เริ่นเสี่ยวซู่ไม่จำเป็นต้องออกไปหาอาหารเองแล้ว เพราะกำลังกลัวตาย หลิวปู้เลยไม่ใส่ใจเรื่องต้องแบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้เริ่นเสี่ยวซู่ ตอนนี้ทุกคนเอาแต่คิดว่าตนจะรอดคืนนี้ไปได้อย่างไร หรือไม่ก็คิดว่าพวกตนจะรอดชีวิตไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไรมากกว่าจะไปสนใจว่าคืนนี้มีอะไรให้กิน
คืนนั้นมีบางคนไม่คิดจะตั้งเต็นท์เพราะกลัวว่าจะไปบังทางหลบหนี แต่สูเสี่ยนฉู่กลับไม่อนุญาต “ตั้งเต็นท์ของตัวเองให้หมด นี่มันปลายฤดูใบไม้ร่วง ถ้าไม่มีเต็นท์ไว้บังลมล่ะก็ เกิดป่วยขึ้นมาก็ไม่ทางรอดไปถึงเขาจิ้งซานเหมือนกัน!”
ก่อกองไฟกัน ทุกคนนั่งล้อมอย่างเงียบเชียบ ถึงแม้ว่าจะไม่กล้าเข้าลึกไปในป่าเพื่อเก็บฟืน แต่ด้วยว่าด้วยความร่วมแรงร่วมใจกันก็ได้ฟืนมาไม่น้อย มันราวกับว่ายิ่งกองไฟใหญ่เท่าไหน ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้นเท่านั้น
คราวนี้เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ไปก่อกองไฟแยกเพราะสูเสี่ยนฉู่ร้องขอให้เขามาเข้าร่วมประชุมด้วย
“เขาเอาสิทธิ์อะไรมานั่งที่นี่” หลิวปู้ว่าอย่างไม่พอใจ “พวกเราจะมานั่งร่วมกับผู้อพยพได้ยังไง เริ่นเสี่ยวซู่ ไปนั่งไกลๆ หน่อย”
ไม่มีใครคิดจะปรามหลิวปู้ เพราะจะไปมีปัญหากับเขาเพราะผู้อพยพคนหนึ่งก็ใช่เรื่อง
ทุกคนนั่งล้อมเป็นวงกลม ทว่าหลังจากหลิวปู้อัปเปหิเริ่นเสี่ยวซู่ให้นั่งไกลออกไป เขาก็ดูเหมือนมานั่งฟังคนคุยกันมากกว่าจะมาเข้าร่วมเสียอย่างนั้นไป
พวกเขาต้องการคำแนะนำจากเริ่นเสี่ยวซู่จริงๆ แต่ในความคิดของหลิวปู้ ให้เริ่นเสี่ยวซู่ตอบคำถามจากไกลๆ เอาก็ได้
ยังดีที่สูเสี่ยนฉู่มีเหตุผลมากกว่าหลิวปู้ “เลิกคุยนอกเรื่อง พวกเราว่าตกลงกันว่าจะกลับเมืองหรือว่าจะไปต่อ”
เดิมทีสูเสี่ยนฉู่ยืนกรานจะไปเขาจิ้งซานให้ได้ เพราะมองอนาคตและสถานการณ์ในป้อมปราการของตัวเขาเองเป็นสำคัญ แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันทำให้เขาเสียขวัญแล้ว ต่อให้เขาโดนไล่ออกจากป้อมปราการและกลายเป็นผู้อพยพคนหนึ่ง ก็ยังดีกว่ามาตายข้างนอกนี่
พวกทหารเชื่อมั่นในปืนอันเย็นชาไร้อารมณ์ของตนเอง ทว่าพอพวกเขาพบว่าแม้จะมีปืน ก็ไม่อาจหลุดรอดพ้นปัญหาใด ความกลัวคลื่นใหญ่ก็ถาโถมมา ที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ที่สุดของตน กลับไม่สามารถสร้างความเชื่อมันอะไรได้ไปเสียแล้ว
พอสูเสี่ยนฉู่เห็นทุกคนสงบลงแล้วก็พูดขึ้น “พวกเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้านหนึ่ง พวกเราจะเดินผ่านหุบเขาที่ไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไรซ่อนอยู่ แต่ก็อาจจะมีสัตว์ร้ายบางตัวที่พวกผู้มีพลังพิเศษไม่อาจต่อกรด้วยได้ ไม่งั้นคงอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงมีคนมาไกลถึงที่นี่ แล้วทิ้งคำเตือนไว้ว่า ‘คนเป็นมิอาจผ่าน’ ”
สูเสี่ยนฉู่ว่าต่อ “แต่อีกด้านหนึ่ง ในป่าก็มีภัยอันตรายซ่อนอยู่ไม่ต่างกัน ไหนจะเรื่องที่สูเซี่ยตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไหนจะเรื่องที่ศพเขาหายอีก เพราะงั้นระหว่างที่เดินทางกลับเราจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้”
ลั่วซินอวี่กล่าวทันที “ถึงพวกเราจะเจออันตรายในป่าบ้าง แต่ว่ากำลังคนของเราก็ไม่ได้ลดทอนลงไปนะ ยังไงพวกเราก็มาถึงที่นี่กันโดยที่ส่วนใหญ่ยังรอดกันอยู่ แต่ว่าในหุบเขานั้นมีอันตรายอะไรบ้างก็ไม่รู้ ฉันคิดว่ายอมไปเจออันตรายในป่าดีกว่า”
หลังจากเดินทางผ่านป่ามา มีสมาชิกคนเดียวเท่านั้นที่ตายไป ต่อให้ระหว่างทางกลับมีคนตายอีกหนึ่ง พวกเขาก็คิดว่าตนคงไม่ใช่ผู้โชคร้าย ว่าแล้วก็การกลับเดินทางกลับนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีสุดแล้ว
แต่สูเสี่ยนฉู่ยังสองจิตสองใจ เขาจะกลับไปดีไหม ถ้ากลับไป พวกบนๆ ในป้อมปราการจัดการเขาอย่างไรกันหนอ
ทุกคนพลันนิ่งเงียบอีกครา เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่หยางเสียวจิ่น ก่อนจะเห็นว่าเธอยังดูสงบนิ่งเช่นเดิม ราวกับว่าจะเดินทางต่อหรือจะเดินทางกลับเธอก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น
เดี๋ยวนะ หรือว่าหยางเสียวจิ่นคือผู้มีพลังพิเศษในตำนานนั่น
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อาจยืนยันอะไรได้ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาพลันรู้สึกว่าหยางเสียวจิ่นน่าจะมีจุดประสงค์ในการมาที่นี่แตกต่างจากคนอื่น ตอนที่พวกเขากินปลากัน เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเธอเพียงมาเพื่อคุ้มกันเพื่อนของตัวเองอย่างลั่วซินอวี่เฉยๆ
แต่ปัญหาคือลั่วซินอวี่กับหยางเสียวจิ่นดูไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรขนาดนั้น ความสัมพันธ์เหมือนนายจ้างกับลูกจ้างมากกว่า
เริ่นเสี่ยวซู่อยากเห็นผู้มีพลังพิเศษที่สูเสี่ยนฉู่กับพวกกล่าวถึงนัก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอิจฉาอะไรพวกเขาหรอก เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งใน ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ เหมือนกัน พลังเขาแค่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอก็เท่านั้น
ลั่วซินอวี่ดูสีหน้าสูเสี่ยนฉู่ก่อนจะว่า “ร้อยตรีสู คุณกำลังเป็นห่วงเรื่องที่จะต้องเจอตอนกลับป้อมไปใช่ไหมคะ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไป พอพวกเราถึงป้อมแล้ว ฉันจะหาคนให้ย้ายคุณออกจากกองกำลังส่วนตัวเอง ต่อให้จะต้องย้ายคุณไปทำงานธุรการแทนก็เถอะ”
สูเสี่ยวฉู่ผงะ “จริงเหรอ”
ลั่วซินอวี่พูดให้คำมั่น “แน่นอน ฉันยังพอมีอิทธิพลในป้อมอยู่บ้าง”
คำพูดของเธอดูจะส่งผลกระทบต่อสูเสี่ยนฉู่ไม่น้อย สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจได้ “เอาละ พรุ่งนี้เราออกแต่เช้า กลับป้อมกัน!”
ทันใดนั้น กระแสลมในหุบเขาพลันหยุดชะงัก ยามเสียงลมหอนเลือนหาย ทั้งป่าพลันเงียบสงัดลง
ในวินาทีแห่งความเงียบงัน ทุกคนได้ยินเสียงขบเคี้ยวอะไรบางอย่างดังมาจากท้ายกระบะ ร่างทุกคนชาวาบขนลุกซู่ หลิวปู้เอ่ยถามเสียงสั่น “เสียงอะไรน่ะ”
“คิดว่าเสียงมาจากท้ายกระบะนะ!”
ทุกคนหันไปมองอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ไม่เข้าใจเลยว่าท้ายกระบะที่มีแต่ของใช้ประจำวันจะมีเสียงแบบนั้นได้อย่างไร แถมเริ่นเสี่ยวซู่ก็อยู่กับพวกตนตรงนี้เอง แล้วตัวอะไรกันส่งเสียงออกมา
ใบหน้าสูเสี่ยนฉู่ตกใจขวัญหาย “ฉันไม่เชื่อหรอกว่า ไม่มีอะไรไม่กลัวลูกกระสุน!” จากนั้นก็ส่งสัญญานให้พวกทหารค่อยๆ คืบหน้าไปยังรถกระบะ
เสียงเคี้ยวนี้ดังมาพักใหญ่แล้ว แต่ว่าที่ไม่ได้ยินเพราะว่ามีเสียงลมจากหุบเขาโกรกหูอยู่
เริ่นเสี่ยวซู่ลุกขึ้นยืน ดูเหมือนว่าตั้งแต่พลังกำลังของเขาเพิ่มขึ้น ต่อให้สวมแค่แจ็กเก็ตบางๆ ในปลายฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ก็ไม่รู้สึกหนาวอะไร
ในมือเขาถือมีดกระดูกไว้ตลอดเวลา พอหันกลับไปมองหยางเสียวจิ่น ก็เห็นว่าในมือจับปืนพกเตรียมไว้แล้ว
สูเสี่ยนฉู่กับคนอื่นๆ ค่อยๆ เข้าใกล้รถกระบะ พริบตานั้นก็มีเงาร่างหนึ่งกระโดดออกมาจากท้ายกระบะ ทำเอาทุกคนสะดุ้งเฮือก มือลั่นไกออกก่อนที่จะได้ทันวิเคราะห์อะไร
เงาร่างนั้นโดนกระหน่ำยิงกลางอากาศไปหลายชุด จนกระเด็นถอยห่างไป และตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินอีกเสียงดังมาจากท้ายกระบะ ไม่ทันได้ฉุกคิดอะไร สูเสี่ยนฉู่และคนอื่นพลันหันกลับไปสาดกระสุนใส่ท้ายกระบะแบบไม่ยั้ง
กริ๊ก กริ๊ก!
ปืนเปล่าเกิดเสียงดังกริ๊ก บรรดาทหารลั่นกระสุนจนหมดแม็กกาซีน ส่วนรถกระบะนั้นอยู่ในสภาพไม่น่าดู มีรูอยู่เต็มไปหมด ถังน้ำมันก็รั่ว มีคนยิงโดนถังน้ำจนเป็นรู
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้กลัวว่ารถกระบะจะระเบิด เพราะเขามีได้รับความรู้ว่าจากทักษะการใช้ปืนระดับสูงว่า เอาปืนยิงถังน้ำมันไป ก็ยากที่จะทำให้มันระเบิดได้ ยกเว้นแต่จะใช้ระเบิดเพลิงโยนเข้าไป
สูเสี่ยนฉู่ค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไปสำรวจเงาร่างที่กระโดดออกมา แต่พอเห็นมันก็ต้องหัวร้อนขึ้นปรี๊ด ที่ทำพวกเขาตกใจกลัว ก็แค่หนูมาขโมยอาหาร!
“หนูโตตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย” หลิวปู้กำลังตกตะลึง “ใหญ่เกือบเท่าศีรษะมนุษย์สองหัวเลย”
สูเสี่ยนฉู่ขับไล่ความกลัวของตน และมองไปยังรถกระบะ หนูอีกตัวก็โดนกระสุนสาดจนเละไปแล้ว
กลับกลายเป็นว่าพวกเขาตื่นตระหนกเกินเหตุไปเองเสียฉิบ ตอนนี้ทุกคนต่างตึงเครียดกันเกินไป จนการเคลื่อนไหวเล็กน้อยรอบกายก็ดูน่าหวาดระแวงไปหมด
ต้องกลับป้อมปราการแล้ว ถ้ายังอยู่ต่อ ความกดดันหนาหนักเช่นนี้พวกเขายากรับได้
ทว่าจู่ๆ เริ่นเสี่ยวซู หันขวับกลับไปดูเส้นทางขามา เขาก็เห็นหมาป่าขนเงินตัวหนึ่งยืนอยู่หน้าผาไม่ไกล สายตายกำลังจับจ้องที่พวกตน เป็นราชาหมาป่า
ไม่ดีแล้ว ทำไมพวกมันมาไวขนาดนี้!