บทที่ 32 โชคลิขิตของเสี่ยวหลิงเซียน

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 32 โชคลิขิตของเสี่ยวหลิงเซียน
ลุงกุ้ยไม่รอช้า รีบเรียกศิลาวิญญาณออกจากแหวนโลกาสวรรค์ นำไปมอบให้เสิ่นเทียน

เสิ่นเทียนสูดหายใจเข้าลึกๆ โคจรวิชาทักษะหลอมกายคบเพลิง เริ่มดูดทรัพย์พลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง

ถ้าหากเป็นวิชาของศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทอง เสิ่นเทียนไม่กล้าทำเรื่องที่บ้าบิ่นเช่นนี้แน่นอน

การดูดซับพลังวิญญาณที่ไม่ผ่านการหลอมรวม ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย

แต่หลอมกายเทพมารไม่เหมือนกัน พลังวิญญาณที่โดนเสิ่นเทียนดูดซับ มันไม่ได้เข้าไปในจุดตันเถียนของเขา

แต่มันไหลเวียนไปตามกล้ามเนื้อทั่วร่างของเสิ่นเทียนตามลมหายใจของเขาอย่างต่อเนื่อง

พลังวิญญาณเหล่านั้นกำลังกัดกร่อนและจู่โจมเสิ่นเทียน

มันเหมือนกับนำเหล็กชั้นดีไปตีและหลอมเป็นร้อยรอบ ทำให้กล้ามเนื้อของเสิ่นเทียนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

และในขณะที่กำลังกัดกร่อนและจู่โจม ก็มีพลังวิญญาณจำนวนมากตามถังยาถูกดูดซับเข้าไปในกล้ามเนื้อของเสิ่นเทียน

เสิ่นเทียนสามารถสัมผัสได้ ทั่วร่างของตนเองราวกับกำลังชาร์จแบตฯ

เซลล์ทุกเม็ดในร่างกายกำลังร้องเต้นระบำด้วยความเจ็บปวดอย่างมีความสุข

เขาตระหนักได้ว่าตนเองกำลังเข้าใกล้ขีดจำกัดชั้นนั้นขึ้นเรื่อยๆ!

การกระตุ้นที่รุนแรงทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมาก

สิ่งสกปรกในร่างกายถูกขับออกมาตามเม็ดเหงื่อ

ร่างกายของเสิ่นเทียนกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกเช่นนั้นมันลึกลับและแปลกมาก

ที่แท้ความรู้สึกของการบำเพ็ญเป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนมากมายคลั่งไคล้การบำเพ็ญ!

……

ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน!

ศิลาวิญญาณสองร้อยก้อน!

ศิลาวิญญาณสามร้อยก้อน!

ศิลาวิญญาณสี่ร้อยก้อน!

ศิลาวิญญาณห้าร้อยก้อน!

ใช้เวลาทั้งคืนเผาผลาญศิลาวิญญาณไปห้าร้อยก้อน

ช่วงรุ่งสาง ดวงจันทร์ลาลับขอบฟ้า ดวงดาวมืดมนลง ในที่สุดเสิ่นเทียนก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว

หลังจากทะลวงขีดจำกัด ร่างกายของเขาเข้าสู่สภาวะใหม่ทั้งหมด

หลอมกายเทพมาร หลอมกายขั้นหนึ่ง!

เขายกมือมากำหมัดแน่นอย่างเชื่องช้า รู้สึกว่าร่างกายของตนเองในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

ซ่า!

เสิ่นเทียนลุกขึ้นจากถังไม้ น้ำยาที่อยู่ในถังไม้กลายเป็นสีเขียวอ่อน

เห็นได้ชัด ฤทธิ์ของยาโดนดูดซับไปเกือบหมดแล้ว

……

“ลุงกุ้ย รับหมัดของข้า!”

เสิ่นเทียนหัวเราะด้วยความพอใจ ชกหมัดไปทางลุงกุ้ยที่อยู่ด้านข้างอย่างกะทันหัน

ได้ยินเพียงเสียงของกระแสลมดังวูบ หมัดของเสิ่นเทียนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

ปัง!

ลุงกุ้ยยกฝ่ามือซ้ายขึ้น รับหมัดของเสิ่นเทียนเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ

แต่ดูจากสีหน้าที่ตกตะลึงของเขา เห็นได้ชัดว่าพลังหมัดนี้เกินความคาดหมายของเขา

“เป็นพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก” กุ้ยกงกงถอนหายใจแล้วกล่าว “สมกับที่เป็นหลอมกายเทพมาร ไร้เทียมทานในการต่อสู้ระยะประชิด!”

เสิ่นเทียนยิ้มแล้วกล่าว “เป็นอย่างไรบ้าง ลุงกุ้ย?”

กุ้ยกงกงพยักหน้าชื่นชม “พลังหมัดเกือบหนึ่งพันชั่ง เทียบเท่าหลอมปราณขั้นสี่ ถ้าหากองค์ชายสู้กับหลอมปราณขั้นหนึ่งทั่วไป คิดว่าองค์ชายน่าจะชนะ!”

แม้ว่าการฝึกปราณของหลอมปราณแก่นพลังทองสามารถปลดปล่อยพลังวิญญาณสู่ภายนอก ระยะของการจู่โจมค่อนข้างกว้าง

แต่การฝึกกายของหลอมกายเทพมารสามารถสู้หนึ่งต่อสิบ แข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน

นอกเสียจากจะเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของศาสตร์แก่นพลังทอง ถึงจะสามารถต้านทานได้

พลังการต่อสู้ของเสิ่นเทียนในเวลานี้เพียงพอที่จะสยบหลอมปราณขั้นหนึ่ง

“ดูเหมือน ‘ทักษะคบเพลิงหลอมกายเทพมาร’ ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ข้าคิด”

มุมปากของเสิ่นเทียนเผยอขึ้น ตำราราคาห้าตำลึงเงินเล่มนี้ก็มีประโยชน์พอสมควร

เพียงแต่ตอนที่ฝึกบำเพ็ญ เผาผลาญทรัพยากรมากเกินไป

ศิลาวิญญาณห้าร้อยก้อน บวกกับการแช่น้ำสมุนไพรที่มีราคาแพงเหล่านั้น มูลค่าโดยรวมเกินศิลาวิญญาณแปดร้อยก้อน

ใช้ศิลาวิญญาณไปถึงแปดร้อยก้อน ถึงจะสามารถทะลวงบรรลุระดับแดนหลอมกายขั้นหนึ่ง

เปลี่ยนเป็นหลอมปราณแก่นพลังทอง ผู้อื่นสามารถฝึกบำเพ็ญถึงระดับหลอมปราณขั้นเก้าแล้ว!

การเผาผลาญที่มากกว่าถึงสิบเท่า สามารถเอาชนะระดับเดียวกันอย่างราบคาบ เช่นนี้ก็ไม่ถือว่าเกินไป

“ไม่รู้ว่าการเผาผลาญของทักษะหลอมกายเทพมารอย่างอื่นจะน่ากลัวเช่นนี้หรือไม่”

“น่าเสียดาย ไม่มีทักษะหลอมกายเทพมารอย่างอื่นในวังหลวง”

เสิ่นเทียนส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ

หากไม่ได้เป็นเพราะตนเองได้รับการปลดผนึก สามารถหาเงินด้วยการค้นวิญญาณประเมินแร่อย่างต่อเนื่อง คงไม่มีปัญญาฝึกวิชาแขนงนี้

ทักษะคบเพลิงหลอมกาย ที่กำลังเผาผลาญมันใช่เชื้อเพลิงที่ไหนกัน

นั่นมันเงินทั้งนั้นเลยนะ!

……

“ดูเหมือนตอนนี้สามารถฝึกทักษะหลอมกายเทพมารได้จริง”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ฝึกมันไปชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน!”

เสิ่นเทียนเช็ดตัวให้แห้งแล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่

ร่างกายที่ดูแล้วถือว่าผอมบางในตอนแรก ในเวลานี้ดูสูงใหญ่ขึ้นไม่น้อย

รูปร่างดูสมส่วนยิ่งขึ้น ช่วยทำให้รูปลักษณ์ของเขายิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เสิ่นเทียนกลับไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อยนิด

กลับกัน รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

“ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ออกไปหาอะไรกินหน่อย จากนั้นไปอาศัยโชควาสนาของคนอื่นต่อ!”

เสิ่นเทียนหยิบป้ายขึ้นมาเตรียมออกจากที่พัก

ทันใดนั้น มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นจากห้องด้านข้าง

“ช่วยด้วย!”

ทันทีที่เสียงดังขึ้น มีคนพุ่งทะลุหน้าต่างออกมา

วิ่งอยู่ในความมืด วิ่งเข้าวิ่งออกตามตรอกซอกแล้วหายลับตาไป

นอกจากนี้ บนไหล่ของคนผู้นั้นยังแบกผู้หญิงไว้คนหนึ่ง

……

“นั่นมันแม่นางหลิงเอ๋อร์!”

สีหน้าของกุ้ยกงกงเปลี่ยนไปเล็กน้อย “องค์ชาย ตามหรือไม่?”

สีหน้าของเสิ่นเทียนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน รีบกล่าว “ต้องตามอยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับนางไม่ได้เด็ดขาด!”

กุ้ยกงกงยิ้ม องค์ชายทรงมีความรู้สึกดีต่อเสี่ยวหลิงเซียนอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย

คราวนี้แม่นางเสี่ยวหลิงเซียนประสบภัยอันตราย เก็บซ่อนความรู้สึกไม่อยู่แล้วกระมัง!

สำหรับคนที่ลักพาตัวเสี่ยวหลิงเซียน กุ้ยกงกงไม่ได้กังวลเรื่องนี้

เพราะเท่าที่เขาสังเกต พลังบำเพ็ญของคนผู้นั้นอย่างมากก็อยู่ระดับหลอมปราณขั้นเจ็ดหรือแปด

กุ้ยกงกงที่ฝึกบำเพ็ญ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ มั่นใจว่าสามารถฆ่าคนผู้นั้น!

การตกอยู่ในอันตรายครั้งนี้ของเสี่ยวหลิงเซียนสามารถทดสอบจิตใจขององค์ชาย ก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย

นึกถึงตรงนี้ กุ้ยกงกงรีบสำแดงวิชาท่าร่าง พาเสิ่นเทียนไล่ตามคนผู้นั้นไป

……

เสิ่นเทียนไม่รู้ความคิดที่อยู่ในใจของกุ้ยกงกง

ที่ท่าทางของเขาดูร้อนใจในตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นเพราะชอบเสี่ยวหลิงเซียน

แต่ในฐานะที่เป็นเยาวชนดีเด่นที่ได้รับการปลูกฝังค่านิยมจากสังคมนิยมในโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

เสิ่นเทียนมีคุณสมบัติของผู้ดีและกล้าทำในสิ่งที่ถูก ไม่สามารถนิ่งเฉยเมื่อมีคนเดือดร้อน

ก็ได้ ที่พูดทั้งหมดมาเป็นแค่เรื่องไร้สาระ

เหตุผลที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะเสิ่นเทียนเห็นภาพเหนือศีรษะของเสี่ยวหลิงเซียน

ใช่แล้ว

เช้าไม่มีภาพปรากฏ ดึกไม่มีภาพปรากฏ

เหนือศีรษะของเสี่ยวหลิงเซียนดันมีภาพของโชคลิขิตปรากฏขึ้นระหว่างโดนลักพาตัว

สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่าการถูกลักพาตัวไปครั้งนี้ของเสี่ยวหลิงเซียน ตามหลักแล้วจะไม่ประสบเหตุการณ์อันตราย

กลับกัน อาจจะพบโชคลิขิตก้อนใหญ่!

……

โชคลิขิตของผู้มีโชคอันประเสริฐที่เป็นวงรัศมีสีแดง เสิ่นเทียนเพิ่งเคยพบทั้งหมดสองครั้ง

ครั้งแรกคือ ‘คัมภีร์มารสู่สุริยัน’ ของฉินเกา ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกสืบทอดสูงสุดของโลกขันที นำคัมภีร์จักรพรรดิสุริยันมาก็ไม่แลก

ส่วนอีกครั้งหนึ่งคือเมล็ดน้ำเต้าเซียนเจ็ดสมบัติของหลี่เหลียงเอ๋อร์ ขึ้นชื่อว่าสามารถพิทักษ์สำนักเซียนได้หลายชั่วอายุคน

สิ่งสำคัญที่สุดคือโชคลิขิตทั้งสองครั้งทำให้กลิ่นอายแห่งความอับโชคเหนือศีรษะของเสิ่นเทียนสลายไปเยอะมาก

ตามการคาดการณ์ของเสิ่นเทียน โชคลิขิตระดับนี้มาอีกเพียงแค่ครั้งสองครั้ง

เขาก็จะสามารถชำระล้างความอับโชคได้อย่างสมบูรณ์!

ถึงเวลาอยากทำอะไรก็ไปทำอย่างนั้น อยากสนุกอย่างไรก็ไปสนุกอย่างนั้น

มีดเหนือศีรษะที่ไม่รู้ว่าจะตกลงมาเมื่อไหร่ก็หายไปแล้ว

ความรู้สึกเช่นนั้น แค่นึกถึงก็รู้สึกสุดยอดแล้ว

ดังนั้นข้าต้องอาศัยโชคลิขิตของเสี่ยวหลิงเซียนในครั้งนี้ให้ได้อย่างแน่นอน!

……

หลังจากกุ้ยกงกงสำแดงวิชาท่าร่างออกมา เสียงกระแสลมพัดผ่านข้างหูของเสิ่นเทียนอย่างต่อเนื่อง

ร่างเงาที่กำลังแบกเสี่ยวหลิงเซียนตรงหน้าก็ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้น

ในที่สุด กุ้ยกงกงตามเขาจนทันตรงขอบหน้าผาด้านตะวันตกของสวนหมื่นวิญญาณ

เขาเป็นผู้ชายที่สวมชุดพรางตัวสีดำ มีประกายที่เยือกเย็นแลบผ่านแววตา

“เจ้าโจรชั่ว ปล่อยแม่นางหลิงเอ๋อร์เดี๋ยวนี้!”

กุ้ยกงกงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ยืนขวางอยู่ตรงหน้าของคนผู้นั้น

กระบี่อ่อนสีม่วงที่อยู่ตรงเอวออกจากฝักทันที มีแสงที่เย็นยะเยือกวูบผ่าน

นี่คือกระบี่อ่อนขนปักษาม่วงที่เสิ่นเทียนใช้ศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนเพื่อซื้อมันมอบให้กุ้ยกงกงโดยเฉพาะ

ภายใต้การควบคุมของพลังวิญญาณ กระบี่เล่มนี้สามารถโค้งงอไปตามทิศทางที่สลับซับซ้อนและยากที่จะคาดเดา

ก่อนที่กุ้ยกงกงจะทะลวงถึงระดับสร้างฐานจนสามารถควบคุมกระบี่สังหารศัตรู กระบี่อ่อนเช่นนี้เหมาะสมกับเขาที่สุด

สามารถกล่าวได้ว่ามีกระบี่เล่มนี้อยู่ในมือ กุ้ยกงกงคือตัวฉกาจในบรรดาผู้ที่อยู่ในระดับแดนหลอมปราณทั้งหมด!

ทว่าเผชิญหน้ากับกุ้ยกงกง ชายชุดดำผู้นั้นกลับดูสงบนิ่งมาก และยังแสดงสีหน้าดูถูก

เขาโยนเสี่ยวหลิงเซียนลงด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นหันไปมองทางเสิ่นเทียนแล้วยิ้ม

“ฮ่าๆ วีรบุรุษยากที่จะฝ่าด่านหญิงงาม เป็นอย่างที่ข้าคิดเลย”

“เสิ่นเอ้าเทียน เจ้าตามมาจริงๆ ด้วย!”

………………………………………………