เฉินฝานซิงยกมือขึ้นห้ามปากเขาเอาไว้ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดจบ 

 

 

“นายจะเอายังไงฉันไม่สน และก็ไม่คิดจะสนด้วยเพราะถึงยังไงฉันก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี้ต่ออีกแล้ว” 

 

 

เฉินฝานซิงพูดพลางหยิบหนังสือลาออกในสมุดโน๊ตที่ก่อนหน้ายังไม่ได้ยื่นให้ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ขึ้นมาฟาดใส่บนหน้าซูเหิงเสียงดัง เพี๊ยะ 

 

 

“แผนกประชาสัมพันธ์ก็ให้คนอื่นทำไปเถอะ! ฉันไม่ทำแล้ว!” 

 

 

“หัวหน้าเฉิน!” 

 

 

“หัวหน้าเฉิน!” 

 

 

เมื่อเธอหลุดคำนั้นออกมาทั้งห้องประชุมก็ระอุขึ้น 

 

 

หลังจะที่อึ้งไป เสียงร้องขอให้เฉินฝานซิงอยู่ต่อก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ 

 

 

ยังไงประสบการณ์และความสามารถก็เป็นเรื่องสำคัญความทุ่มเททุกอย่างของเฉินฝานซิงทุกคนล้วนเห็นมากับตา ตอนนี้พวกเขาไม่สนแล้วว่าอดีตจะเป็นยังไง สนเพียงแค่จะต้องรั้งคนที่มีฝีมือเอาไว้ 

 

 

“หัวหน้าเฉินช่วยคิดให้ดีๆ ก่อน” 

 

 

“ใช่ หัวหน้าเฉิน คุณอยู่กับสกุลซูมาตั้งหลายปีจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ผ่านมือคุณมาแล้วทั้งนั้น อยู่ๆ คุณจะมาลาออกนี่…” 

 

 

“หากคุณไม่พอใจที่เฉินเชียนโหรวจะเขามาในบริษัทละก็แจ้งเรื่องนี้ในการประชุมคณะกรรมการ ให้คณะกรรมการจัดการเรื่องนี้แทนคุณก็ได้ แต่คุณอย่าไปจากสกุลซูนะ!” 

 

 

ซูเหิงกวาดตาอ่านหนังสือลาออกที่เฉินฝานซิงโยนใส่หน้าเขาเมื่อครู่ จู่ๆ ก็รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ หรือจะพูดให้ถูกต้องคือเข้ารู้สึกลนลาน 

 

 

เขากำหมัดแน่น แต่กลับพบว่ามือตัวเองกำลังสั่นเทา ประหม่าจนแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะกำมันเข้าหากันให้แน่นๆ ยังไม่มี 

 

 

ก่อนหน้านี้เขามักจะเคยชินเฉินฝานซิงที่อ่อนโยนและมีเหตุผล 

 

 

ไม่ว่าเรื่องอะไรจะต้องผ่านความคิดเห็นของเขาก่อนและเขาจะต้องมาที่หนึ่งเสมอ 

 

 

แต่ตอนนี้… 

 

 

หากเขายอมให้เธอจากไป ทางนี้คงวุ่นวายไปพักหนึ่ง 

 

 

หรือเขาจะยอมให้เป็นเช่นนั้น 

 

 

“ฝานซิง เธอน่าจะเข้าใจนะ ที่ฉันทำแบบนี้ไม่ได้เจาะจงเธอ…” 

 

 

“นายเจาะจงฉันไหมฉันไม่รู้ แต่คนอื่นเจาะจงฉันไหมฉันรู้ดี ว่าแต่มันก็ไม่สำคัญหรอกที่สำคัญคือวันนี้ฉันตั้งใจจะมาลาออกตั้งแต่แรกแล้ว” 

 

 

เธอว่าพลางหยิบสมุดโน๊ตในมือ แล้วโยนให้ผู้จัดฝ่ายบุคคลหลิวฉี ตอนนี้สองมือของเธอว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ 

 

 

“ขอให้กิจการสกุลซูจงเจริญ” 

 

 

เฉินฝานซิงเค้นประโยคนั้นออกมาอย่างเยือกเย็น ตามมาด้วยเสียงครืดของขาเก้าอี้ครูดกับพื้นและลุกออกจากที่นั่งไป 

 

 

ซูเหิงลุกลี้ลุกลนในใจ เขาโดนเฉินฝานซิงยั่วโทสะไปไม่น้อย 

 

 

“ฝานซิง เธอเป็นคนมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ เธอน่าจะรู้ว่าฉันไม่ได้หมายความว่าให้เธอออกจากบริษัท!” 

 

 

เฉินฝานซิงที่เดินไปจนถึงประตูแล้วชะงักเท้าทันที หมุนตัวกลับมามองซูเหิง ความคุกรุ่นในตาแข็งกร้าวทำให้ใจของเขากระตุกวูบอีกครั้ง 

 

 

“คนมีเหตุผล?” 

 

 

เสียงเย็นแฝงไปด้วยความเหน็บแนม “ซูเหิง จนถึงตอนนี้ยังคิดจะสวมเขาให้ฉันอยู่อีกเหรอในเมื่อการตัดสินใจทุกอย่างของนายไม่เคยผิด ส่วนฉันมันก็เป็นพวกเนรคุณไม่รู้กาลเทศะไม่ใช่เหรอ” 

 

 

ตอนนี้เธอจับประตูบานพับขนาดใหญ่ของห้องประชุม เอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น 

 

 

“แต่ก็เอาเหอะ นายจะคิดยังไงก็ช่าง หนังสือลาออกวันนี้นายจะรับก็รับ ไม่รับก็ต้องรับ! ไม่ต้องคิดจะมาตะล่อมฉันเพราะปีนั้นที่ฉันเข้าสกุลซูมาฉันยังไม่เคยเซ็นสัญญาจ้างกับนายเลย!” 

 

 

เธอพูดจบ ก็ไม่ได้สนใจความตกตะลึงและความลนลานบนใบหน้าของเขาแล้วบิดลูกบิดประตู 

 

 

ผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ ในห้องประชุมต่างพากันลุกพรวด 

 

 

“หัวหน้าเฉิน…” 

 

 

“หัวหน้าเฉินช้าก่อน…” 

 

 

ปัง!  

 

 

เสียงประตูกระแทกปิดอย่างจัง เธอเดินออกมาอย่างดุดัน เด็ดเดี่ยวและหนักแน่น 

 

 

ภายในห้องประชุมเละไม่เป็นท่า 

 

 

เฉินฝานซิงจากไปแล้วพวกเขารู้สึกเหมือนฟ้ากำลังจะถล่มลงในไม่ช้า 

 

 

ไม่มีใครยินดีกับการได้รับตำแหน่งของเฉินเชียนโหรวสักคน มากกว่านั้นยังเดือดดาลและตำหนิเธอ! 

 

 

หากไม่ใช่เพราะเธอหัวหน้าเฉินคงไม่จากไปแบบนี้!  

 

 

เฉินเชียนโหรวโกรธจนเนื้อตัวสั่น ใบหน้ารูปไข่งดงามโมโหจนหน้าเขียวปั๊ด