สำหรับหลิวปู้ ลั่วซินอวี่ และคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในป้อมปราการนั้น หนูเป็นสัญลักษณ์ของความสกปรก แต่เดิมพวกหนูก็เป็นสัตว์ที่วิ่งไปทั่วท่อระบายน้ำ แถมยังเป็นตัวแทนของโรคระบาด การเจ็บป่วย ความเน่าเหม็น และอื่นๆ อยู่แล้วด้วย

ที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่กินหนู ก็เพราะว่าเขาเคยเห็นมันกินซากศพมาก่อน ภาพเลวร้ายตอนนั้นยังตราตรึงในใจเขา แต่ว่าสำหรับผู้อพยพคนอื่นในเมืองแล้ว ล้วนมีความคิดเป็นเชิงเดียวกันว่าหนูในแดนรกร้างเป็นอาหารกินได้ หนูพวกนี้ขโมยอาหารจากมนุษย์ เป็นปรสิตแก่สิ่งมีชีวิตอื่น ไม่แตกต่างอะไรไปกับสัตว์ป่าอื่นๆ เลย

ในเมื่อตอนนี้ในเมืองขาดแคลนอาหาร ปลวกยังกินได้ หนูย่อมไม่รอดพ้น สำหรับพวกเขาแล้ว หนูก็เหมือนก้อนเนื้อเดินได้นั่นแหละ

มุมมองของผู้อพยพต่ออาหารต่างกับผู้คนในป้อมปราการ ผู้อพยพมองว่าอะไรที่กินแล้วไม่ตายล้วนเป็นอาหารทั้งสิ้น

ตอนนี้รถกระบะพังไปแล้ว เสบียงก็โดนพวกทหารยิงแหลกเป็นเศษ ต่อให้ยังมีอาหารเหลืออยู่ ก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงโดนหมาป่าโจมตี เพื่อไปเก็บอาหารข้างนอกอยู่ดี เพราะอย่างนั้นก็ต้องทนๆ หิวไปนั่นแหละ

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่กลัว ใครจะอดอยากในแดนรกร้างก็อดอยากไป แต่ไม่มีทางเป็นเขาแน่

เริ่นเสี่ยวซู่หันมองหยางเสียวจิ่น ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเธออยากช่วยเขา จึงเอาปืนขู่คนขับรถให้รับเขาขึ้นรถมา แต่เธอกลับหันปืนใส่เริ่นเสี่ยวซู่ต่อ จึงรู้ได้ทันทีว่าเธอเพียงต้องการคนนำทางที่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม

หรือไม่ก็หยางเสียวจิ่นรับรู้ได้ว่าแต่นี้ไปต้องหาอาหารยากแน่นอน เริ่นเสี่ยวซู่ก็ดูเชี่ยวชาญในด้านนี้มากด้วย และหยางเสียวจิ่นก็ต้องการคนที่จะหาอาหารให้เธอ

แต่ละคนย่อมมีความเชี่ยวชาญกันไปคนละแบบ ยิงปืนเก่งกาจ ใช่ว่าจะมีทักษะเอาตัวรอดในแดนรกร้างเก่งกาจด้วย และก็ตามที่เห็น เริ่นเสี่ยวซู่คือยอดฝีมือแห่งการเอาตัวรอดในแดนรกร้าง

เริ่นเสี่ยวซู่กำลังสงสัยอยู่ว่าความเชี่ยวชาญการเอาตัวรอดในแดนรกร้างนี่นับว่าเป็น ‘ทักษะ’ ด้วยไหมนะ

เขาถามพระราชวังในห้วงจิต “ความเชี่ยวชาญการเอาตัวรอดในแดนรกร้างของฉันอยู่ระดับไหน”

[สามารถประเมินผลได้ ท่านอยู่ระดับปรมาจารย์] เสียงเรียบนิ่งจากพระราชวังลอยมา

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปพักหนึ่งเพราะไม่คิดว่ามันจะถูกประเมินได้จริงๆ ไม่คิดเลยว่าทักษะการเอาตัวรอดในแดนรกร้างของตัวเองจะอยู่ระดับปรมาจารย์ รู้สึกดีชะมัด

เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มสงสัยในตัวหยางเสียวจิ่น ในฐานะคนที่อยู่อาศัยในป้อมปราการ เธอทำอะไรรวบรัดฉับไว ดูไม่เหยาะแหยะเลย

นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว ทุกคนสะโหลสะเหล ในเมื่อพวกหมาป่าไม่กล้าเข้ามา หลังจากเดินทางเข้าไปหลายกิโลเมตรก็หยุดพักลง

พวกเขาหยุดลงเพื่อคุยว่าจะรับมือสถานการณ์ตอนนี้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขากลัวสิ่งที่อยู่เหนือหุบเขาไป จึงพยายามชะลอเวลาเดินทางให้ช้าลงเท่าที่จะทำได้

“ยังไงพวกเราก็ต้องเดินทางต่อ” สูเสี่ยนฉู่ว่าก่อนจะยืนขึ้น “หุบเขานี้ชื่อว่าเฟิงโค่ว (ช่องลม) ตอนนี้อาจจะดูสงบนิ่ง แต่พวกนายก็เห็นแล้วว่าลมมันแรงขนาดไหน ฉันจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าเคยมีคนโดนลมพัดจนลอยออกนอกหุบเขาไป”

“แต่คืนนี้ดูจะไม่มีลมอะไรนะ” หลิวปู้สงสัย “ตั้งแต่เย็นจนถึงตอนนี้ ลมไม่ค่อยมีเลย ถ้าเอารถมาจอดกั้นด้านข้างเป็นกำแพง ลมก็ไม่น่าสร้างปัญหาอะไรให้เรานะ”

“แบบนั้นไม่ได้ ตอนนี้เรายังพักได้อยู่ แต่ยังไงก็ต้องออกไปจากที่นี่ก่อนรุ่งสาง” สูเสี่ยนฉู่ตอบปัด “แถมพวกเราก็ไม่มีอาหารเหลือแล้วด้วย ความสำคัญลำดับแรกคือออกจากหุบเขานี่ให้ได้เพื่อไปหาอาหาร ในหุบเขาดูเหมือนจะไม่มีอะไรกินได้เลย”

“พอพูดถึงแล้วก็เริ่มหิวนิดๆ แฮะ” หลิวปู้พึมพำ

ตอนดึกทุกคนนั่งล้อมไฟเป็นวงใหญ่ เพราะความกลัว ทำให้ไม่ค่อยอยากอาหารนัก แต่นี่ก็เลยเวลาทานอาหารเย็นมาได้ห้าหกชั่วโมงแล้ว ทุกคนก็ใช้พละกำลังไปไม่น้อยตอนหลบหนีพวกหมาป่า เลยต่างหิวกันอยู่บ้าง

“ถ้ารู้งี้นะ น่าจะไปหยิบอาหารก่อน” มีคนบ่น “ถึงรถกระบะจะโดนยิงจนจำสภาพเดิมไม่ได้ พวกอาหารก็น่าจะกินได้อยู่”

“แล้วพวกเราควรทำไงต่อ ยังต้องเดินทางอีกตั้งครึ่งเดือน พวกเราจะไปหาอาหารกับน้ำดื่มจากไหน” หลิวปู้ถาม

มีคำถามนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนก็หันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ ในสายตาของทุกคน เริ่นเสี่ยวซู่เอาตัวรอดในแดนรกร้างได้อย่างน่าทึ่ง ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่ก็จับปลาตัวเขื่องได้หรอกเหรอ

เริ่นเสี่ยวซู่กลับชี้ไปที่ซากหนูตรงเท้าของตน “อยากกินเปล่า?”

ทุกคนสะอึกเงียบ ทว่าก็ทราบดีว่าถ้าถึงจุดคับขันอย่างไรก็ต้องกิน ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้

ว่าแล้วทุกคนก็ทราบดีว่าเริ่นเสี่ยวซู่ย่อมไม่อยากหาอาหารมาให้พวกตนหรอก เพราะก่อนหน้านี้ทางกลุ่มก็ไม่ได้ให้อาหารเริ่นเสี่ยวซู่เลยเช่นกัน นอกจากจะไล่เขาออกไม่พอ ยังจะล้อเลียนแถมรังแกให้เริ่นเสี่ยวซู่ลำบากอยู่ตลอดอีก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่หวังว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะช่วย

ทันใดนั้นก็เริ่มมีคนเริ่มไม่พอใจในตัวหลิวปู้ ตอนท้ายกระบะมีอาหารอยู่เต็มไปหมดทำไมไม่แบ่งให้เริ่นเสี่ยวซู่บ้างวะ ดูดิแม่*ผลออกมาเป็นยังไง

พวกเขาไม่คิดเลยว่าพวกตนจะตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็หัวเราะกันยกใหญ่ตอนที่หลิวปู้ไม่ยอมให้อาหารเริ่นเสี่ยวซู่

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มเยาะในใจ ต่างคนต่างแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน

“ตอนนี้พักกันก่อน พอถึงรุ่งสางพวกเราก็จะมุ่งออกหุบเขาไปเลย” สูเสี่ยนฉู่ตัดสินใจได้แล้ว “พอเราออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ต้องระมัดระวังให้มาก ความปลอดภัยต้องมาก่อน ค่อยพูดถึงอาหาร ทนวันสองวันไม่หิวตายหรอก”

ตอนที่อาหารในเมืองขาดแคลนขนาดหนัก เริ่นเสี่ยวซู่เคยเห็นคนกินเปลือกไม้รากไม้มาแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาถึงกับกินดินด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ตายไป

เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าถ้าคนเกิดความหิวโหยจะมีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขาอาจจะยังไม่กินหนู แต่อีกสองวัน จะให้กินหินดินทรายก็ย่อมได้

ทันใดนั้นหยางเสี่ยวจิ่นก็เดินมาหาเริ่นเสี่ยวซู่ ก่อนจะยื่นมีดให้เขา เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ “เอามาให้ฉันทำไม”

“ให้ยืม” หยางเสียวจิ่นว่า

“เงื่อนไขล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม ทั้งสองต่างเป็นคนตรงไปตรงมามาก ความรักความเกลียดในโลกใช่บังเกิดอย่างไร้เหตุผล ที่หยางเสียวจิ่นให้เริ่นเสี่ยวซู่ยืมมีดย่อมต้องมีเหตุผลเบื้องหลัง

“อาหาร” หยางเสียวจิ่นว่า

“งั้นแค่นี้ก็ไม่พอหรอกนะ” เริ่นเสียวซู่ส่ายหน้า “ฉันขอมีดเลย”

“ได้” หยางเสียวจิ่นว่า หันหลังกลับและเดินจากไป

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป แท้จริงแล้วหยางเสียวจิ่นคิดใช้มีดแลกอาหารตั้งแต่ต้น ที่ตอนแรกบอกไปว่าให้ยืม เพื่อเปิดโอกาสไว้เจรจาต่างหาก

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้หรือจะร้องไห้ดี รู้สึกว่าในอนาคตเวลาเจอหยางเสียวจิ่นต้องระวังตัวให้มากกว่านี้เสียแล้ว

เขาสำรวจมีด ขนาดเขาที่ไม่รู้เรื่องมีดนัก ก็บอกได้ทันทีว่ามันดีกว่ามีดเหล็กทุกเล่มที่เขาเคยเจอในร้านของเหล่าหวังเสียอีก

เริ่นเสี่ยวซู่เก็บมีดเข้าฝัก แล้วเอาเก็บเข้าในแขนเสื้อ ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็สะดุ้งเฮือก เงยมองบนหน้าผาทันที ทุกคนรีบมองตามเขา “ข้างบนมีอะไร”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดจบ ก็ได้ยินเสียงเหมือนเปลือกแข็งกำลังเสียดสีกันดังมาจากในหุบเขา สูเสี่ยนฉู่ส่องไฟฉายขึ้นเหนือหัว ก่อนจะเห็นแมลงโถมลงมาจากหน้าผาเป็นคลื่นทมิฬ

ไม่เคยมีใครเคยเห็นแมลงแบบนี้มาก่อน เปลือกหลังของแมลงดำนี้เป็นรูปหน้ามนุษย์ กรามแมลงเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบขณะวิ่งแล่นลงมาใส่หมู่มนุษย์ที่อยู่ตรงพื้น มันราวกับว่าได้รับคำสั่งบางอย่าง แมลงหลายตัวกระโดดออกมาจากผนังหน้าผาพุ่งตรงใส่พวกเริ่นเสี่ยวซู่

เริ่นเสี่ยวซู่ชักมีดออกมาผ่าแมลงตัวเขื่องที่กระโจนใส่เขา จากนั้นก็ตะโกนลั่น “หนี!”

“ตัวเชี่ยอะไรวะเนี่ย!” หลิวปู้กลัวแทบตายแล้ว