บทที่ 34 รับบทเป็นพ่อเลี้ยง

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 34 รับบทเป็นพ่อเลี้ยง?
พวกเขาทุกคนถูกปกคลุมด้วยประกายกระบี่สีขาว ส่องสว่างราวกับดาวตกบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

หัวหน้ากลุ่มสามคนในระดับแก่นพลังทองยืนเคียงข้างกัน และผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานอีกยี่สิบกว่าคนยืนเรียงแถวกระจายออกไปทางฝั่งซ้ายและขวา ก่อตัวขึ้นเป็นลักษณะอักษรเหริน (人)

จากการศึกษาวิชาการเหยียบกระบี่บิน การเดินทางเช่นนี้ช่วยประหยัดพลังวิญญาณได้ค่อนข้างมาก

และความจริงก็เป็นเช่นนั้น กลุ่มผู้คุมกฎยี่สิบกว่าคนล้วนแต่เหยียบอยู่บนกระบี่ด้วยความเร็วสูงสุด

พุ่งมาจากนอกรัศมีหมื่นลี้ในพริบตาเดียว

ชิง!

กระบี่ปราบมารที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังของกลุ่มผู้คุมกฎถูกชักออกจากฝักพร้อมกัน เสียงกระบี่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังกังวานชัดเจนเป็นพิเศษ

กระบี่อาคมยี่สิบสามเล่มรวมกันเป็นตาข่ายฟ้าดิน เพียงชั่วครู่ก็ปิดล้อมผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยไว้ตรงกลาง

ทันใดนั้น ประกายกระบี่พุ่งผ่าน ราวกับเทพนักรบลงมาจากสวรรค์!

……

“ขจัดมาร—สังหาร!”

ผู้บำเพ็ญแก่นพลังทองที่เป็นผู้นำตะโกนเสียงดัง จากนั้นชูกระบี่ยาวในมือขึ้น

ทันใดนั้น กระบี่อาคมของกลุ่มผู้คุมกฎราวกับได้รับแรงดึงดูด คลื่นกระบี่พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งถาโถมออกมารวมกัน

กระบี่พลังวิญญาณที่มีความยาวยี่สิบเมตรก่อตัวขึ้นกลางอากาศและฟันลงมาอย่างกะทันหัน

ทุกที่ที่คลื่นกระบี่พุ่งผ่าน พื้นดินแตกร้าว รอยกระบี่ลึกหลายฟุต!

สีหน้าของผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยเปลี่ยนไปทันที และไม่กล้าวางตัวเป็นใหญ่อีก

แก่นพลังทองที่เคยเป็นสีทองในตอนแรกมีปราณสีดำพุ่งออกมา เป็นภาพที่ดูค่อนข้างแปลกประหลาด

ในขณะเดียวกัน กลิ่นอายบนร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย

เห็นได้ชัด ตอนที่อีกฝ่ายรับมือกุ้ยกงกง

เขาไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี

“ฝ่ามือโลหิตนรกทมิฬ!”

เสียงของผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยแหบแห้ง ราวกับปีศาจร้ายที่กลับจากนรก

เขาซัดฝ่ามือออกไป ทำให้พลังทั้งหมดของแก่นพลังทองถาโถมออกไปสกัดกั้นคลื่นกระบี่

พลังฝ่ามือกลายเป็นกระแสระลอกคลื่นสีแดงเข้ม ปลดปล่อยแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งออกมา ราวกับต้องการกลืนกินทุกอย่าง

แต่น่าเสียดาย การโจมตีที่รวบรวมปราณกระบี่ของกลุ่มผู้คุมกฎยี่สิบกว่าคนแข็งแกร่งมากเกินไป

การขจัดมารนี้ราวกับสามารถทำลายทุกสิ่งที่เป็นมารนอกรีต เพียงนิดก็ล้มพังทลาย

พลังฝ่ามือวังวนของผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยสกัดกั้นได้เพียงชั่วขณะ จากนั้นระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง

พู่!

ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยเซถอยหลัง กระอักเลือดออกมากองใหญ่

สีหน้าดูซีดขาวขึ้นมาทันที

……

ผู้คุมกฎทั้งยี่สิบสามคนร่อนลงพื้นพร้อมกัน คุ้มกันเสิ่นเทียนไว้ด้านหลัง

“เฮยเสวี่ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนของลัทธิวิญญาณร้าย!

เจ้าหนีไม่รอดแล้ว อย่าขัดขืนเลยจะดีกว่า!

ท่านเซียนโปรดวางใจ มีพวกเราอยู่ที่นี่ โจรชั่วผู้นี้ทำอะไรท่านไม่ได้แน่นอน!”

ในอาณาจักรต้าเหยียนมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองไม่มาก เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าผู้คุมกฎทั้งสามรู้จักเฮยเสวี่ย

แต่ไม่ว่าความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไร หลังจากที่รู้ว่าผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยเป็นคนของลัทธิวิญญาณร้าย พวกเขาเหลือเพียงทางเลือกเดียว

นั่นก็คือ ฆ่า!

นอกจากนี้แล้ว สถานะของ ‘ท่านเซียนเสิ่นเอ้าเทียน’ ที่อยู่ด้านหลังยังสูงส่งเช่นนี้

ไม่เพียงแต่มีผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มากมายในสวนหมื่นวิญญาณที่ติดค้างบุญคุณท่านเซียน ทุกคนรู้สึกขอบคุณเขาอย่างมาก

โดยเฉพาะองค์หญิงน้อยของสวนหมื่นวิญญาณก็แอบชอบเขา ถึงขั้นยอมมอบแม้กระทั่งกระบี่วารีครามให้เขา

บุคคลระดับนี้ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นในสวนหมื่นวิญญาณ ถูกลัทธิมารลักพาตัวไป

หัวหน้าผู้คุมกฎอย่างพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำงานแล้ว

รีบเก็บข้าวของแล้วไปเสียเถอะ!

……

ด้านหลังของผู้คุมกฎเหล่านี้ ฉินเกาก็ไล่ตามมาจนทัน

รากฐานของเขาถึงขั้นเหมาะสมที่จะฝึก ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ มากกว่ากุ้ยกงกง

หลังจากที่เสิ่นเทียนสนับสนุนศิลาวิญญาณ พลังบำเพ็ญของฉินเกาพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในคืนเดียว

จากหลอมปราณขั้นหนึ่งในเวลาอันสั้นก็บรรลุถึงขอบเขตของหลอมปราณขั้นสามช่วงสูงสุด

ตอนนี้สำแดงวิชาท่าร่างของ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเร็วจนน่าตกใจ

“องค์ชาย ลุงกุ้ย พวกท่านเป็นอะไรหรือไม่!”

ฉินเกาวิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายของเสิ่นเทียน กล่าวด้วยความเป็นห่วง

กุ้ยกงกงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าว “โชคดีที่มากองสนับสนุนมาทันเวลา ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องไปพบพระสนมหลานแล้ว”

ฉินเการู้สึกผิดเล็กน้อย เกาศีรษะของตนเอง “ต้องโทษที่ข้ามาช้า”

อันที่จริง ก่อนหน้านี้ตอนเห็นผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยลักพาตัวเสี่ยวหลิงเซียน

ในใจของเสิ่นเทียนเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น

แม้โรงเตี๊ยมในสวนหมื่นวิญญาณจะไม่ใช่รังมังกรถ้ำพยัคฆ์อะไร แต่ก็ยังมีมาตรการป้องกัน

โจรระดับหลอมปราณทั่วไป จะกล้ามาลักพาตัวคนถึงในโรงเตี๊ยมได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้น เขาลักพาตัวเสี่ยวหลิงเซียนไปมีประโยชน์อะไร?

ถ้าหากเป็นการปล้นสวาท เตียงที่พร้อมใช้งานในห้อง จะไม่สะดวกและตื่นเต้นกว่าหรอกหรือ?

มันไม่ตรงกับหลักจิตวิทยาของคนโรคจิตเลย!

ยิ่งไปกว่านั้น การแสดงของผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยก็ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร

ทั้งที่แบกหญิงงามไว้บนไหล่ แต่กลับหันไปมองทางเสิ่นเทียนไม่หยุด

ก็คงจะเหลือแค่ไม่ได้ชี้หน้าเสิ่นเทียนแล้วบอกว่า รีบตามข้ามา!

ถ้าหากไม่สงสัยพฤติกรรมเช่นนี้ นิยายมากมายที่เสิ่นเทียนเคยอ่านเมื่อภพที่แล้วก็ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด

เพราะเหตุนี้ เสิ่นเทียนจึงสั่งให้ฉินเกาติดต่อกับกลุ่มผู้คุมกฎให้มาช่วย

เพราะอย่างไรการลงโทษผู้กระทำความผิดก็เป็นหน้าที่ของกลุ่มผู้คุมกฎอยู่แล้ว

ในเมื่อสามารถขอให้คนอื่นลงมือ ตนเองก็ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยง

เป็นอย่างที่คิด ความจริงได้พิสูจน์ว่าเขาคิดถูก

แต่เสิ่นเทียนก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าฉินเกาสามารถเรียกคนมาตั้งมากมายเช่นนี้

เดิมทีเขาคิดว่าสามารถเรียกผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองมาได้คนเดียวก็สุดยอดแล้ว

คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นพลังทองสามคน และระดับสร้างฐานอีกยี่สิบกว่าคนมา

เท่านี้ก็เพียงพอที่จะก่อตั้งกองกำลังที่แข็งแกร่งแล้วกระมัง!

ครั้งนี้เสิ่นเทียนรู้สึกชื่นชมมาก

เขายิ้มแล้วกล่าว “หัวหน้าผู้คุมกฎของสวนหมื่นวิญญาณไม่ใช่จะออกมากันง่ายๆ เสี่ยวเกาสามารถเชิญหัวหน้ากลุ่มมาได้ถึงสามคน ทำได้ไม่เลว”

ฉินเกากล่าวไปตามความจริง “อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ข้าแค่บอกกับสมาชิกของกลุ่มผู้คุมกฎคนหนึ่งว่าองค์ชายอาจจะมีอันตราย

จากนั้นสมาชิกกลุ่มผู้คุมกฎที่เข้ากะกลางคืนก็แห่มากันทั้งหมด แถมยังกลัวว่าตัวเองจะช้ากว่าคนอื่นด้วย

พวกเขาบอกว่าสามารถทำงานเพื่อท่านเซียน นี่เป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับการผูกวาสนา

หัวหน้ากลุ่มทั้งสามคนยังบอกอีกด้วยว่าห้ามไปบอกหัวหน้ากลุ่มคนอื่น

มีคนมามากเกินไป วาสนาก็จะลดน้อยลง!”

เสิ่นเทียนถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

เรื่องนี้ยังสามารถเอาไปเชื่อมโยงกับการผูกวาสนาได้ด้วยหรือ

มุมปากของเสิ่นเทียนกระตุกขึ้น เจ้าคนพวกนี้เพื่อให้ข้าช่วยค้นวิญญาณประเมินแร่

คงโดนปีศาจครอบงำจิตใจแล้วกระมัง!

ในตอนนั้นเอง การต่อสู้อีกด้านหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง

“สมกับที่เป็นผู้คุมกฎของสวนหมื่นวิญญาณ ค่ายกลกระบี่ขจัดมารแข็งแกร่งมาก!”

ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยในตอนนี้เสื้อผ้าฉีกขาดไปหมดทั้งตัว

บนร่างกายของเขามีบาดแผลหลายสิบแห่ง มีเลือดสีดำไหลออกจากบาดแผล ให้ความรู้สึกถึงความชั่วร้ายอย่างยิ่ง

หัวหน้าผู้คุมกฎระดับแก่นพลังทองกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เฮยเสวี่ย ยอมแพ้เสีย อย่าขัดขืนจะดีกว่า!”

“ให้ยอมแพ้?”

ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยหัวเราะแหะๆ อย่างเย็นชา “ข้าเป็นอาวุโสผู้ดูแลลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในอาณาจักรต้าเหยียน หรือพวกเจ้าคิดว่าข้าไม่มีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่เลยอย่างนั้นหรือ?”

เขาส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย จากนั้นกรีดข้อมือซ้ายของตนเองในทันใด

เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นภาพลวดลายที่แปลกประหลาดบนความว่างเปล่า

และในขณะที่เลือดกำลังหลั่งไหลเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ลวดลายก็ยิ่งดูซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยคำราม “มารดาภูตผี จงออกมา!”

……

ทันใดนั้น

มีฝ่ามือเรียวยาวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากภาพลวดลายที่ซับซ้อน

จากนั้นเป็นศีรษะ ลำคอ ร่างกาย!

สิ่งที่ปรากฏออกมาเป็นผู้หญิงที่สวมชุดแต่งงานสีแดง ผมทั้งศีรษะบดบังใบหน้า ร่างกายซีดเซียว

นางลอยอยู่กลางอากาศ

มีกลิ่นอายมืดมนน่ากลัวแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก

ส่วนด้านข้างของนาง มีวิญญาณเด็กห้อมล้อมอย่างแน่นหนา

บนตัวของเด็กเต็มไปด้วยเลือด ท่าทางดูน่อัปลักษณ์ ดุร้ายมาก

“นี่…นี่คือวิญญาณร้ายในระดับดวงจิตดรุณครึ่งขั้น มารดาภูตผีเก้าโอรส!”

เสียงที่หวาดกลัวจนสั่นของหัวหน้าผู้คุมกฎดังขึ้นจากด้านข้าง

มารดาภูตผีเก้าโอรส?

เสิ่นเทียนตะลึงเล็กน้อย หันไปมองทางมารดาภูตผีเก้าโอรส

กลับพบว่าดวงตาที่อยู่ภายใต้ผมสีดำเหล่านั้นกำลังจ้องตรงมาทางเขา

เสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้นจากความว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา

“ฮิๆ…”

“เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีมาก ในที่สุดลูกๆ ของข้า…จะมีพ่อแล้ว!”