ทำไมศพของสูเซี่ยถึงหายไป แล้วมันหายไปไหน สองคำถามนี้วนเวียนอยู่ในความคิดของทุกคน
เริ่นเสี่ยวซู่คิดถึงเรื่องอื่นอยู่ ถ้ามีอะไรบางอย่างสามารถทำให้ศพร่างโตหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้ ทำไมถึงไม่ลงมือกับคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยล่ะ
ดูจากความสามารถของสิ่งนั้นแล้ว จะกวาดล้างทั้งแคมป์ในชั่วข้ามคืนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล!
ทุกคนนั่งกันอยู่ในรถ ยกเว้นแต่เริ่นเสี่ยวซู่ที่นั่งท้ายกระบะ แรกเริ่มเดินทาง ทุกคนต่างคุยกัน หัวเราะกัน บางคนถึงกับลดกระจกลงร้องเพลง!
ทว่าตอนนี้ หน้าต่างของรถทุกคันต่างปิดสนิทแน่น ราวกับกลัวว่าจะมีสิ่งอาถรรพ์กระโจนเข้าไปในรถ และฆ่าทุกคนเสียสิ้น
ทุกคนรู้สึกว่าการมีกระจกหน้าต่างมากั้นตนกับแดนรกร้างไว้จะทำให้ตัวเองปลอดภัยขึ้น
ขณะเริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ที่ท้ายกระบะ ภาพต้นไม้ก็ค่อยๆ บางตาลง ร่มเงาของใบไม้ที่สั่นไหวราวกับกำลังซ่อนจิตสังหารไว้ ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกผวาหน่อยๆ
แต่เขาจะทำอะไรได้อีกเล่า เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มกินแครกเกอร์เพื่อระงับความกลัว
ยามใดที่เริ่นเสี่ยวซู่อนุมานบางอย่างที่ทำให้ตนขวัญผวา ก็คว้าแครกเกอร์ขึ้นมากินบรรเทาความกลัว
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะนั่งท้ายกระบะหรือนั่งในรถก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น ตอนนี้สมรรถภาพร่างกายเขาเพิ่มขึ้น และด้วยวิสัยทัศน์ที่มองเห็นได้กว้างขึ้นไม่น้อย เขาสามารถคิดหาทางหลบหนีหรือคิดแผนรับมือภัยอันตรายได้อย่างทันท่วงที
ไม่มีใครในกลุ่มนี้ที่วิ่งเร็วกว่าเขา เว้นไว้แต่หยางเสียวจิ่นที่ไม่ทราบว่าแข็งแกร่งประการใด
ถ้าเกิดมีอันตรายคืบคลานมา เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดจะช่วยใครทั้งสั้น เพราะเขาไม่ใช่คนปัญญาอ่อน!
เป็นคนนำทางของพวกเขา อาหารก็ยังไม่หาให้ แถมยังให้มานั่งท้ายกระบะอีก เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ล้างแค้นก็บุญท่วมหัวแล้ว!
ทุกคนทำท่าราวกับกำลังหลบหนีปีศาจที่กำลังไล่ตามหลัง หลิวปู้ยังคงโน้มน้าวสูเสี่ยนฉู่ตอนที่เขาเข้าไปในรถ “ท่านครับ กลับไปอธิบายพวกที่อยู่ในป้อมเอาก็ได้ ผู้บังคับบัญชาของคุณคงไม่ไร้หัวใจจนไล่ตะเพิดคุณออกมาหรอกมั้ง?”
แต่สูเสี่ยนฉู่ไม่ตอบกลับ ถ้าไม่ใช่เขา ผู้บังคับบัญชาอาจจะมีน้ำใจให้บ้าง แต่สำหรับเขาแล้วนั้นไม่ใช่เลย
ตามจริงแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็สังเกตได้มาพักใหญ่แล้วว่า หวังฉงหยางกับสูเสี่ยนฉู่นั้นน่าจะเป็นนายทหารในกองกำลังส่วนตัวที่เคยมีปัญหากับพวกผู้บังคับบัญชา
หลังจากเกิดปัญหาขึ้นในแดนรกร้างตอนกลางคืน คนแรกที่พวกเขาส่งออกมาคือหวังฉงหยาง หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่กับลั่วซินอวี่ร้องขอคนมาแทน สูเสี่ยนฉู่ก็เป็นลำดับต่อไปที่ถูกส่งออกนอกป้อมปราการ
เหล่านายทหารที่ประสบความสำเร็จน่าจะเสวยสุขอยู่ในป้อมปราการ มีแค่พวกที่ไม่ใคร่จะถูกชอบพอนักก็จะถูกเนรเทศออกมาทำภารกิจที่แดนรกร้าง ใครเล่าจะยอมออกจากบ้านแสนสุขมาเผชิญกับการต่อสู้กลางค่ำกลางคืนกันล่ะ
ก่อนยุคภัยพิบัติ เหล่าทหารคือผู้มีเกียรติ แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าทหารจากกองกำลังส่วนตัวพวกนี้ไม่เข้าใกล้คำนั้นเลย
สูเสี่ยนฉู่กับหวังฉงหยางอยู่ในสภาพอันกระอักกระอ่วนในกองกำลังส่วนตัว ผู้บังคับบัญชาการของพวกเขาหาทางที่จะสะกดข่มอยู่ ถ้าภารกิจไม่สำเร็จ พวกเขาก็ไม่อาจกลับไปได้
แต่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยังมีข้อสงสัยบางประการ เขาเหลือบมองด้านข้าง แล้วกระซิบถามหยางเสียวจิ่น “ทหารพวกนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า การป้องกันของป้อมปราการล้วนต้องพึ่งพวกเขา แต่ทำไมจู่ๆ พอเจออันตรายก็เหมือนกลายเป็นกลุ่มอันไร้ระเบียบไปได้”
หยางเสียวจิ่นจ้องหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วกล่าวอะไรบางอย่างชวนสับสน “กองกำลังของสมาคมก็คือกองกำลังของสมาคม กองกำลังของป้อมปราการก็คือกองกำลังของป้อมปราการ สมาคมไม่อยากให้ป้อมปราการมีอำนาจควบคุมทหาร”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักใหญ่ กองกำลังของสมาคมมีลักษณะเป็นอย่างไรกันนะ สูเสี่ยนฉู่ดูสุขุมและแข็งแกร่งกว่าทหารนายอื่น เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยเห็นเขาขี้เกียจหรือสูบบุหรี่เลยตั้งแต่เดินทางมา และรู้สึกว่าเขาดำรงไว้ด้วยวินัยตลอด
นายทหารที่ถูกเนรเทศมีใครบ้าง เริ่นเสี่ยวซู่รู้จักอย่างน้อยสองคน หนึ่งก็คือหวังฉงหยาง อีกคนก็คือสูเสี่ยนฉู่ ถ้าไม่พูดถึงสูเสี่ยนฉู่ ย้อนกลับไปในเมืองตอนที่หวังฉงหยางมาค้นบ้านของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาก็ได้แสดงความละเอียดรอบคอบของตัวเอง เขาแตกต่างไปจากทหารของกองกำลังส่วนตัวนายอื่น ถึงกลับดูหมิ่นพวกเขาต่อหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยซ้ำ
หรือว่าที่สูเสี่ยนฉู่กับหวังฉงหยางถูกเนรเทศเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ยินยอมจะร่วมมือกระทำความชั่ว
เขาเกิดความคิดในแง่ร้ายที่สุดได้ประการหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าตลอดมานี้แม้กระทั่งตัวบุหรี่เอง ก็น่าจะถูกจัดหาโดยสมาคม พวกเขาวางแผนอย่างระมัดระวังมาหลายปี จนสุดท้ายก็สามารถทำให้ลดแสนยานุภาพทหารของป้อมปราการได้ในที่สุด เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มั่นใจในข้ออนุมานนี้เท่าไรนัก แต่คุณจางเคยกล่าวไว้ว่า ตอนนี้มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ครอบครองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนั้นคงไม่แปลกใจเลยว่าถ้าอำนาจทางการทหารก็จะตกไปอยู่ในมือของคนกลุ่มเล็กๆ นั้นด้วย
แต่เขายังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสูเซี่ย คนที่ยังมีชีวิตอยู่จะไม่โดนโจมตีจริงงั้นเหรอ แล้วถ้าจะโดน ทำไมถึงยังไม่เกิดอะไรขึ้นเลยล่ะ
ทำไมพวกคนในป้อมปราการถึงสนอกสนใจเศษซากอารยธรรมก่อนยุคภัยพิบัติที่ซ่อนอยู่ในเขาจิ้งซาน แล้วอันตรายที่เขาเผชิญวันนี้นั้นมีต้นกำเนิดมาจากที่นั่นหรือเปล่า
สูเสี่ยนฉู่เอ่ยเสียงเข้ม “ฉันจะประกาศกฎอัยการศึก แผนการในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นอะไรพวกนายก็ห้ามมีข้อสงสัยเด็ดขาด”
หลิวปู้อ้าปากจะเอ่ยบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาพบว่าสูเสี่ยนฉู่นั้นดูเคร่งเครียดยิ่ง
ตอนเที่ยง ทั้งคณะหยุดพักจุดที่เรียกว่าผารุ้ง การก่อตัวของผารุ้งนี้ก็เกิดจากการการแปรสัณฐานแผ่นธรณีภาคเช่นกัน มันเป็นผาที่เกิดจากเปลือกโลกเบียดชนกัน และเกิดเป็นชั้นหินหลากสี กองกำลังทหารส่วนตัวตั้งชื่อผาเช่นนี้ตั้งแต่ออกมาไล่พวกสัตว์ออกไปจากเขตพื้นที่ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนนู้น
หลิวปู้เช็ดเหงื่อที่หน้าผากขณะเอาตัวพิงหน้าผา พลางกล่าว “นี่ก็ใกล้หน้าหนาวแล้วนี่ แต่ทำไมยิ่งขึ้นเหนือยิ่งร้อนขึ้นล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งลงข้างๆ ขณะพูดก็เรอออกมา “บนเขาจิ้งซานมีภูเขาไฟหลายจุดเลย พวกมันยังไม่ดับมอด ยังปะทุออกมาอยู่”
มีหลายคนได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจขึ้นมา เพราะพวกตนไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แถมยังคิดว่าเรื่องภูเขาไฟอะไรพวกนี้เป็นอะไรที่ไกลตัวมาก ไม่คาดคิดเลยว่าจะมาอยู่ในเขาจิ้งซานนี่เอง
สูเสี่ยนฉู่ไม่ได้ประหลาดใจ เพราะว่าตนเองคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศของเขาจิ้งซานดีตามที่ได้รับบรรยายสรุปข้อมูลภารกิจ ทหารกองกำลังส่วนตัวเคยมาที่นี่มาก่อน ย่อมต้องรู้เกี่ยวกับภูเขาไฟพวกนี้เป็นธรรมดา
แต่สูเสี่ยนฉู่สงสัยมากว่าทำไมกองกำลังส่วนตัวรุ่นก่อนของเขาถึงทำงานชุ่ยนัก หลังจากล้างบางพวกสัตว์ป่าในเขาจิ้งซานไปหมด ไฉนจึงไม่คิดจะวาดแผนที่แถวนี้ไปด้วย
ตอนนี้ไม่มีป้อมปราการใหญ่ๆ ไหนเลยที่มีแผนที่แบบละเอียดแม่นยำของเขาจิ้งซาน!
หลิวปู้เดินไปที่รถกระบะเพื่อจะนำอาหารมาแจกจ่าย แต่พอเห็นว่าแครกเกอร์จำนวนมากหายวับไปอีกแล้ว ก็แทบจะเป็นลม เขาถามเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยเสียงสั่นเทา “ทำไมกินแครกเกอร์ไปมากขนาดนี้!”
เริ่นเสี่ยวซู่เรอ และตบอกตัวเอง “กินแครกเกอร์นิดหน่อยเพื่อลดอาการขวัญผวาจะเป็นอะไรไป ฉันนั่งอยู่ที่ท้ายกระบะคนเดียวนะ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหอนดังมาจากทางทิศเหนือ เสียงน่าขนลุกขนพองจนทหารทุกนายยกปืนขึ้นเล็งที่ถนนสายหลักทางทิศเหนือทันที พวกเขาได้ยินเริ่นเสี่ยวซู่พูด “เร็ว ช่วยที ขอแครกเกอร์อีกสักอันมาลดอาการกลัวหน่อย”
หลิวปู้ “…”
ลั่วซินอวี่มองเริ่นเสี่ยวซู่ “นายต้องรู้แน่ว่าเป็นเสียงอะไร”
สูเสี่ยนฉู่หันปืนใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “อย่าคิดจะปิดบังอะไรพวกเรา!”
เริ่นเสี่ยวซู่เลิกคิ้วขึ้นแล้วว่า “เป็นเสียงลมหอนจากหุบเขาเฟิงโค่ว (ช่องลม) อีกไม่ไกลจะมีช่องเขาขนาดใหญ่ที่นำพาเขาไปสู่เขาจิ้งซาน พอมีลมแรงพัดผ่านหุบเขา ก็จะเกิดเสียงแบบนั้นแหละ ไม่มีอะไรต้องกลัว”
ตอนนี้เองที่พวกเขาได้รู้ซึ้งว่าการมีคนนำทางมากประสบการณ์ในกลุ่มนั้นมีประโยชน์เพียงใด ถ้าไม่ถึงจุดที่พวกเขาหวาดกลัวกันหมด ก็คงไม่เห็นค่าของเริ่นเสี่ยวซู่ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ พวกเขาได้ยินเสียงลมหอนก็ไม่กลัวแล้ว
แผนเดิมคือจะถึงหุบเขาภายในสามถึงห้าวัน แต่ด้วยความกลัว แผนการจึงเร่งขึ้นมา ถ้าไม่มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น เย็นนี้ก็คงถึงหุบเขาเฟิงโค่ว!
คุณจางผู้เป็นอาจารย์เคยพูดไว้ในการสอนคราหนึ่งว่าพฤติกรรมและแรงผลักดันของมนุษย์ เกิดขึ้นจากความกลัวตาย
มนุษย์กินเพราะไม่อยากตาย มนุษย์ดิ้นรนเพื่อหาทางรอด
ตอนนี้ทุกคนติดอยู่ในเทือกเขาที่ความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ความตายนี้ดั่งอะดรีนาลินเข็มหนึ่ง ทำให้ทุกคนสมองโล่งปลอดโปร่ง ทะยานอยากออกไปจากที่นี่แบบมีชีวิตรอด