ตอนที่ 45 ถ้าไม่ตัดขาดจะช่วยให้นายกับเฉินเชียนโหรวจะสมหวังกันได้ยังไง!

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ข่าวการออกจากตำแหน่งของเฉินฝานซิงพริบตาเดียวก็แพร่สะพัดไปทั้งบริษัท 

 

 

ระหว่างทางกลับห้องทำงานเธอถูกคนจำนวนไม่น้อยห้อมล้อมกันเข้ามาเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ 

 

 

แต่ท่าทีของเธอยังคงหนักแน่น ไม่โอนอ่อน 

 

 

แน่นอนว่าก็มีทั้งพวกที่เข้ามาเยาะเย้ยแต่เธอก็ไม่ได้ไปให้ค่าแม้แต่น้อย 

 

 

ตอนที่เธอกลับถึงห้องทำงานอย่างทุลักทุเล เฉินเชียนโหรวและซูเหิงก็ได้มารอเธออยู่ที่นั้นก่อนแล้ว 

 

 

เฉินเชียนโหรวยืนอยู่ข้างๆ ซูเหิง เสียงนุ่มออกคำสั่งดังลอยออกมาจากห้องทำงาน 

 

 

“โต๊ะนี่ฉันไม่เอา ตู้นั้นด้วย ข้อมูลที่เกี่ยวกับการปรุงน้ำหอมฉันขอข้อมูลที่ใหม่ล่าสุด เอกสารเก่าๆ เอาไปถ่ายมาใหม่ หนังสือซื้อใหม่…” 

 

 

เธอหันมามองซูเหิงพลางเผยยิ้มอ่อนโยน “ขอโทษทีนะ พอดีฉันไม่ค่อยใช้ชอบของที่เคยผ่านมือคนอื่นมาแล้ว” 

 

 

เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว 

 

 

“ไม่เป็นไร ทำทุกอย่างตามที่ต้องการได้เลย” 

 

 

เฉินฝานซิงมองพวกเขาอย่างเยือกเย็น รู้สึกว่าวันนี้ซูเหิงกับเฉินเชียนโหรวดูขัดหูขัดตาไปหมด 

 

 

มันเป็น…ระยะห่างที่จงใจเปิดช่องว่าง 

 

 

“มัวยืนงงอะไร ยังไม่รีบย้ายไปอีก?” 

 

 

มองสองผู้ใต้บังคับบัญชา ซูเหิงเลิกคิ้วขึ้นสูงตำหนิเสียงเข้ม! 

 

 

ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างลังเล 

 

 

“พวกเธอ…” 

 

 

“อาฮุ้ย” น้ำเสียงเฉยชาลอยขึ้นมา 

 

 

สองสามคนที่อยู่ในห้องทำงานมองไปยังประตูทางเข้าอย่างพร้อมเพรียง เฉินฝานซิงเดินไปหยุดลงข้างๆ อาฮุ้ย 

 

 

“หัวหน้าเฉิน…” 

 

 

“มีไฟไหม” เฉินฝานซิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

“มี” ว่าพลางล้วงเอาไฟแช็กขึ้นมาให้เฉินฝานซิง 

 

 

เธอรับมันมาแล้วหันเดินไปเปิดตู้เอกสาร หยิบแฟ้มเอกสารทั้งออกมาเดินไปยังเบื้องหน้าของซูเหิงเพื่อให้เขามองมัน 

 

 

“นี่เป็นสูตรน้ำหอมที่ฉันวิจัยออกมาด้วยตัวเองตลอดหลายปีมานี้…ทั้งของที่เป็นโมฆะก่อนหน้านี้และของที่ยังไม่เคยใช้มาก่อนอยู่ในนี้ทั้งนั้น เห็นใช่ไหม” 

 

 

“เธอคิดจะทำอะไร” 

 

 

ซูเหิงเพ่งมองเฉินฝานซิงอย่างหวาดระแวง 

 

 

เฉินฝานซิงขมวดคิ้ว หยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาต่อหน้าซูเหิงก่อนที่พวกมันจะถูกไฟลุกไหมจนหมด 

 

 

แสงจากเปลวไฟสะท้อนลงบนใบหน้าของของทุกคนในห้องให้ดูจริงจังหนักแน่นเป็นพิเศษ 

 

 

มองจนกระทั่งแผ่นกระดาษเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน เธอจึงโยนไฟแช็กคืนให้อาฮุ้ยไปแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

“ของของ ฉัน ฉันมีสิทธิ์จะจัดการ กันไม่ให้ใครบางคนเอาไปสร้างชื่อเสียงอีก!” 

 

 

เธอว่าพลางกวาดสายตามองเฉินเชียนโหรวอย่างเยือกเย็น คาดการณ์ด้วยใบหน้าอันเ**้ยมโหด 

 

 

เฉินฝานซิงนิ่งเงียบดึงสายตากลับมากพลายบอกกับอาฮุ้ยว่า 

 

 

“ของในห้องทำงานนี้ก็โยนทิ้งให้หมดเถอะ โดนคนทำสกปรกหมดแล้ว!” 

 

 

“…ครับ” อาฮุ้ยอึ้งไปแป๊บนึงก่อนจะตอบรับ 

 

 

จากนั้นเฉินฝานซิงจึงหยิบเสื้อโค้ตและกระเป๋าออกมาจากราวแขวน ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบ 

 

 

ซูเหิงมองแผ่นหลังของคนที่ไม่เหลือเยื่อใย เขานิ่งคิดและสุดท้ายก็วิ่งตามไป เขาตามเธอมาได้ทันขณะที่เธอกำลังอยู่ที่โถงลิฟต์แล้วคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเธอ 

 

 

“ปล่อย” เธอขมวดคิ้วด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด 

 

 

เขากลับกระชับฝ่ามือให้แน่นขึ้น 

 

 

“เฉินฝานซิงระหว่างเราต้องตัดขาดกันแบบนี้จริงๆ เหรอ” 

 

 

เฉินฝานซิงออกแรงดึงมือตัวเอง ถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อออกห่างจากซูเหิง จ้องมองเขาอย่างเฉยเมยแต่อัดแน่นไปด้วยความเย้ยหยัน 

 

 

“ไม่ตัด? แล้วจะช่วยให้นายกับเชียนโหรวสมหวังได้ยังไง” 

 

 

– 

 

 

เฉินฝานซิงขับรถมุ่งตรงไปยังคอนโด ระหว่างทางก็กำลังครุ่นคิด 

 

 

นึกไปถึงตอนที่อันน่าลี่พูดเรื่องเมื่อหกปีก่อน ชื่อเสียงฉาวโฉ่มากมายเสียน้ำสักหยดก็ลอกผ่านไปไม่ได้ 

 

 

นัยน์ตาวูบไหวฉับพลัน ไม่อยากนึกถึงเรื่องเก่าๆ สูดหายใจเข้าปอดอย่างแรงแล้วเร่งความเร็วของรถ โฟล์คสวาเกน พาสสาท ซีซี คันสีดำแล่นอยู่บนถนนของเมืองด้วยความเร็วสูง 

 

 

สิ่งแรกที่ทำหลังจากก้าวเข้าห้องมานั่นคืออาบน้ำ 

 

 

คุณย่าป๋อพูดถูก ที่โสโครกแบบนั้นจะไปอาลัยทำไมอีก 

 

 

ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรนัก 

 

 

แต่ว่า เธอต้องภูมิใจในอดีตของตัวเองและจะไม่ปล่อยให้อดีตของเธอไม่ได้รับความยุติธรรม 

 

 

บางเรื่อง สุดท้ายเธอก็ไม่อาจปล่อยวางไปได้ 

 

 

ต้องมีสักวันที่เธอจะสามารถลบคำครหาให้ตัวเองในอดีตได้ 

 

 

แค่ช่วงนาทีที่นึกถึงคุณย่าป๋อ สมองก็ดันฉายภาพใบหน้าอันหล่อเหล่า 

 

 

ยังจำคำเมื่อวานที่เคยพูดไว้… 

 

 

เฉินฝานซิงสวมชุดนอนกระโปรงเดินออกมาจากห้องน้ำนั่งลงบนโซฟาพร้อมหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าขึ้นมากดดู 

 

 

ไม่มีข่าวคราว 

 

 

‘วันสองวันนี้ผมคงจะยุ่งมาก คุณพักผ่อนให้เต็มที่ เดี๋ยวผมจะโทรไป’  

 

 

เสียงในลำคอที่กระซิบอย่างอ้อยอิ่งนั้น เธอยังจำได้ชัดเจนมาถึงตอนนี้ มันช่างน่าหลงใหลราวกับต้องมนต์สะกด 

 

 

เธอเม้มปากเข้าหากัน ใบหน้าเรียบเฉยฉายแววหมองหม่น เขาคงจะยุ่งจริงๆ นั่นแหละ 

 

 

หลังจากนั้นเธอก็ต้องตกใจอีกครั้ง 

 

 

แล้วทำไม…เธอต้องมารออะไรแบบนี้ด้วย 

 

 

ส่ายศีรษะอย่างหน่ายใจ จัดการวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะกาแฟแล้วลุกขึ้นยืน 

 

 

แต่แล้วร่างนั้นก็หยุดลงกลางคันอีกครั้ง เธอจับจ้องมือถืออยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบมันขึ้นมาเดินเข้าห้องนอนไปด้วย 

 

 

– 

 

 

ชั้นแปดสิบเอ็ดของสมาคมสกุลป๋อ 

 

 

ในห้องประชุมอันอ่าถูกตกแต่งอย่างวิจิตรหรูหา 

 

 

ในเวลานั้นเองบรรยากาศข้างในกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน!