามารถฆ่าเขาได้
มนุษย์มีหลายมิติในตัวตน ความคิดซับซ้อนยุ่งเหยิง สิ่งนี้ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์
เงามืดของความตายปกคลุมทั่วทั้งคณะ ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่ได้กลายเป็นผู้ที่ใจเย็นที่สุดในกลุ่มแล้ว สูเสี่ยนฉู่เข้ามาดูบาดแผล แต่ก็เห็นเพียงจุดแดงบนคอของสูเซี่ย ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่ก็กำลังสังเกตปฏิกิริยาของทุกคน เขาเห็นว่าหลังจากหยางเสียวจิ่นแสร้งเป็นตรวจสอบบาดแผลของสูเซี่ยแบบผ่านๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจทำ เธอก็ขมวดคิ้วมุ่น
มีแค่เริ่นเสี่ยวซู่ที่รู้ว่าสูเซี่ยตายภายใต้การต่อยของแตนที่กลายพันธุ์แล้วในแดนรกร้าง
มีคนกล่าว “พวกเราจะทำยังไงกับร่างของสูเซี่ย คงจะปล่อยเขาไว้ในแดนรกร้างไม่ได้หรอกใช่ไหม”
“พวกเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ” หลิวปู้ขมวดคิ้ว เขาวางแผนจะทิ้งร่างของสูเซี่ยไว้ที่นี่ เพราะจะให้ฝังก็ใช้เวลาไม่น้อย เขาไม่อยากอยู่ที่สถานที่ผีสางแบบนี้ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
ลั่วซินอวี่พูด “ขนศพของเขาขึ้นท้ายกระบะ ออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ แล้วค่อยหาจุดเหมาะๆ ฝัง”
ในฐานะหัวหน้าวง เกิดเธอทิ้งร่างของสูเซี่ยไว้ที่นี้ คนอื่นๆ จะมองเธออย่างไร ชื่อเสียงของเธอได้ด่างพร้อยแน่ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป
พอหลิวปู้ได้ยินเช่นนั้น ก็ตัดสินใจได้ทันที “เริ่นเสี่ยวซู่ ขนร่างของสูเซี่ยขึ้นท้ายกระบะ แล้วก็นั่งไปกับเขาซะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ได้ติดอะไร นี่ก็ไม่ได้กินแครกเกอร์มาตั้งวันหนึ่งแล้ว เขาคิดถึงพวกมันอยู่บ้าง
นั่งกับศพเขายิ่งไม่ติดเลย ตอนที่หมาป่าโจมจู่โรงงานก็มีศพทับถมเป็นกอง เขายังไม่กลัวเลย
ผู้คนในป้อมปราการหวาดหวั่นต่อความตาย แต่เริ่นเสี่ยวซู่มีแต่ความเคารพในความเป็นตาย หาใช่ความกลัวไม่
ทั้งคณะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ท้ายกระบะ กินแครกเกอร์ไปพลาง ดื่มน้ำไปพลาง แล้วก็คุยพึมพำกับสูเซี่ยไปพลาง “ทำไมจู่ๆ พวกนายต้องออกมาด้วยเนี่ยหา ดูดิ ตายเลยเห็นมะ”
“นี่ ในป้อมหน้าตาเป็นยังไงเหรอ พวกเราที่อยู่ด้านนอกจะหิวตายกันหมดแล้ว แต่พวกนายยังมีหน้ามามีอารมณ์สุนทรีย์ฟังเพลงแถมเลี้ยงดาราอีกเนอะ”
“พวกหมูก็ถูกส่งเข้าป้อมไปให้พวกนายหมดกินอย่างอิ่มหนำ ส่วนพวกเรากินไม่ได้สักกระผีก”
เริ่นเสี่ยวซู่เบื่อจัดไม่มีอะไรทำก็ว่ากันไป แต่สองหนุ่มคนขับกับเพื่อนที่นั่งข้างกันไม่ได้คิดแบบนั้น ระหว่างทางก็ได้ยินเสียงเริ่นเสี่ยวซู่รางๆ ทำเอาคนขับรถขนหัวลุกซู่ รีบถามเพื่อนที่นั่งข้างคนขับ “เขาคุยกับใครวะ”
“มะ…ไม่รู้ อาจจะพูดกับตัวเองก็ได้…”
“นายคิดว่าเขาสมองไม่ปกติจริงๆ หรือเปล่า”
เย็นนั้น ทั้งคณะก็ยังไม่สามารถหาจุดเหมาะๆ ตั้งแคมป์ สุดท้ายต้องถูกบีบให้มาอยู่ ณ ที่ว่างเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทุกคนต่างหมดอารณ์จะพูดคุยพูดโม้ใส่กันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้
รุ่งสางวันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่ยืนขึ้นบิดขี้เกียจ เมื่อคืนเขาไม่ได้ออกไปหาอาหาร เพราะสวาปามแครกเกอร์ไปชุดใหญ่
เดิมทีท้ายกระบะมีช็อกโกแลตด้วย แต่หลิวปู้เฉลียวใจรีบขนไปอยู่ในรถตัวเอง ในรถไม่มีพื้นที่ให้วางกล่อง เขาเลยต้องวางไว้บนตักทั้งบ่าย
เริ่นเสี่ยวซู่มีแผนของวันนี้แล้ว เขากะจะไม่รับประทานข้าวเช้าเพราะว่าหลังจากขบวนรถเริ่มออกเดินทาง เขาจะหาอะไรกินตอนไหนก็ได้ที่ท้ายกระบะ
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง เขาหันขวับไปมองทางรถกระบะ มีทหารนายหนึ่งตะโกน “ศพสูเซี่ยหายไปไหน มีใครเห็นบ้างไหม”
ทุกคนตะลึงไป “มันก็อยู่ท้ายกระบะไม่ใช่เหรอ”
“ร่างของเขาหายไปแล้ว!”
เป็นคราวของเริ่นเสี่ยวซู่ที่ขนหัวลุกซู่บ้างแล้ว!
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ศพก็วางไว้อยู่หลังกระบะดีๆ ไม่ใช่เหรอ มันหายไปได้ยังไง
ผู้ใหญ่เพศชายทั่วไป น้ำหนักระหว่างเจ็ดสิบถึงแปดสิบกิโลกรัม จะให้มีคนขนไปโดยไม่มีเสียงเลยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
คนมากมายขนาดนี้จะไม่มีใครไม่ได้ยินเสียงเลยได้อย่างไร ใครกันที่พาศพของสูเซี่ยไป
เริ่นเสี่ยวซู่พลันนึกไปถึงเศษเนื้อและกระดูกปลาที่เขาโยนทิ้งก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าพวกมันก็หายไปแบบนี้เลย ไม่มีร่องไม่มีรอย ไม่ทางรู้ได้เลยว่าเป็นฝีมือของอะไร
ตอนนั้นเขาเดาว่าน่าจะเป็นมด แต่ตอนนี้ไม่มั่นใจเสียแล้ว ไม่ว่าจะวิวัฒน์ขนาดไหน ก็ไม่น่าจะสามารถขนศพใหญ่ขนาดนี้ไปได้ในคืนเดียว
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่มีแต่ความงงงวยท่วมท้น หน้านิ่วคิ้วขมวดรำพึง เป็นฝีมือของอะไรแน่
หลิวปู้ตัวสั่นสะท้าน มองดูสูเสี่ยนฉู่ “ร้อยตรีสู ทำไมพวกเราไม่กลับป้อมกันก่อนล่ะครับ นี่มันเริ่มน่าขนลุกแล้วนะ”
สูเสี่ยนฉู่ถือปืนชี้ไปยังรอบๆ อย่างเป็นกังวล “ฉันก็กลัวเหมือนพวกนายนั่นแหละ แต่ยังไงพวกเราก็กลับไปไม่ได้จนกว่าจะทำภารกิจเสร็จสิ้น ต่อแต่นี้ไป พวกเราก็ทำเหมือนดุจว่าเราเป็นผู้อพยพ ถ้าพวกเรากลับไม่ได้ พวกนายก็กลับไม่ได้เหมือนกัน”
“แต่ป่านี้มันประหลาดเกินไปแล้วนะ!” หลิวปู้แทบบ่อน้ำตาแตกแล้ว
“ทุกคนขึ้นรถ แล้วออกไปจากที่เวรๆ นี่กัน!” สูเสี่ยนฉู่คำราม
ตั้งแต่ตอนนี้ไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็ชักมีดกระดูกขึ้นมาถือตลอดเวลา สัญชาตญาณเฉียบคม พร้อมรับมือทุกอันตรายที่เข้าใกล้