ณ ตอนนี้ทั้งขบวนต่างเดินทางด้วยความเร็วยิ่ง ด้านหนึ่งเป็นเพราะถนนสายนี้ราบเรียบอยู่บ้าง อีกอย่างคือทุกคนรู้สึกว่าตราบใดที่ขับได้ไวมากพอ ก็จะสามารถหลบหนีจากภัยอันตรายที่ตามหลังมา
ยามเย็นมาเยือน แสงตะวันลับขอบฟ้า ในที่สุดทั้งกลุ่มก็ออกนอกเขตป่า มุ่งสู่ผาสูงชันและหุบเขาเบื้องหน้า
หน้าผาราบกับบันไดยักษ์ที่ทะยานขึ้นฟ้า พวกเขาออกมาจากรถ ก็ต้องแหงนหน้าจนสุด ถึงจะเห็นยอดหน้าผาได้ แต่พอกวาดตาซ้ายขวา กลับไม่เห็นจุดปลายทางแม้แต่น้อย
พวกมันคือบันไดธรรมชาติสรรค์สร้าง ราวกับว่าถ้าปีนขึ้นไปจะสามารถขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไรอย่างนั้น
หุบเขาเฟิงโค่วมีลักษณะเป็นเส้นดำหนาทึบที่ยืดยาวออกไป แต่พอพวกเขามาถึง ก็พบว่าช่องของหุบเขานี้กว้างมากพอที่จะให้รถห้าหกคันขับไปพร้อมๆ กัน
ลมแรงพัดผ่านช่องเขา เกิดเป็นเสียงหอนหวูดหวือ หากมีคนไปยืนตรงปากทางเข้าของหุบเขา ก็คงยากที่จะยืนทรงตัวได้ และอาจจะถูกพัดกระเด็นไป
อำนาจอัศจรรย์ตระการตาของธรรมชาติปรากฏแจ่มชัด
ทันใดนี้หลิวปู้ก็ตะโกน “ทุกคนมาดูนี่สิ”
หลิวปู้ยืนอยู่ตรงทางเข้าหุบเขาเฟิงโค่ว พร้อมกับชี้ไปยังหน้าผา ร้องดังลั่น “มีอะไรเขียนอยู่ตรงนั้น!”
ทุกคนเข้าไปดู และเห็นว่าการสลักเป็นตัวอักษรขนาดเท่าศีรษะคนตรงผนังหน้าผา ‘คนเป็นมิอาจผ่าน’
สูเสี่ยนฉู่หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ “ใครเป็นคนสลักคำพวกนี้ลงผนังหน้า”
เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “ปีที่แล้วที่ฉันมายังไม่เห็นห้าคำนี้เลย”
“นายมาทำอะไรที่นี่” หลิวปู้กรีดร้อง “รู้ไหมว่าที่นี่ห่างจากตัวเมืองขนาดไหน ถึงจะออกมาล่าก็ไม่น่าจะมาไกลขนาดนี้ไหม นายเป็นใครกันแน่ นายซ่อนตัวตนที่แท้จริงไว้อยู่สินะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า แล้วว่า “อืม จริงๆ แล้วก็มีบางอย่างที่ฉันยังไม่บอกพวกนาย คือว่าจริงๆ แล้ว ฉันคือ…ทายาทมังกรน่ะ”
หลิวปู้ “…”
สูเสี่ยนฉู่ “…”
ลั่วซินอวี่ “…”
“ตอนนี้นายมีเรื่องหลายอย่างให้น่าสงสัย” สูเสี่ยนฉู่ชี้ปืนไปที่เริ่นเสี่ยวซู่ พูด “อธิบายมา เมื่อปีที่แล้วมาทำอะไรที่นี่ พื้นที่นี้ไม่ใช่เส้นถนนหลัก ป้อม 113 ไม่ได้ส่งคนมาที่นี่นานหลายปีแล้ว ต่อให้เส้นทางสายนี้เป็นสายเดียวที่เชื่อมป้อม 112 กับ ป้อม 113 เข้าด้วยกันก็เถอะ แต่ก็ไม่มีคนจากป้อม 112 มาหาพวกเราหลายปีแล้วเหมือนกัน นายน่าจะเป็นคนเดียวที่มาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว นายเป็นคนสลักคำพวกนี้บนผนังผาสินะ?”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง พลางว่า “ตัวอักษรสลักอยู่จุดสูงไม่น้อย ฉันเตี้ยขนาดนี้ ถ้าไม่ขนหินมาเหยียบขึ้นไป ฉันก็เอื้อมไม่ถึงหรอกนะ แถมฉันเองก็งงตาแตกเหมือนพวกนายตอนเห็นห้าคำนั้นน่ะ อยากรู้ว่าใครเป็นคนทำไม่ต่างกันหรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้โกหก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นฝีมือใคร
“นายยังไม่บอกเราเลยว่ามาที่นี่ทำไม!” หลิวปู้คำราม “คิดว่าตอนนี้เราอยู่ห่างจากตัวเมืองขนาดไหนกัน”
ทุกคนต่างมองไปยังเริ่นเสี่ยวซู่ ถึงแม้พวกเขาจะขับช้ายิ่งกว่าวิ่งเหยาะๆ ระยะการเดินทางก็ใช้เวลากว่าสามวัน เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมไม่มาที่นี่โดยไม่มีเหตุผลแน่
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ปีที่แล้ว ฉันไปเจอฝูงหมาป่าเข้าที่เทือกเขาอวิ๋นหลิง พวกมันล่าฉันมาจนถึงที่นี่”
เขาพูดความจริง
“แกกำลังโกหก” หลิวปู้ปรามาส “เด็กอย่างแก ถ้าเจอหมาป่าเข้าจริงจะรอดมาได้ยังไง ทำไมหมาป่าต้องปล่อยแกรอดด้วย”
“ตอนนั้นพวกมันไม่ได้ล่าฉัน ฉันแค่บังเอิญไปอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ฉันรีบวิ่งเข้าป่า คิดว่าพวกมันคงไม่สนใจฉันหรอก แต่ว่าพวกมันกลับล่าฉันไม่หยุด ส่วนที่ว่าฉันรอดมาได้ยังไงก็…หลังจากเข้าหุบเขาเฟิงโค่ว พวกมันก็หยุดไล่ล่าฉันน่ะ ฉันซ่อนอยู่ที่นั่นสองวัน รอพวกมันไปหมดแล้วถึงค่อยออกมา ส่วนว่าข้างในเป็นยังไงมีอะไรบ้างฉันไม่รู้หรอกเพราะไม่ได้เข้าไปลึก”
ทุกคนนิ่งงัน ทำไมฝูงหมาป่าถึงหยุดล่าตอนเข้าเขตหุบเขาเฟิงโค่ว หรือว่าข้างในนั้นซ่อนตัวอันตรายยิ่งกว่าไว้กัน
หรือไม่ก็มีคนจิตใจดีงามเข้าไปข้างในและพบความลับของเขาจิ้งซานเข้า เลยทำคำเตือนบนผนังไว้ไม่ให้คนเข้าไปเจออันตราย?
ทุกคนเชื่อคำอธิบายของเริ่นเสี่ยวซู่ ทว่าเขาไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมด ตอนนั้นเขาโดนพวกหมาป่าล่าจริง แต่ข้อเท็จจริงในยามนั้นคือ พวกมันล่าเขาเข้าไปยังหุบเขาเฟิงโค่วด้วย
ว่าแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าตัวเองรอดมาได้อย่างไร หลังจากหมาป่าตามเขาทันได้ไม่นาน เขาก็หมดสติลง พอตื่นขึ้นมาร่างก็เต็มไปด้วยบาดแผล แต่พวกหมาป่าหายไปหมดแล้ว
สุดท้ายก็ดิ้นร้นไปถึงตัวเมืองโดยเท้าข้างหนึ่งเหยียบประตูยมโลก ตอนนั้นเองเขาเพิ่งได้รู้ว่าพวกหมาป่านั้นน่ากลัวขนาดไหน แต่ก็เพราะการเผชิญหน้ากับหมาป่าในครานั้น หมอกดำถึงในปรากฏขึ้นในห้วงจิตของเขา
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้เวลาทั้งปีคิดวิเคราะห์ว่าหมอกดำกับตอนที่หมดสติครานั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ตอนที่เขาหมดสติตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นนะ
พลันมีคนพูด “พวกนายรู้อะไรเกี่ยวกับพวกผู้มีพลังพิเศษบ้างไหม บางทีตัวอักษรพวกนี้อาจจะเป็นพวกเขาทิ้งไว้ก็ได้ การที่พวกเขาเดินทางในแดนรกร้างได้อย่างสบายใจเฉิบไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหรอก พวกผู้มีพลังพิเศษหลายคนอยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์ปุถุชนไปแล้ว”
ผู้ที่พูดเป็นทหารนายหนึ่ง เขาโดนสูเสี่ยนฉู่ถมึงทึงใส่ “มันเป็นความลับทางการทหาร”
“จะมาทำท่าอะไรอยู่ให้มากความ ที่พวกเราอยู่ที่นี่กันหมดก็เพราะโดนอัปเปหิมาไม่ใช่เหรอไง นายคิดว่าตัวเองจะเป็นนายทหารได้ถึงขนาดไหนกัน” ชายนายนั้นแค่นเสียง “ต่อให้พวกเราทำภารกิจสำเร็จ พอนายกลับไป คิดเหรอว่าหม่าซินจะปล่อยนายน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป สายบังคับบัญชาการของทหารกองกำลังส่วนตัวมันมั่วซั่วขนาดว่าพลทหารสามารถต่อต้านนายทหารได้ตามใจเลยอย่างนั้นเหรอ ฉับพลันเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ่งมองพวกทหารกองกำลังส่วนตัวย่ำแย่กว่าเดิมอย่างไม่รู้ตัว คุณจางผู้เป็นอาจารย์เคยบรรยายว่า กองทัพก่อนจะเกิดภัยพิบัตินั้นมีวินัยดียิ่ง เป็นกองกำลังอันแข็งแกร่งเป็นหนึ่งเดียวกัน
สูเสี่ยนฉู่จ้องทหารผู้นั้น “ต่อให้เขาไม่ปล่อยฉันไป ฉันก็มั่นใจว่าสามารถทำให้นายโดนไล่ออกก่อนฉันได้แล้วกัน หุบปากไปซะ ก่อนที่ฉันจะจัดการนายแบบพวกทหารหนีทัพ”
ทหารผู้นั้นเงียบไป แต่หลิวปู้กับลั่วซินอวี่เริ่มเกิดความสงสัย “ได้ยินมาว่าผู้มีพลังพิเศษสามคนโดนทหารกองกำลังส่วนตัวจับขังไว้ในป้อมเมื่อไม่นานมานี้ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหรอ”
สูเสี่ยนฉู่คิด ก่อนจะว่า “ไม่ใช่เรื่องของพวกนาย พวกเราแค่ทำตามคำสั่งของเบื้องบน”
ในที่สุดสูเสี่ยนฉู่ก็แสดงอาการโลเลไม่มั่นคง เขาแหงนหน้ามองฟ้า ถอนหายใจ “นี่ก็ใกล้มืดแล้ว คืนนี้เราตั้งแคมป์ที่นี่เถอะ เดี๋ยวมาคุยกันว่าจะอยู่หรือจะไป คิดว่ายังไง”
หลิวปู้กับคนอื่นๆ เห็นด้วย ตราบใดที่ยังไม่มุ่งหน้าต่อไป ไม่ว่าจะตัดสินใจว่าอะไรก็พอใจทั้งนั้น
เริ่นเสี่ยวซู่มองลึกเข้าไปในหุบเขา ผาตระหง่านสองด้านราวจะเชื่อมเข้ากับแผ่นฟ้า ช่องว่างเหนือหุบเขามีแสงสายหนึ่งสาดส่องลง ทว่ายิ่งลึกไปลำแสงยิ่งจางหาย ยิ่งมองเข้าไปลึก ความมืดมิดก็ยิ่งทมิฬ