ตอนที่ 46 ใช้วิธีการกระตุ้นเพื่อให้เห็นผล (1)

ปฏิญญาค่าแค้น

“ด้วยภรรยาของเจ้าเมืองมีอาการเจ็บป่วยมายาวนาน จึงขอเรียนเชิญท่านหมอชื่อดัง หากให้การรักษาภรรยาของเจ้าเมืองได้ ท่านเจ้าเมืองพร้อมให้รางวัลตอบแทนเป็นจำนวนห้าสิบเหลี่ยงทอง…” เจ้าหน้าที่หลวงท่านหนึ่งกำลังยืนอ่านประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดอยู่ด้านข้างประกาศที่ติดเอาไว้ 

 

 

กลุ่มคนที่กำลังส่งเสียงจอแจต่างก็ถูกจำนวนเงินห้าสิบเหลี่ยงทองทำให้ตกตะลึงกันไปถ้วนหน้า 

 

 

“ไม่กี่วันก่อนรางวัลตอบแทนยังเป็นแค่สิบทองอยู่เลย พอมาวันนี้ขึ้นเป็นห้าสิบทองเชียวรึ…” 

 

 

“หรือว่าอาการของภรรยาเจ้าเมืองไม่ค่อยดีเสียแล้ว ดังนั้นท่านเจ้าเมืองจึงได้ร้อนอกร้อนใจขึ้นมา…” 

 

 

“เฮ้อ! น่าเสียดายที่พวกเราไม่รู้ทักษะการรักษา! มิเช่นนั้นก็จะลองไปดูเผื่อโชคดีรักษาได้หาย ตั้งห้าสิบทองเชียว ทำให้สบายไปได้ทั้งชีวิตเลย…” 

 

 

หลินหลันลองคำนวณอยู่ชั่วครู่ ห้าสิบเหลี่ยงทองเท่ากับประมาณห้าร้อยเหลี่ยงเงิน ช่างใจปล้ำเสียจริง! แต่ถึงอย่างไร ต่อให้ไม่มีเงินรางวัลตอบแทนจำนวนมากมาย นางก็อยากที่จะไปดูอาการเสียหน่อยอยู่ดี ระหว่างนั้นเองจึงฝ่าฝูงชนเข้าไปแล้วเอ่ยถามเจ้าหน้าที่หลวงผู้นั้น “ใต้เท้า หากรักษาไม่หายจะถูกโบยไหม” 

 

 

เจ้าหน้าที่หลวงผู้นั้นมองหลินหลันอย่างสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่านางแต่งตัวแบบเรียบง่ายทว่ากลับทำจากเนื้อผ้าชั้นเยี่ยม จึงคิดว่านางน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาสามัญทั่วไป แล้วกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางพูดตลกอะไรเช่นนี้ ท่านเจ้าเมืองซื่อสัตย์และรักใคร่ประชาชนแล้วจะเที่ยวโบยตีผู้คนอย่างไร้ซึ่งเหตุผลไปได้อย่างไรกัน” 

 

 

หลินหลันค่อยวางใจลงได้หน่อย และอยากลองสู้สักตั้ง “เช่นนั้นประกาศตามหาหมอนี่ ข้าขอตอบรับแล้วกัน” 

 

 

ผู้ประสงค์ดีคนหนึ่งกล่าวเตือนขึ้น “แม่นาง อาการป่วยของภรรยาเจ้าเมือง ท่านหมอทั่วสารทิศในเมืองซูโจวแห่งนี้ล้วนจนปัญญา คงไม่อาจรักษากันได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอก” 

 

 

หลินหลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถึงจะรักษาไม่หายก็ไม่ได้ถูกโบยเสียหน่อย ลองไปดูก็คงไม่เป็นไร อีกอย่างการที่ท่านหมอแห่งเมืองซูโจวรักษาไม่หายนั่นไม่ได้หมายความว่าข้าเองก็จะรักษาไม่หายเช่นกันหนิ!” 

 

 

เจ้าหน้าที่หลวงผู้นั้นมองดูหลินหลันท่านนี้ซึ่งดูมีอายุเยาว์วัย ในใจจึงอดที่จะดูหมิ่นดูแคลนไม่ได้ ทว่าเมื่อได้ยินน้ำเสียงของหลินหลัน…แล้วคิดอยู่ในใจ ประกาศนี้ติดเอาไว้เป็นระยะเวลาเกือบจะสองเดือนแล้ว เมื่อเดือนแรกยังมีผู้เสนอตัวขึ้นมาหนึ่งราย ทว่าในเดือนนี้กลับไม่มีผู้ใดกล้าเสนอตัวขึ้นมาอีกเลย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีใครสักคนโผล่เข้ามา เอาเป็นว่าลองดูหน่อยแล้วกัน อีกอย่างท่านเจ้าเมืองก็ไม่ได้กล่าวไว้ว่าไม่รับหมอหญิงซึ่งมีอายุเยาว์วัย 

 

 

“เช่นนี้แล้ว ขอเรียนเชิญแม่นางตามข้ามา” เจ้าหน้าที่หลวงกล่าวพลางยกมือขึ้นให้การคาราวะ 

 

 

หลินหลันพูดขึ้น “เดี๋ยวก่อน ข้ายังมีเพื่อนร่วมทางอยู่ทางด้านนู้นอีกสองคน” 

 

 

หยินหลิ่วและเหวินซานเห็นเส้าฟูเหรินเสนอตัวรับประกาศนั่น ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล เมื่อครู่พวกเขายังได้ยินผู้คนพากันพูดคุยว่า อาการป่วยของภรรยาเจ้าเมืองท่านนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก แล้วเส้าฟูเหรินจะรับมือไหวหรือ 

 

 

หลินหลันหยักคิ้วขยิบตามองพวกเขาทั้งสองคนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด! รักษาไม่หายก็ใช่ว่าจะถูกโบยเสียหน่อย” 

 

 

เจ้าหน้าที่หลวงนึกตลกในคำพูดของนาง “แม่นางแค่ตั้งใจทำการรักษาฮูหยินให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ต่อให้รักษาไม่หาย เจ้านายของข้าก็จะให้ค่าตอบแทนในการตรวจวินิฉัยแก่ท่านด้วยอยู่ดี” 

 

 

“แม่นางอะไรกัน นี่คือเส้าฟูเหรินแห่งตระกูลข้าต่างหาก” หยินหลิ่วกล่าวอย่างโต้แย้ง 

 

 

กุ้ยซ่าวเดินเข้าไปยังที่ทำการไปรษณีย์ของเมืองซูโจว 

 

 

“ท่านต้าเหยีย [1] เมื่อครู่ผู้หญิงท่านนั้นมาส่งจดหมายใช่ไหมเจ้าคะ” 

 

 

เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เงินหน้าขึ้นมองกุ้ยซ่าวภายใต้ท่าทีเย็นชา “มาที่แห่งนี้หากมิใช่เพื่อส่งจดหมายแล้วจะมาทำอะไรได้อีก” 

 

 

“เช่นนั้น…รบกวนท่านช่วยนำจดหมายนั้นมาให้ข้าดูหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ” ขณะที่กุ้ยซ่าวเอ่ยก็แอบนำเงินวางไว้ด้านข้างมือซ้ายของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ 

 

 

เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำเงินดังกล่าวซ่อนเข้าไปไว้ในแขนเสื้อได้อย่างแนบเนียน พลางขยับไปชั่งน้ำหนักดู ก่อนจะเผยสีหน้าที่ค่อนข้างพึงพอใจ “กฎระเบียบของที่นี่เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี…ดูได้เพียงครู่เดียวเท่านั้นล่ะ!” 

 

 

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ…” กุ้ยซ่าวเอ่ยตอบรับซ้ำๆ 

 

 

เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์หยิบจดหมายนั้นออกมา 

 

 

กุ้ยซ่าวกวาดสายตามองลงบนหน้าซองจดหมาย ซึ่งมันถูกเขียนเอาไว้ว่า ตรอกโป๋ซู่ จวนเยี่ย เส้าฟูเหรินหวัง…กุ้ยซ่าวรู้สึกเอะใจขึ้นมาในทันที นางสกุลหวังกับเสี่ยวเจี่ยะรองเดิมทีเป็นสหายที่ดีต่อกัน ภายหลังต่อมาต้าเส้าเหยีย [2] ก็ได้สู่ขอแม่นางสกุลหวัง จากสหายที่ดีกลายเป็นกู่ซ่าว [3] ความสัมพันธ์ทั้งสองก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ทว่าจดหมายฉบับนี้แม่ติงกลับไม่ได้ส่งไปถึงต้าฟูเหริน [4] แต่เป็นการส่งไปให้เส้าฟูเหริน [5] เสียนี่ ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกชอบกล 

 

 

“ดูเรียบร้อยแล้วหรือยัง” เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เร่งเร้าที่จะหยิบจดหมายกลับคืน 

 

 

กุ้ยซ่าวหยิบเงินออกมาอีกจำนวนหนึ่งพร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงกระซิบ “ท่านต้าเหยีย คือเรื่องมันเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ คนเมื่อครู่นั้นเป็นคนของตระกูลข้าเอง ด้วยนายหญิงชราของตระกูลกำลังป่วย แต่มีความประสงค์ว่าไม่ให้บอกบุตรชายคนโตของท่านซึ่งอยู่ในเมืองหลวง ขณะที่บุตรชายคนรองของท่านกลับคิดว่าไม่ให้บอกนั้นเห็นทีจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ จึงสั่งให้คนแอบนำจดหมายมาส่งไปยังเมืองหลวง ทว่าท่านนายหญิงชราของข้าดันไปรับรู้เรื่องราวเข้า จึงให้ข้ามานำจดหมายกลับคืนไป ท่านว่า…พอจะอะลุ่มอล่วยได้หรือไม่” 

 

 

เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์รู้สึกได้ว่าน้ำหนักเงินในมือครั้งนี้หนักกว่าครั้งก่อนหน้าเป็นอย่างมาก จากการคาดเดาน่าจะเป็นจำนวนถึงสิบเหลี่ยงเลยทีเดียว บนใบหน้าจึงเผยความลำบากใจออกมา “นี่มันเป็นการผิดกฎ…” 

 

 

เห็นได้ชัดว่าคงยังไม่เพียงพอต่อใจที่คาดหวังเอาไว้ ทว่าเงินที่อยู่ในมือของกุ้ยซ่าวตอนนี้ก็ไม่เหลืออีกแล้ว นางระดมความคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงถอดเอากำไลข้อมือของตนเองแอบยัดใส่มือเขาไป พร้อมกับกล่าวขอร้อง “ท่านต้าเหยีย ยังไงก็ช่วยหน่อยนะเจ้าคะ หากข้าจัดการเรื่องนี้ไม่สำเร็จ มีหวังกลับไปคงถูกท่านนายหญิงชราตำหนิเป็นแน่…” 

 

 

เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ลังเลใจไปชั่วครู่ก่อนจะยอมปล่อยมือ แล้วกล่าวพร้อมกลับโบกมืออย่างรำคาญใจ “รีบๆ ไปซะ” 

 

 

กุ้ยซ่าวดีอกดีใจเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็รีบเก็บซ่อนจดหมายเอาไว้ในแขนเสื้อแล้วเดินออกไปจากที่ทำการไปรษณีย์ 

 

 

หลินหลันและคนอื่นๆ เดินตามเจ้าหน้าที่หลวงไปได้สักประมาณสิบห้านาที ก็มองเห็นที่ทำการเจ้าเมือง เจ้าหน้าที่หลวงนำหลินหลันผู้เป็นนายและข้ารับใช้รวมทั้งหมดสามคนเข้าไปทางประตูด้านหลังซึ่งเป็นบริเวณลานโล่งสำหรับรองรับแขก โดยให้พวกเขารออยู่ที่นั่นก่อนขณะที่ตนเองตรงเข้าไปให้การรายงาน และไม่นานนัก เจ้าหน้าที่หลวงก็ออกมาพร้อมกับข้ารับใช้นางหนึ่ง 

 

 

“เป็นหมอท่านไหนหรือที่ตอบรับคำประกาศ” หญิงรับใช้เอ่ยถาม 

 

 

หลินหลันก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งฝีก้าว “เป็นข้าเอง” 

 

 

หญิงรับใช้ลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าตามข้ามา” 

 

 

หลินหลันเมื่อเดินไปได้เพียงสองก้าวก็นึกขึ้นเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่หลวง “พี่เจ้าหน้าที่หลวง ผู้ที่มากับข้าทั้งสองท่านยังไม่ได้ท่านมื้อกลางวันเลย ท่านช่วย…” 

 

 

เจ้าหน้าที่หลวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องเล็กน่า งั้นเดี๋ยวข้าพาพวกเขาไปรับประทานอาหารก่อนแล้วกัน” 

 

 

หญิงรับใช้ขมวดคิ้วแล้วคิดอยู่ในใจ อย่าเป็นการมาเพียงแค่หวังฝากปากท้องไว้ที่นี่ก็แล้วกัน!  

 

 

หยินหลิ่วไม่สบายใจที่นายหญิงต้องเข้าไปเพียงลำพัง “เส้าฟูเหริน หยินหลิ่วไปด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไปกินข้าวก่อนเถอะ! ประเดี๋ยวเดียวข้าก็กลับมา” 

 

 

หญิงรับใช้ขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น มองด้วยสายตาอย่างมั่นอกมั่นใจว่าหลินหลันผู้นี้ก็มาเพียงแค่หวังฝากปากท้องก็เท่านั้น 

 

 

เมื่อออกจากพื้นที่รับแขกก็มุ่งเดินตรงเข้าไปด้านใน ทันทีที่เดินผ่านช่องบานประตูซึ่งแกะสลักไว้ด้วยลายดอกไม้ หลินหลันจึงเอ่ยปากสอบถามขึ้น “ขออนุญาตสอบถามท่านหน่อยว่า ฮูหยินของท่านเริ่มมีอาการเจ็บป่วยตั้งแต่เมื่อใดกัน แล้วเจ็บป่วยได้อย่างไรหรือ” 

 

 

หญิงรับใช้หันมาชายตามองหลินหลัน ทว่ากลับไม่ได้รับคำตอบใดๆ อย่างที่ต้องการ 

 

 

หลินหลันกล่าว “การวินิจฉัยอาการป่วยต้องถามถึงความเป็นมาเป็นไป การถามเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ต้องการรู้สภาพของอาการป่วย สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการป่วยนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นขอท่านช่วยบอกกล่าวด้วย” 

 

 

หญิงรับใช้ลังเลใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ถึงได้ยอมกล่าวออกมา “ฮูหยินของข้าป่วยเมื่อปีที่แล้ว เริ่มจากอาการแน่นหน้าอก เบื่ออาหาร หลังจากนั้นก็อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยบริเวณหน้าอกและใต้ชายโครงเมื่อขยับก็จะเจ็บปวดขึ้นมาในทันที” 

 

 

“ฮูหยินของท่านมีเรื่องอะไรให้เป็นกังวลใจหรือไม่” หลินหลันเอ่ยถาม 

 

 

ฝีเท้าของหญิงรับใช้หยุดชะงักลง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความลังเล “เดิมทีฮูหยินมีร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้ว หลังจากให้กำเนิดบุตรสาวทั้งสองท่าน หมอก็บอกว่าฮูหยินไม่ควรให้กำเนิดบุตรอีกแล้ว…” 

 

 

ขณะที่กำลังสนทนาอยู่นั้น เบื้องหน้ามีหญิงสาวเยาว์วัยท่านหนึ่งซึ่งอยู่ในชุดเสื้อผ้าพิมพ์ลายสีฟ้าอ่อนคู่กับกระโปรงสีขาวพระจันทร์กำลังก้าวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าต้อนรับ นางมีหน้าตาสวยสดงดงามและรอยยิ้มที่เบิกบาน ดวงตาหงส์ของนางเหลือบมองมายังหลินหลันเล็กน้อย ภายใต้สีหน้าท่าทีใจเย็นและเอ่ยอย่างนุ่มนวล “แม่ฉิน เป็นหมอท่านนี้หรือที่เสนอตัวเข้ามาให้การรักษา” 

 

 

“จ้าวอี๋เหนียง [6] ฮูหยินกำลังรออยู่พอดีน่ะ!” ท่าทีของหญิงรับใช้ดูไม่แยแสและไม่ค่อยอยากจะปฏิสัมพันธ์ด้วยเท่าไหร่นัก 

 

 

หลินหลันเหลือบมองจ้าวอี๋เหนียงท่านนี้ เห็นบริเวณท้องน้อยของนางป่องออกมาเล็กน้อย จึงพอจะรู้อยู่ในใจ เพียงแค่เกรงว่าเด็กในท้องของจ้าวอี๋เหนียงท่านนี้จะเป็นสาเหตุอาการป่วยของภรรยาเจ้าเมืองเข้าเสียแล้ว 

 

 

เมื่อหลินหลันเข้ามาภายในห้องก็ได้กลิ่นยาที่แรงมาก และด้วยหน้าต่างทั้งสี่ทิศถูกปิดไว้ด้วยผ้าม่านจึงทำให้มีแสงส่องสว่างภายในห้องอันน้อยนิดเท่านั้น 

 

 

แม่ฉินเข้าไปยังห้องชั้นในเพื่อกล่าวรายงาน ขณะเดียวกันหลินหลันก็ได้ยินเสียงอันแสนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงของฮูหยินผู้นั้น “เกรงว่าอาการป่วยของข้าจะไม่อาจรักษาให้หายขาดได้แล้ว ตรวจดูไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” 

 

 

แม่ฉินเอ่ยโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตรวจดูเสียหน่อยก็ยังดีนะเจ้าคะ ท่านหมอก็มาถึงที่แล้วด้วย” 

 

 

“ให้นางเข้ามาสิ…” 

 

 

ตอนนี้เองแม่ฉินจึงให้เชิญให้หลินหลันเข้าไป สั่งการให้สาวใช้รูดเปิดผ้าม่านขึ้น แล้วประครองฮูหยินลุกขึ้นนั่งโดยให้เอนหลังพิงบนหมอนใบนุ่ม ในเมื่อเป็นหมอหญิงจึงไม่มีข้อห้ามซึ่งต้องหลีกเลี่ยงมากมายขนาดนั้น 

 

 

หลินหลันเดินไปถึงหน้าเตียง สิ่งแรกที่มองเห็นคือสีหน้าอันหมองคล้ำของฮูหยิน ตามด้วยผิวหนังแห้งกร้านและสภาพอารมณ์เศร้าหมอง 

 

 

“ฮูหยินให้ข้าดูลิ้นหน่อยจะได้หรือไม่” 

 

 

ฮูหยินลังเลอยู่ชั่วครูก่อนจะอ้าปากขึ้น 

 

 

สีฝ้าลิ้นเริ่มเป็นสีม่วง 

 

 

หลินหลันจึงนั่งลงแล้วตรวจสอบชีพจรของนางและดูเหมือนว่าชีพจรจะฝืด หลินหลันจึงพอจะเข้าใจได้แล้วว่า ฮูหยินท่านนี้น่าจะมีอาการของภาวะลมปราณติดขัดเลือดคั่ง พูดตามหลักแล้วโรคนี้ไม่ยากในการรักษา ทว่าประเด็นสำคัญคือฮูหยินมีเรื่องราวในใจทำให้ต้องเป็นกังวลและไม่อาจปล่อยวางได้ เคยมีคำพูดที่ว่าความกังวลหรือความรักในใจเมื่อกลายเป็นภาระทางจิตใจก็จำเป็นจะต้องถูกกำจัดออกไปเสีย! 

 

 

“ท่านหมอ อาการป่วยของฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างหรือ” แม่ฉินกล่าวถ้ามอย่างเป็นกังวล 

 

 

หลินหลันลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยตอบ “ข้าเห็นว่าไม่ต้องรักษาแล้วล่ะ ไปเตรียมจัดงานศพไว้เถอะ!” 

 

 

กลุ่มคนต่างอยู่ในอาการตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งพร้อมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหัน หมอท่านนี้ช่างเกินไปเสียแล้ว ถึงแม้จะเป็นหมอที่ให้การรักษาอาการป่วยไม่ได้ ก็ไม่ควรเอ่ยคำพูดคำจาเยี่ยงนี้ต่อหน้านายหญิงของพวกนาง 

 

 

แม่ฉินรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเพ้อเจ้อ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีหมอผู้ใดกล่าวว่าอาการป่วยของฮูหยินไม่อาจรักษาได้” 

 

 

“แล้วเช่นนั้นเหตุใดที่ผ่านมาจึงล้วนรักษาให้หายขาดไม่ได้ หมอพวกนั้นก็เพียงแค่อยากหลอกเอาเงินทองสักหน่อยอย่างไงล่ะ!” หลินหลันกล่าวอย่างไม่แยแส 

 

 

“ข้าว่าเป็นเจ้ามากกว่าที่หลอกลวง เรียกคนมาจับตัวนางโยนออกไปเสีย” แม่ฉินอยากที่จะพุ่งเข้าไปเบื้องหน้าและตบปากแกร่งกล้าของหลินหลันสักสองสามที 

 

 

ภรรยาของเจ้าเมืองแม้จะคิดมาตลอดว่าตนเองคงไม่สามารถรักษาอาการป่วยให้หายขาดได้แล้ว แต่ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดจากปากผู้เป็นหมอว่าให้เตรียมจัดงานศพเอาไว้ได้เลย นั่นมันช่างส่งผลกระทบทางจิตใจของนางยิ่งนักซึ่งทำให้นางมิอาจยอมรับได้ ขณะนั้นเองอาการหอบก็กำเริบขึ้น เมื่อหายใจหอบ ก็ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บบริเวณหน้าอกและชายโครง จนนางต้องส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด 

 

 

“ฮูหยิน ท่านอย่าไปเชื่อคำพูดของนางนะเจ้าคะ นางก็เป็นเพียงแค่คนโกหกหลอกลวงผู้หนึ่งที่อยากจะมาหลอกดื่มกินอาหารสักนิดหน่อยก็เท่านั้น…” แม่ฉินรีบเข้ามาช่วยลูบแผ่นหลังให้แก่ฮูหยินเพื่อให้เลือดลมเดินสะดวก พลางเอ่ยปลอบใจไปด้วย และในขณะเดียวกันก็จ้องมองมายังหลินหลันด้วยสายตาที่โกรธโมโห 

 

 

หลินหลันแสยะยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “หากข้าต้องการมาหลอกดื่มหลอกกิน เช่นนั้นก็คงต้องบอกว่าอาการป่วยของฮูหยินนั้นไม่มีอะไรร้ายแรงเลยสักนิด แค่กินยาของข้าไม่กี่เม็ดเดี๋ยวก็หายดีแล้ว อีกทั้งยังสามารถหลอกเอาเงินทองได้อีกนิดหน่อยด้วย!” 

 

 

คำพูดนี้เล่นงานแม่ฉินถึงขั้นพูดไม่ออก ขณะที่ฮูหยินกลับยิ่งทุกข์ใจเจ็บปวดมากขึ้น การมีชีวิตอย่างไร้ความหมายเสมือนตายทั้งเป็นนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าการเผชิญหน้ากับความตายที่แท้จริงกลับให้อีกความรู้สึกหนึ่ง 

 

 

“ที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง บอกนายท่านของพวกเจ้าไม่ต้องเปลือกแรงไปติดประกาศตามหาหมออะไรนั่นอีกแล้ว เอาเวลาไปเตรียมจัดงานศพให้สมเกียรติจะดีเสียกว่า ถึงอย่างไรเมื่อฮูหยินตายไปแล้ว ก็ยังมีอี๋เหนียง อี๋เหนียงสามารถให้นางกำเนิดเด็กน้อยตัวจ้ำม่ำที่จะช่วยสืบทอดตระกูลต่อไปได้เช่นกัน” หลินหลันกล่าวอย่างทิ่มแทงใจดำ 

 

 

แม่ฉินโกรธจนสีหน้าซีดเสียว และกล่าวตะคอกใส่ “ยังไม่รีบจับตัวคนโกหกที่เอาแต่พูดจาพล่อยๆ คนนี้โยนออกไปอีก” 

 

 

สาวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างตรงเข้ามาต้องการลากตัวหลินหลันออกไป 

 

 

หลินหลันผละออก แล้วกล่าวต่อไป “ฮูหยินรีบจัดการวางแผนให้คุณหนูทั้งสองท่านยังดีเสียกว่า ข้าเกรงว่าเมื่อท่านแม่ของนางไม่อยู่แล้วอาจถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งทำร้ายเอาได้…” 

 

 

ฮูหยินซึ่งถูกหลินหลันพูดกระตุ้นเช่นนั้นแล้ว ความคิดต่างๆ นานาก็พุ่งพล่านขึ้นมาเต็มไปหมด เมื่อนางตายจากไป สามีของนางก็จะสามารถเอาอกเอาใจนั่งคนเลวผู้นั้นได้ทุกวี่ทุกวัน พอนังคนเลวผู้นั่นให้กำเนิดบุตรชายแล้ว ลูกสาวของนางทั้งสองคนจะยังมีชีวิตที่ดีอยู่ได้อย่างไร และยังไม่รู้ว่าจะถูกนังคนเลวผู้นั้นรังแกจนเป็นสภาพเยี่ยงไรบ้าง…ความคับแค้น ไม่ยินยอม ความกังวล และความสิ้นหวังต่างประดังงาเข้าสู่หัวใจดั่งสายน้ำ ชั่วขณะนั้นเองความร้อนซึ่งปะทุอยู่ในลำคอ แล้วตามมาด้วยเลือดสีแดงสดที่พ่นออกมาจากปาก 

 

 

“ฮูหยินอาเจียนเป็นเลือด…” ทุกคนต่างพากันแตกตื่น และมีใครคนใดคนหนึ่งรีบวิ่งไปรายงานผู้เป็นนายใหญ่ 

 

 

ทุกคนถูกกำลังรายล้อมนายหญิงเอาไว้ และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี สิ่งเดียวที่ทำได้คือเฝ้ามองฮูหยินอาเจียนเป็นเลือดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งไม่มีใครมาสนใจผู้ริเริ่มอย่าง…หลินหลันผู้นี้ 

 

 

หลินหลันโล่งใจไปหนึ่งเปราะ แต่ทว่า…นั่นยังไม่เพียงพอ ยังจำเป็นต้องใส่ยาแรงกว่านี้เข้าไปอีก 

 

 

 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ต้าเหยีย (大爷) เป็นคำที่ใช้เรียกชายผู้มีอายุอาวุโสกว่าและเป็นการให้การเคารพนับถือ 

 

 

[2] ต้าเส้าเหยีย (大少爷) คำเรียกชายหนุ่ม ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพี่น้อง และได้รับการเคารพนับถือ 

 

 

[3] กู่ซ่าว (姑嫂) คือคำที่ใช้เรียกรวมๆ พี่สาวน้องสาวของสามีและน้องสะใภ้หรือพี่สะใภ้ 

 

 

[4] ต้าฟูเหริน (大夫人) คำเรียกหญิงที่มีความเป็นใหญ่และมีวัยที่อาวุโสสุด และได้รับการเคารพนับถือ 

 

 

[5] เส้าฟูเหริน (少夫人) คำเรียกภรรยาของบุตรชายในตระกูล ในประโยคนี้หมายถึง แม่นางสกุลหวัง ตามที่ได้เอ่ยถึงในท่อนประโยคข้างต้น 

 

 

[6] อี๋เหนียง (姨娘) คือคำเรียก พี่สาวหรือน้องสาวของแม่ หรือยังหมายถึง ตำแหน่งหรือคำเรียกอนุภรรยา