บทที่ 33 ผู้แข็งแกร่งของลัทธิวิญญาณร้าย

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 33 ผู้แข็งแกร่งของลัทธิวิญญาณร้าย
ในระหว่างที่กำลังพูด ท่าทางของชายชุดดำดูไม่แปลกใจเลยที่เขาถูกจับได้

ทำให้เสิ่นเทียนมีความรู้สึกว่าเป้าหมายของเขาแท้จริงไม่ใช่เสี่ยวหลิงเซียน แต่เป็นเสิ่นเทียน

กุ้ยกงกงยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “โจรชั่วใจกล้ามาก ถึงขั้นกล้าคิดร้ายต่อองค์ชาย!”

“ตายซะเถอะ!”

ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างกายของกุ้ยกงกงกลายเป็นเงาสีแดง พุ่งตรงเข้าไปหาคนผู้นั้น

ชิ้งๆ!

ความเร็วของกระบี่อ่อนขนปักษาม่วงราวกับก้าวข้ามขีดจำกัด ระหว่างฟ้าดินเหลือเพียงประกายกระบี่สีม่วงนับไม่ถ้วน

ชั่วขณะหนึ่ง รอบตัวของชายชุดดำถูกรายล้อมด้วยเงาสีแดงและประกายกระบี่สีม่วง

ราวกับเรือเล็กที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยคลื่นลมพายุฝน

ทว่า!

แม้ความเร็วในการจู่โจมของกุ้ยกงกงจะเร็วดุจสายฟ้า ดุดันดั่งพายุ

กลับไม่สามารถทำอะไรชายชุดดำได้แม้แต่น้อย กลับกันโดนคลื่นพลังสายหนึ่งที่มองไม่เห็นปัดป้องการจู่โจมทั้งหมดทิ้ง

ชายชุดดำยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางคลื่นพลังที่มองไม่เห็นด้วยท่าทางที่เย่อหยิ่ง

ราวกับประกายกระบี่นับไม่ถ้วนที่อยู่รอบตัวเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน ไม่มีภัยคุกคามแต่อย่างใด

“ไม่เลว หลอมปราณขั้นเจ็ดกลับมีพลังทำลายล้างระดับนี้ หายากยิ่งนัก”

ชายชุดดำมองกุ้ยกงกง สีหน้าของเขาดูร้อนแรงใคร่รู้อย่างมาก “วิชาที่เจ้าบําเพ็ญ ต้องเป็นวิชาพิเศษแน่นอน! ”

“มอบมันให้ข้า ข้าสามารถปล่อยให้เจ้าตายอย่างไม่ต้องทรมาน!”

ทันทีที่สิ้นเสียง มีประกายแสงสีทองพุ่งออกจากจุดตันเถียนของชายชุดดำ

ดวงจิตต้นสีทองที่มีขนาดเท่าดวงตามังกรปรากฏขึ้นอย่างเชื่องช้า

ในขณะเดียวกัน แรงกดดันมหาศาลที่พร้อมจะขยี้ทุกอย่างประทุขึ้น ถาโถมออกมาราวกับคลื่นมหาสมุทรที่พลุ่งพล่าน

ทันใดนั้น กุ้ยกงกงโดนจู่โจมต่อเนื่องอย่างรุนแรง ร่างกายลอยกระเด็นออกไป

เขากระอักเลือดออกจากปากในทันที สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส

“ขอบเขตของแก่นพลังทอง เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญระดับแก่นพลังทอง!”

สีหน้าของกุ้ยกงกงปรากฏให้เห็นความสิ้นหวัง พยายามฝืนลุกขึ้นยืน “องค์ชายรีบหนีไป บ่าวจะขวางเขาเอาไว้เอง!”

เสิ่นเทียนส่ายศีรษะอย่างช้าๆ

ผู้บำเพ็ญระดับแก่นพลังทองสามารถควบคุมกฎเกณฑ์ของขอบเขตพื้นที่

เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับนี้ การหนีเป็นเพียงเรื่องตลก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนตรงหน้าจงใจปกปิดพลังบำเพ็ญ เห็นได้ชัดว่าวางแผนมานานแล้ว

ชายชุดดำยิ้มอย่างดูถูก “เลิกดิ้นรนได้แล้ว ตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้าโดนล่อออกมาจากสวนหมื่นวิญญาณ ชะตากรรมถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว!”

“ข้าได้วางค่ายกลบังตาสวรรค์ไว้ที่นี่แล้ว จะไม่มีใครสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของที่นี่”

ชายชุดดำหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกจากเสื้อตรงหน้าอก จากนั้นหยิบลูกกลอนโอสถออกมาหนึ่งเม็ดจากด้านใน ยิ้มอย่างชั่วร้าย

“แหะๆ เสิ่นเอ้าเทียน? ความสามารถในการค้นวิญญาณประเมินแร่ไม่เลว แต่น่าเสียดายที่พลังบำเพ็ญต่ำเกินไป”

“เดิมทีข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นผู้วิเศษที่เก่งกาจไม่ยอมเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง”

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่มีพลังบำเพ็ญแม้แต่น้อยนิด”

“ในเมื่อเจ้ายืนกรานว่าเจ้ากับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงทำได้แต่ต้องฝืนแสวงวาสนาแล้ว”

“ขอเพียงกลืน ‘ลูกลอนควบคุมจิต’ เม็ดนี้ลงไป เจ้าก็จะจงรักภักดีต่อลัทธิศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นบริวารของข้า”

“ถึงเวลานั้น อิทธิพลของลัทธิข้าในอาณาจักรต้าเหยียนจะต้องขยายอย่างรวดเร็ว ฮ่าๆๆๆ!”

มองชายชุดดำที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสิ่นเทียนครุ่นคิด

เขาจำได้ว่าเคยมีคนชื่อเฮยเสวี่ย ซึ่งเป็นผู้จริงแท้ในระดับแก่นพลังทองมาเซ้าซี้กับตนเองไม่เลิก ต้องการให้เขาช่วยค้นวิญญาณประเมินแร่ให้ได้

เหนือศีรษะที่อับโชคของเขาไม่มีภาพโชคลิขิตปรากฏให้เห็นเลยสักนิด

ดังนั้นเสิ่นเทียนจึงปฏิเสธเขา

คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ไม่มีทางเลือกอื่นจนยอมเสี่ยง วางแผนทำให้เสิ่นเทียนกลายเป็นหุ่นเชิดของเขา

……

“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์?”

เสิ่นเทียนกล่าวถามด้วยความสนใจ “อาณาจักรต้าเหยียนตั้งอยู่ภายใต้เขตปกครองของแดนเทวาดาวประกายพรึก ส่วนแดนเทวาดาวประกายพรึกเป็นแดนบริวารของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์”

“ดูเหมือนในรัศมีหนึ่งร้อยลี้จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์อะไรนี่หรอกกระมัง!”

ได้ยินเสิ่นเทียนสงสัยการดำรงอยู่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ สีหน้าของผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยเคร่งขรึมลงทันที

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “ก็แค่แดนเทวาดาวประกายพรึก นับประสาอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าลัทธิวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้า?”

“ในวันที่ลัทธิวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของข้าขึ้นเป็นราชา ถึงเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็เป็นได้เพียงหมูหมากาไก่เท่านั้น สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย!”

คำพูดของผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยทำให้สีหน้าของกุ้ยกงกงยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่

“ลัทธิวิญญาณศักดิ์สิทธิ์? หรือว่าเป็นลัทธิวิญญาณร้าย!”

“ที่แท้เจ้าหมอนี่เป็นสาวกของลัทธิวิญญาณร้าย!”

ในโลกบำเพ็ญเซียนมีสำนักพรรคลัทธินับไม่ถ้วน เฉพาะดินแดนบูรพาก็มีสิบสองแดนศักดิ์สิทธิ์ สามสิบหกถ้ำแดนเทวาและเจ็ดสิบสองแดนผาสุก

ตามหลักแล้วสำนักเหล่านี้อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว ความสัมพันธ์ของแต่ละกองกำลังค่อนข้างซับซ้อน

ผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์เจ้าเป็นสหายของอาวุโสแดนเทวาของข้า

สตรีศักดิ์สิทธิ์แดนผาสุกของข้าเป็นลูกบุญธรรมของเจ้าสำนักแดนเทวา

เอาเป็นว่าดูจากภายนอกแล้วทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว

นอกจากสำนักเซียนพรรคคุณธรรมเหล่านี้ ยังมีกองกำลังบำเพ็ญมารที่หลบซ่อนอาศัยอยู่ในเงามืดบางส่วน

และลัทธิวิญญาณร้ายก็คือลัทธิที่ดุร้ายและบ้าคลั่งที่สุดในบรรดากองกำลังบำเพ็ญมารทั้งหมด ครั้งหนึ่งเคยรุกรานแดนศักดิ์สิทธิ์!

ในขณะที่สาวกของลัทธิวิญญาณร้ายฝึกบำเพ็ญ น้อยครั้งที่จะเผาผลาญศิลาวิญญาณ แต่พวกเขาเลือกที่จะสังเวยโลหิต

พวกเขากลืนกินเลือดบริสุทธิ์และดวงวิญญาณของคนธรรมดาหรือผู้บำเพ็ญเซียน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตนเอง

แม้วิธีการฝึกบำเพ็ญเช่นนี้จะส่งผลให้รากฐานไม่มั่นคง พลังวิญญาณไม่คงที่

แต่การฝึกบำเพ็ญในช่วงต้นค่อนข้างเร็ว และเผาผลาญศิลาวิญญาณน้อยมาก

ถ้าหากทำการหลอมศัสตราวุธมารที่ชั่วร้ายอย่าง ‘ร่มทารกมาร’ ‘ธงหมื่นวิญญาณ’ อะไรพวกนี้ด้วย ถึงขั้นสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ในระดับเดียวกันเสียเปรียบมาอย่างมาก

เนื่องจากวิธีการฝึกบำเพ็ญของลัทธิวิญญาณร้ายเป็นอันตรายต่อทั่วหล้า ผู้คนในโลกบำเพ็ญเซียนคอยเฝ้าจับตาดูมาโดยตลอด

เมื่อใดที่มีคนของลัทธิวิญญาณร้ายปรากฏตัว จะต้องถูกการผนึกกำลังของสำนักบําเพ็ญเซียนสังหารแน่นอน

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนที่เลือกจะเข้าร่วมกับลัทธิวิญญาณร้ายอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะพวกคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ยึดมั่นในคุณธรรม มักจะโดนชักจูงได้ง่าย

หลายปีมานี้ ทำให้กองกำลังใหญ่แต่ละฝ่ายปวดหัวมาโดยตลอด

“ที่แท้เจ้าเป็นคนของลัทธิวิญญาณร้าย”

เสิ่นเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าว “เป้าหมายของเจ้าคือข้า ปล่อยลุงกุ้ยกับเสี่ยวหลิงเซียนเถอะ!”

ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “แหะๆ เช่นนี้คงจะไม่ได้ พวกเขารู้ตัวตนของข้าแล้ว”

“ส่วนลูกกลอนควบคุมจิตก็มีเพียงเม็ดเดียว นอกจากเจ้า ที่เหลืออีกสองคนต้องตายทั้งหมด!”

กล่าวจบ ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยเหลือบมองเสี่ยวหลิงเซียนที่หมดสติอยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก “ผู้หญิงคนนี้งดงามมาก น่าเสียดายยิ่งนัก!”

“เจ้าหนู เจ้าว่าข้าควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะฆ่าปิดปากนางหรือไม่?”

“เจ้าคงไม่ถือสาหรอกกระมัง!”

ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยจ้องเสิ่นเทียน ราวกับกำลังคาดหวังที่จะได้เห็นความโกรธบนใบหน้าของเขา

ทว่าเขาต้องผิดหวัง

บนใบหน้าของเสิ่นเทียนปรากฏเพียงความจำใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่พิจารณาข้อเสนอแนะของข้า?”

ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยยิ้มอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “เจ้าในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์มาคุยเงื่อนไขกับข้า พวกเขาต้องตายแน่!”

เสิ่นเทียนถอนหายใจ กล่าวอย่างโล่งอก “เป็นอย่างที่คิด ต้องเช่นนี้สิถึงจะเป็นโลกบำเพ็ญเซียนตามภาพความทรงจำของข้า!”

“เสี่ยวเฮย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกปลื้มใจมาก”

ท่าทีของเสิ่นเทียนนิ่งสงบ ทำให้ผู้จริงแท้เฮยเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย

ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีถาโถมเข้าจิตใจ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ “เสแสร้งทำตัวลึกลับ เจ้าคิดว่าพวกเจ้าในตอนนี้สามารถพลิกสถานการณ์หรือ?”

เสิ่นเทียนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากุ้ยกงกงอย่างเชื่องช้า จากนั้นประคองเขาลุกขึ้น

เขายิ้มแล้วกล่าว “เฮยเสวี่ย หรือเจ้าไม่อยากรู้เลยหรือว่าสหายอีกคนของข้าไปไหนแล้ว?”

คำพูดประโยคนี้ของเสิ่นเทียน ทำให้สีหน้าของเฮยเสวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที

ใช่แล้ว!

ข้างกายของเขามีผู้ติดตามสองคน

เหตุใดจึงมาเพียงคนเดียว แล้วอีกคนล่ะ!

ความคิดเช่นนี้เพิ่งผุดขึ้นในใจของเฮยเสวี่ย จากนั้นได้ยินเสียงฉีกอากาศดังขึ้นจากระยะไกลบนท้องฟ้า

ฟิ้ว!

ฟิ้วฟิ้ว!

ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!

ผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มผู้คุมกฎในชุดนักพรตเต๋าสีขาวเหยียบอยู่บนกระบี่

ปรากฏกายขึ้นทีละคนกลางอากาศจากจุดที่อยู่ไม่ไกลออกไป!

…………………………………………….