ตอนที่ 51 เหมาะสมชอบธรรม

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ราชาหมาป่าสีเงินทอประกายสะท้อนจันทร์ เหนือหน้าผา ขนสีเงินของราชาหมาป่ากำลังโบกสะบัดราวศิลปะชั้นยอด

แน่นอนเริ่นเสี่ยวซู่มินำพาจะชื่นชม เขาคิดแต่อยากจะวิ่งหนี!

ไหนพวกเขาบอกว่าพวกหมาป่าออกจากเขตของป้อมปราการ 113 และมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตรไง ทำไมจู่ๆ มันก็โผล่มาอยู่นี่ได้ล่ะ

หน้าผานั้นไม่ได้อยู่ไกลอะไร ใช้เวลาสิบนาทีก็มาถึงจุดที่เขาอยู่ได้แล้ว ที่เริ่นเสี่ยวซู่กังวลมากกว่า ก็คือหมาป่าตัวอื่นๆ มันซ่อนอยู่ไหน ถ้าเกิดมันอยู่ใกล้ที่นี่ล่ะ

เริ่นเสี่ยวตะโกน “รีบเข้าไปในหุบเขา!”

หลิวปู้นิ่งไป “เข้าไปในหุบเขา? บ้าเหรอ เข้าไปตอนนี้ก็ไม่ต่างจากขุดหลุมฝังตัวเองหรอกนะ!”

“ถ้าไม่เข้าไปตอนนี้ พวกเราตายกันหมดแน่!” เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งไปข้างรถกระบะ คว้าซากหนูที่ค่อนข้างครบส่วนไว้ ก่อนจะวิ่งไปที่หุบเขา เขามีประสบการณ์กับพวกหมาป่ามามาก รู้ดีว่าถ้าไม่หนีตอนนี้ จะได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุดแน่

นักล่าตามธรรมชาติของหมาป่าน่าจะโดนทางป้อมปราการล้างบางไปหมดแล้วตอนออกมากวาดล้างในแดนรกร้าง ทำให้พวกหมาป่าสามารถทอดน่องไปทั่วแดนรกร้างได้อย่างไร้ความเกรงกลัวใด

เริ่นเสี่ยวซู่มองไปข้างหลัง ก็จะตะลึงตาโพลงเมื่อเห็นคนอื่นๆ กำลังเก็บข้าวของข้างกองไฟขนขึ้นรถอย่างสบายใจ! ทำอย่างกับว่าพวกหมาป่าอยู่ไกลโพ้น ไม่มีใครร้อนรนเลย

แถมก่อนหน้าที่เริ่นเสี่ยวซู่ยังพูดไปด้วยว่าฝูงหมาป่าไม่กล้าเข้าใกล้หุบเขา ทำให้พวกเขาเกิดความมั่นใจขึ้นมา ตราบใดที่สามารถเข้าไปในหุบเขาที่อยู่ห่างประมาณสิบเมตรได้ก็ปลอดภัยแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่คิด คนพวกนี้ไม่กลัวตายเลยเว้ย เวลาแบบนี้จะพับผ้าทำพระแสงอะไร ต้องหยิบน้ำกับอาหารก่อนไม่ใช่เหรอไง

ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตระหนักได้ว่า หยางเสียวจิ่น สูเสี่ยนฉู่ และตนนั้นถือรู้เรื่องรู้ราวที่สุดในกลุ่มแล้ว

สูเสี่ยนฉู่รีบไปที่รถ คว้าปืนกับกระสุนมา ส่วนหยางเสียวจิ่นเอาปืนจี้คนขับอีกคนให้เข้ารถไป

แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ต้องทำอะไรต่อล่ะทีนี้ แน่ละว่าไม่มีทางยอมล่มจมไปกับพวกเขาแน่ ขณะวิ่งเข้าไปในหุบเขา ก็สังเกตสังกาหน้าผาทั้งสองด้าน มันดูสูงชันมาก แต่ก็ยังพอมีจุดถนัดมือไว้จับปีนอยู่

ที่เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจไว้ก่อนเช่นนี้ เพราว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนรอดมาได้อย่างไร เลยบอกทุกคนไปว่าหมาป่าจะไม่เข้ามาในหุบเขา แต่เขารู้ดีว่าตอนที่มันไล่ล่าเขาตอนนั้น พวกหมาป่าไม่รีรอจะเข้ามาในหุบเขาเลย

เพราะอย่างนั้น พวกหมาป่าต้องไล่ตามพวกเขามาแน่ ถึงเวลานั้น จะหนีอย่างไรก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว

รถออฟโรดเหมาะกับการขนส่งมากก็จริง แต่เรื่องที่ว่าจะหนีพวกหมาป่าในพื้นราบได้ไหมนั้นยังพูดยาก ถนนที่เต็มไปด้วยหินขรุขระแบบในหุบเขานี่อย่าหวัง

ไม่กี่วันก่อนทหารกองกำลังส่วนตัวจู่โจมพวกหมาป่า แม้จะมีทหารอาวุธครบมือนับร้อยนาย ยังมีหลายสิบที่จบชีวิตลงใต้คมเขี้ยวของหมาป่า ตอนนี้พวกเขามีกำลังคนแค่ยี่สิบ ไม่เพียงพอแม้แต่นิด

มีคำกล่าวหนึ่งที่เหมาะกับสถานการณ์แบบนี้มาก ‘คุณไม่ต้องวิ่งหนีหมาป่า ตราบใดที่คุณสามารถวิ่งแซงคนอื่น’ แต่คนสิบกว่าคนย่อมไม่สามารถชะลอฝีเท้าของหมาป่าได้ ถ้าหาทางรอดไม่ได้ พวกเขาก็คงตายกันหมด

เพราะแบบนี้เริ่นเสี่ยวซู่ถึงไม่ขึ้นไปบนรถ แต่ออกตัววิ่งไปที่หุบเขาทันที ไม่ใช่การตัดสินใจเพราะว่าตกใจลนลาน แต่เขารู้ดีว่าต่อให้ขับรถก็ไม่มีทางหนีหมาป่าทัน เขาต้องหาทางเลือกอื่น

ถ้าเขาหมดทางเลือกแล้ว ก็คงได้แต่ไต่ผาขึ้นไป ไม่ว่าหมาป่าจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงไม่แกร่งขนาดปีนหน้าผาได้หรอกมั้ง?

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มั่นใจเหมือนกันว่า เขาจะมีกำลังมากพอที่จะปีนขึ้นไปจุดยอดสุดได้ไหม แต่มันก็เหลือทางเดียวในการเอาชีวิตรอดแล้ว

ณ ตอนนั้นเองก็มีคนสตาร์ทรถแล้วมุ่งหน้าไปทางหุบเขา รถไม่พอสำหรับบรรทุกทุกคนเพราะรถกระบะเป็นซากไปแล้ว

พอทุกคนเห็นฝูงหมาป่าเผยตัวอยู่ชายป่าก็ตัวสะพรึงวูบขึ้นมา หมาป่าพวกนั้นตัวใหญ่เท่ากระบือ ท่าทีพวกมันดูไม่รีบร้อน นวดนาดมุ่งมาหามนุษย์

หลิวปู้กรีดร้องอย่างเสียขวัญ ทหารหลายนายหน้าซีดขาว

พวกที่มัวแต่เก็บของก่อนหน้านี้บรรลุแล้วว่าตัวเองโง่งมเพียงใด ถ้าไม่ได้มัวแต่เก็บของ ป่านนี้คงไปถึงข้างในหุบเขาแล้ว!

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งปิดประตู!” มีคนตะโกน “เบียดเข้าไปหน่อย พวกเราเข้าไปได้หมด!”

แต่ก่อนที่คนพูดจะเบียดตัวเข้าไปในรถได้สำเร็จ เขาก็โดนหลิวปู้ถีบเตะออกจากรถ จากนั้นประตูรถก็ปิดดังปัง!

“สตาร์ทรถเร็ว!” มีคนกรีดร้อง

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่สงบนิ่งมาก ในแดนรกร้างไม่มีผิดถูก รอดคือถูก ตายคือผิด ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่เอาชีวิตให้รอดและต้องเป็นผู้อยู่รอดคนสุดท้าย แค่นั้น

รถยนต์สี่คันขับมุ่งตรงเข้าหุบเขา โดยทิ้งสมาชิกสองคนที่ไม่อาจขึ้นรถได้ทันการณ์ ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องสองเสียงดังมาจากนอกหุบเขา เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าพวกหมาป่าเคลื่อนตัวไวกว่าที่คิดก็ตัวสั่นสะท้าน

พอรถขับผ่านเริ่นเสี่ยวซู่ คันหนึ่งในนั้นก็หยุดรับเขา เริ่นเสี่ยวซู่เห็นหยางเสียวจิ่นจี้ปืนใส่หัวคนขับจากเบาะหลัง เธอหันมาหาเริ่นเสี่ยวซู่แล้วพูด “ขึ้นมา!”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป เขาไม่คิดเลยว่าหยางเสียวจิ่นจะใช้ปืนขู่คนขับเพื่อให้หยุดรับเขา แถมอีกอย่างคือ เขาไม่คิดอยากจะขึ้นรถด้วย! ที่ผีสางแบบนี้รถยนต์จะวิ่งไวกว่าหมาป่าได้อย่างไร

หยางเสียวจิ่นเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดขึ้นมา ก็ควักปืนพกสีดำรุ่น M9 ด้วยอีกมือหนึ่ง แล้วชี้ใส่เริ่นเสี่ยวซู่ “ขึ้นมาบนรถ!”

เริ่นเสี่ยวซู่ “…”

เขาหันออกไปมองนอกหุบเขา ก่อนจะประหลาดใจไป หยางเสียวจิ่นหันมองตามสายตาเขา เธอเห็นว่าพวกหมาป่าหยุดอยู่ที่นอกหุบเขา หมาป่ายักษ์หลายสิบตัวจ้องมองเข้าไปในหุบเขาอย่างเงียบงัน ขนของพวกมันแปดเปื้อนด้วยโลหิต

หลิวปู้มองหมาป่าจากรถตัวเอง ก่อนจะพูดอย่างหวาดผวา “พวกมันไม่เข้ามาในหุบเขาจริงๆ ด้วย พวกเรารอดแล้ว!”

ทุกคนหนีจากพวกหมาป่ามาได้ ก็รู้สึกเหมือนรอดพ้นมาจากภัยพิบัติหนึ่ง

ถึงกลับมีคนร้องไห้ออกมา “พวกเรารอดแล้ว!”

หลิวปู้พึมพำ “ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กผู้อพยพนั่นจะพูดความจริง”

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่โล่งใจแม้แต่น้อย เพราะที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้เป็นคำลวงล้วนๆ ตนเองก็ไม่คาดคิดด้วยว่าพวกหมาป่าจะไม่ตามมา

เรื่องนี้มันหมายความว่าอย่างไร

มันหมายความว่าในเขาจิ้งซานปีที่แล้วมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ ที่หมาป่าหยุดฝีเท้าลงที่หน้าหุบเขาต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่

มันอาจจะหมายถึงว่าในเขาจิ้งซานเหนือหุบเขาเฟิงโค่วมีอะไรบางอย่างที่อันตรายยิ่งกว่าซ่อนอยู่ อักษรห้าคำว่า ‘คนเป็นมิอาจผ่าน’ ไม่ใช่เรื่องโกหกแม้แต่น้อย

พวกเขาควรทำอะไรต่อ

มีคนออกจากรถ แล้วมองไปยังหมาป่าที่เฝ้าอยู่นอกหุบเขา “ทำไมเราไม่ตั้งแคมป์ที่นี่ รอพวกหมาป่าไปแล้วเราค่อยกลับออกไปล่ะ”

ไม่เคยได้ยินความคิดเห็นที่โง่บรมแบบนี้มาก่อนเริ่นเสี่ยวซู่คิด พลางพูดต่อ “ถ้าอยากกลับไปก็กลับเลย ฉันไม่มีทางออกไปเส้นเดิมแน่”

สูเสี่ยนฉู่พยักหน้า พูดอย่างเจ็บปวดใจว่า “ใช่ พวกเราหมดหนทางให้กลับแล้ว”

ในสภาพการณ์แบบนี้ ผืนป่าก็คือดินแดนของหมาป่า ถ้าอยากจะรอพวกมันจากไปหมดละก็ คิดว่าพวกมันจะจากไปไหนกันล่ะ จากที่นี่ไปป้อมปราการใช้เวลาสามวัน ช่วงระหว่างสามวันนี้ ให้หมาป่าแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าแล้ว ก่อนจะฟาดแส้ใส่มนุษย์เล่นยังมีเวลาเหลือเฟือเลย

แน่นอนว่าพวกหมาป่าแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าไม่ได้หรอก แต่เปรียบเปรยเฉยๆ

ไม่มีใครตอบรับคำของสูเสี่ยนฉู่ เพราะต่างรู้ดีกว่าถ้าหันกลับไป ต้องตายแน่นอน ทางรอดเดียวคือต้องมุ่งตรงไปสู่ป้อมปราการ 112!

หลังชนฝาแล้ว!

หลิวปู้มองเริ่นเสี่ยวซู่พลางถาม “นายแบกศพหนูมาทำไม”

“แหงแหละ เอามากินไง!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเรียบเฉย “ฉันจะเอามันไปทำอะไรได้อีกล่ะ”

หลิวปู้แทบอาเจียนออก “เอามากินน่ะนะ?”

เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “อาหารทุกอย่างอยู่บนรถกระบะ และรถกระบะก็ปลิวไปแล้ว ถ้าไม่กินมัน จะให้ฉันกินอะไร แล้วก็นะ ที่กินเจ้าหนูนี้ เพราะมันกินแครกเกอร์ของฉัน ก็ไม่แปลกอะไรนี่”

หลิวปู้ “…”

คำพูดจานี้ฟังดูเหมาะสมชอบธรรมไม่น้อย!

จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าปัญหาของทั้งกลุ่มตอนนี้คืออาหารและน้ำ

และเริ่นเสี่ยวซู่ก็แค่หยอกหลิวปู้เล่นเฉยๆ เขาไม่คิดจะกินเจ้าหนูนี่หรอก