บทที่ 45 ขั้นหลอมรวมเล่นงาน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“สหายเซียนจินเชิญตามข้ามา” ศิษย์ทำธุระส่งป้ายหยกที่ทำใหม่ให้จินเฟยเหยา จากนั้นสั่งความศิษย์ทำธุระด้านข้างหลายประโยค ก็นำนางไปตำหนักด้านหลัง

สถานที่จัดทำป้ายหยกเข้าสำนักของสำนักเฉวียนเซียนเป็นเรือนเล็กๆ ที่เงียบสงบท่ามกลางความอึกทึก ทำเพียงเรื่องเข้าสำนักไม่กระทำเรื่องอื่น ออกมาจากห้องโถงด้านหน้า ผ่านสวนดอกไม้ขนาดเล็กแห่งหนึ่งทว่ากลับงามประณีต จินเฟยเหยาติดตามศิษย์ทำธุระมาถึงหน้าหอเล็กสามชั้นทางด้านหลัง

ศิษย์ทำธุระส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงมาบอกกล่าวล่วงหน้า ดังนั้นจึงพานางมาส่งที่ประตู ให้นางเดินเข้าหอไปเอง

ภายในหอมีเด็กหญิงขั้นฝึกปราณช่วงปลายคนหนึ่งรอนางอยู่แต่แรก เห็นนางเข้ามา ก็ยิ้มตาหยีเดินมาหา เอ่ยเสียงเบาว่า “คนของสำนักหลิงคงอยู่ด้วยพอดี อีกเดี๋ยวเจ้าก็หัวไวหน่อย อาจารย์ของข้าไม่ชอบให้ศิษย์ในสำนักขี้ขลาดที่สุด ตามข้ามา ใช้หัวหน่อย”

นางมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี กลับพูดจาอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด จินเฟยเหยาเห็นแก่ที่พลังการบำเพ็ญเพียรของนางเหนือกว่าตนเอง จึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น เพิ่งกลับมาก็เจอคนของสำนักหลิงคงใส่ร้ายป้ายสี มาพบผู้อาวุโสของสำนักเฉวียนเซียน นางยังเจอกับเจ้าเด็กบ้าที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ท่าทางวันนี้จะโชคไม่ดี ถ้ารู้แต่แรกจะซื้อปฏิทินในเมืองเล็กๆ ของคนธรรมดามาดู แล้วเลือกวันมงคลออกจากบ้าน

จินเฟยเหยาตามหลังเจ้าเด็กคนนี้ขึ้นชั้นสอง ชั้นบนมีคนรอนางอยู่ มีคนนั่งอยู่สามคน ยืนสี่คน พอจินเฟยเหยาเงยหน้า คิดไม่ถึงว่าจะเห็นจินเฟยเหวินยืนอยู่ด้านหลังหญิงชราคนหนึ่ง

หญิงชราคนนี้และชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่อีกด้าน เส้นผมหงอกขาว ใบหน้ามีรอยย่น ด้านหลังมีจินเฟยเหวินและเด็กสาวขั้นฝึกปราณช่วงกลางคนหนึ่งยืนอยู่

ส่วนด้านตรงข้ามมีสาวงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ ตลอดร่างแต่งกายด้วยชุดชาววัง เรือนร่างงดงามจนทำให้คนไม่อาจเบือนสายตาไป มีเด็กชายฝาแฝดอายุเจ็ดแปดขวบคู่หนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ปากแดงฟันขาวหน้าตาน่ามองอย่างยิ่ง ยืนอยู่ด้านหลังสาวงามที่สวมชุดชาววัง ดวงตาโตน่ารักมองจินเฟยเหยาอย่างสงสัย

เด็กหญิงที่พานางขึ้นมาเดินไปถึงด้านหลังสาวงามสวมชุดชาววัง พยักหน้าให้จินเฟยเหยาเบาๆ จินเฟยเหยาก้าวยาวๆ มาเบื้องหน้า ประสานหมัดต่อสาวงามในชุดชาววัง “จินเฟยเหยาคารวะผู้อาวุโส”

สาวงามในชุดชาววังยิ้มพยักหน้า ขณะจะเอ่ยปากกล่าววาจา หญิงชราด้านตรงข้ามก็กระแอมกระไอชิงเอ่ยขึ้นอย่างวิตถาร “เจ้าคือจินเฟยเหยา? ฮึ ดูไม่ออกเลยว่า เจ้ามีความสามารถไม่น้อยเลย ถึงกับหนีรอดมาจากเงื้อมมือของคนเหล่านั้นได้ แม้แต่บุตรชายสุดที่รักของข้าที่พกพาของวิเศษทั้งตัวยังหนีออกมาไม่ได้เลย เจ้าอาศัยสิ่งใดจึงหนีรอดออกมาได้”

“อ๋า ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชมเชย ข้าน้อยเพียงแค่โชคดีหนีเอาชีวิตรอดมาได้เท่านั้น ไม่ทราบว่าคนที่ผู้อาวุโสเอ่ยถึงเมื่อครู่คือผู้ใด?” ครู่หนึ่งจินเฟยเหยาก็นึกถึงโจวหวั่นปา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามารดาของเขาจะแก่ชราขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตาแก่ที่แก่จนหัวล้านทางด้านข้างจะใช่บิดาของเขาหรือไม่

“ผู้ใด? แน่นอนว่าเป็นโจวหวั่นปาบุตรชายของข้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าพูดว่าไม่รู้จักเขา เจ้าเล่าเรื่องในวันนั้นมาให้ข้าฟังอย่างละเอียด ถ้ากล้าปิดบังแม้แต่น้อย ระวังชีวิตน้อยๆ ของเจ้า” หญิงชรากระแอมเสียงแหลมขึ้นมา ท่าทางอยากจะกินคน

ในขณะนี้เอง สาวงามในชุดชาววังสีหน้าอึมครึม เอ่ยอย่างเย็นชา “เฟิงผอจื่อ[1] เจ้าต้องรู้ว่า ตอนนี้เจ้าอยู่ในสำนักเฉวียนเซียน ไม่ใช่สำนักหลิงคงของเจ้า เจ้าอายุกี่ร้อยปีแล้ว ข่มขู่เด็กคนหนึ่งทำไม”

จากนั้น นางก็เอ่ยกับจินเฟยเหยาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “ไม่ต้องกลัว เจ้าเล่ามาตามความจริง มีเรื่องอะไร สำนักเฉวียนเซียนเราจะไม่ทอดทิ้งคนของสำนักตนเองโดยไม่สนใจเด็ดขาด”

“ฮึ” เฟิงผอจื่อส่งเสียงขึ้นจมูกไม่เอ่ยวาจาอีก อย่างไรเสียก็อยู่ในถิ่นของผู้อื่น ความน่าเกรงขามย่อมต้องหายไป

“เจ้าค่ะ” เห็นสาวงามในชุดชาววังยืนอยู่ข้างตนเอง จินเฟยเหยาจึงเริ่มเล่า ครั้งนี้นางไม่ได้ต่อเติมเสริมแต่ง เพียงแค่เล่าสิ่งที่เห็นไปตามความจริง

สีหน้าของเฟิงผอจื่อยิ่งน่าเกลียดขึ้นทุกทีตามการบอกเล่าของนาง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าบุตรชายของตนเองทรยศศิษย์พี่ศิษย์น้อง สุดท้ายตอนถูกศิษย์พี่ศิษย์น้องทุบตี นางก็อดตบโต๊ะเอ่ยด่าทอไม่ได้ “เจ้าพูดจาเหลวไหล บุตรชายของข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าเจ้าพูดจาเหลวไหลอีกข้าจะฉีกปากของเจ้าเสีย”

จินเฟยเหยาตกใจอย่างยิ่ง มีสีหน้าหวาดกลัว เอ่ยพึมพำว่า “ผู้อาวุโส สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ข้าไม่ได้พูดเท็จนะ หรือว่าบุตรชายของท่านคือผู้บำเพ็ญเซียนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยโคลนคนนั้น?”

“ต่อมาเล่า?” สาวงามในชุดชาววังตัดบทการคำรามของเฟิงผอจื่อ

“ต่อมา ต่อมาพวกเขาก็ถูกศิษย์ชั่วสำนักมารที่ชื่อเฉียนเฟิงส่งเข้าปากศพมาร ให้มันกินจนเกลี้ยง ไม่ถูกสิ ตอนนั้นข้าหนีออกมาแล้ว เห็นแค่ศิษย์คนหนึ่งของสำนักหลิงคงถูกกิน คนอื่นๆ ตายอย่างไร ข้าไม่รู้”

“ปัง!” เฟิงผอจื่อตบโต๊ะอีกครั้ง แทบจะคำรามด่าทอ “เหตุใดเจ้าจึงหนีรอดได้ คนอื่นๆ ล้วนเสียชีวิต เหตุใดเจ้าจึงไม่พาบุตรชายของข้าหนีมาด้วย เจ้าอธิบายข้ามาตามตรง เจ้าเป็นพวกเดียวกับคนสำนักมารใช่หรือไม่ ร่วมมือกันฆ่าคนของสำนักหลิงคงของข้า”

จินเฟยเหยาจนวาจา ได้แต่เอ่ยตอบว่า “ผู้อาวุโส ท่านทำให้ผู้อื่นลำบากใจเกินไป ตัวข้าหนีรอดออกมาได้ก็โชคดีมากแล้ว ข้าไม่รู้จักบุตรชายของท่าน จะลากเขาหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างไร”

“เจ้าถึงกับกล้าย้อนข้า จริงสิ ข้านึกออกแล้ว ข้าจำได้แล้วว่าเดิมทีเจ้าเป็นคนไร้น้ำใจ ลงมือกับญาติของตนเองอย่างอำมหิต ต้องทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้แน่ เจ้าต้องชดใช้ชีวิตของบุตรชายข้า มอบชีวิตมา” เฟิงผอจื่อพลันลุกขึ้น พลังวิญญาณในมือพวยพุ่ง ลมหมุนที่เต็มไปด้วยไอสังหารรวมกันอยู่ในมือของนาง เจตนาสังหารของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเต็มไปทั่วหอเล็กทั้งหลัง

เหตุใดพอจะเปลี่ยนท่าทีก็เปลี่ยนเลยนะ จินเฟยเหยาเหงื่อออกเต็มศีรษะจ้องมองเฟิงผอจื่อผู้นี้ ผู้บำเพ็ญเซียนที่อายุมากแล้วล้วนมีโรคบ้า ถึงแม้อันตรายจะเข้ามาใกล้ นางกลับไม่เชื่อว่า สำนักเฉวียนเซียนซึ่งเป็นหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน จะยอมให้สำนักเล็กๆ ที่เพิ่งย้ายมาในบ้านตนเองฆ่าคนในสำนัก

จริงเสียด้วย สาวงามสวมชุดชาววังยืดกายขึ้น ชายแขนเสื้อยาวโบกคราหนึ่ง ไอสังหารลมหมุนที่มีอยู่เต็มหอก็ถูกการโบกแขนเสื้อครั้งนี้สลายไป

“เฟิงผอจื่อ ข้าเห็นแก่ที่เจ้าอายุมากกว่าข้า จึงอดทนยอมให้ ทว่าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าลงมือในสำนักเฉวียนเซียนของข้า ถึงตอนนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า แส่หาความอัปยศใส่ตัว”

“ฮูหยิน ต่อให้เจ้าโมโหเรื่องของปาเอ๋อร์มากเพียงใด ก็ต้องไว้หน้าหลี่ว์เหนียงเนียงบ้าง เจ้าทำเช่นนี้เหลวไหลสิ้นดี มิใช่ทำให้บรรดาผู้เยาว์หัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ?” ในที่สุดชายชราที่นั่งอยู่ด้านข้างก็เอ่ยปาก

เขาต่อว่าเฟิงผอจื่อก่อน จากนั้นจึงเอ่ยกับหลี่ว์เหนียงเนียงอย่างสุภาพ “ฮูหยินของข้าเจ็บปวดเพราะสูญเสียบุตรรัก การกระทำหุนหันไปบ้าง ขอให้หลี่ว์เหนียงเนียงอย่าได้ตำหนิเลย สตรีผู้นี้เป็นคนในตระกูลที่สังกัดสำนักข้า เพราะเรื่องเล็กน้อยในตระกูลจึงไม่พอใจออกจากบ้านไป หัวหน้าตระกูลของพวกเขาขอร้องข้าว่าถ้าหานางพบต้องช่วยพานางกลับไป เจ้าก็รู้ว่าเด็กพวกนี้ ผู้อาวุโสว่าพวกเขาไม่กี่คำ ก็ไม่เชื่อฟัง ชอบหาเรื่อง หวังว่าหลี่ว์เหนียงเนียงจะเห็นแก่ความคิดถึงหลานของคนเฒ่า ให้สตรีผู้นี้ติดตามพวกเรากลับไป เรื่องของบุตรชาย ก็ได้แต่ให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์”

ตาแก่ที่น่าตาย ถึงกับคิดจะใช้วิธีอ้อมค้อมทำให้เรื่องนี้แล้วกันไปแบบนี้ ปอดของจินเฟยเหยาแทบจะระเบิด นางไม่อยากกลายเป็นเหยื่อสังเวยแก้ไขข้อพิพาทระหว่างสองสำนักแบบนี้

นางเสี่ยงอันตรายทำให้หลี่ว์เหนียงเนียงซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมไม่พอใจ หยิกต้นขาด้วยพลังทั้งหมด น้ำตาปริ่มสองตา จากนั้นใช้ชายเสื้อเช็ด เอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าไม่กลับไป ที่นั่นไม่ใช่บ้านข้าแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ของข้าเสียไปนานแล้ว พี่น้องก็ไม่ยอมรับข้า ข้าใช้ชีวิตยืนอยู่บนลำแข้งของตนเองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งข้าชอบสำนักเฉวียนเซียน ทุกคนดีต่อข้ามาก ดูแลเหมือนพี่ชาย รักเอ็นดูเหมือนผู้อาวุโส ชี้แนะเหมือนบิดา ทั้งยังมีผู้อาวุโสที่ห่วงใยข้าและปกป้องข้าเหมือนเป็นบิดามารดาคนที่สอง ที่นี่ทำให้ข้าอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน”

นางกัดฟัน สีหน้าแน่วแน่อย่างประหลาด “ข้าจะไม่ไปจากสำนักเฉวียนเซียน ถ้าพวกเจ้าคิดจะฝืนพาตัวข้าไปจากอ้อมกอดที่อบอุ่นเหล่านี้ เช่นนั้นก็ฆ่าข้าเสีย แล้วลากศพของข้ากลับไป”

หลังจากเอ่ยจบ นางก็เชิดหน้ายืดอก กัดริมฝีปากท่าทางกล้าหาญแบบเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ยืนอยู่ตรงกลางห้อง ปล่อยให้ทุกคนจัดการลงโทษ

การกระทำของนางทำให้ทุกคนตกตะลึง สิ่งที่พวกเฟิงผอจื่อคิดไม่ถึงคือ สำนักเฉวียนเซียนดีต่อผู้บำเพ็ญเซียนขนาดนี้เชียว คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ยายเด็กนี่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้

ส่วนคนของสำนักเฉวียนเซียนยิ่งจนวาจา นอกจากไม่อยากกลับไปกับคนของสำนักหลิงคง คำพูดที่จินเหยาเอ่ยทั้งหมดล้วนเป็นคำประจบสอพลอ พวกนางอยากจะหัวเราะ ทว่าไม่ค่อยเหมาะสมกับสถานการณ์นัก ได้แต่จิกมือแน่น กลั้นยิ้มเอาไว้

ขิงแก่ยอมเผ็ดร้อน [2] หลี่ว์เหนียงเนียงบริภาษเสียงดังด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ที่นี่ไหนเลยมีที่ให้เจ้าสอดปาก ผู้ใดบอกจะพาเจ้าไป ให้เจ้านอนเป็นศพ ยังไม่รีบถอยหลังไปอีก”

“ขอบคุณเหนียงเนียงที่เมตตา” จินเฟยเหยาฉวยโอกาสนี้ก้าวเข้าไปแสดงความขอบคุณ

“หลี่ว์เหนียงเนียง เจ้าทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง ถ้าข้าจำไม่ผิด คนที่สำนักมารหลอกไปครั้งนี้มีเพียงคนของสำนักเฉวียนเซียนของพวกเจ้าที่หนีรอดออกมาได้ เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายให้พวกเรา”

ได้ยินหลี่ว์เหนียงเนียงเอ่ยเช่นนี้ ชายชราก็เข้าใจ หลี่ว์เหนียงเนียงคิดจะปกป้องเด็กน้อยขั้นฝึกปราณช่วงกลางผู้นี้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เริ่มข่มขู่และหลอกล่อด้วยผลประโยชน์

หลี่ว์เหนียงเนียงพลันยิ้มอย่างเย็นชา “สหายเซียนเหลย ความหมายของเจ้าก็คือ สำนักเฉวียนเซียนของข้าสมคบกับสำนักมาร ฆ่าศิษย์สำนักหลิงคงของพวกเจ้า”

“ถ้าไม่มีวิธีจัดการที่น่าพอใจ มีข่าวลือเช่นนี้แพร่ออกไป พวกเราก็ควบคุมไม่ได้” ตาเฒ่าเหลยไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ โจมตีด้วยวาจาอันแหลมคม

“ฮึ เกรงว่าพวกเจ้าคงจะอยู่บ้านนอกมานานเกินไป นึกว่าพูดเรื่องเช่นนี้ออกไปจะมีคนเชื่อหรือ? เจ้าต้องรู้ว่า สำนักเฉวียนเซียนเราคือหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน”

“ตนเองไม่มีความสามารถ ยังทนเห็นผู้อื่นมีความสามารถไม่ได้ หากมีความสามารถก็อย่าตาย อย่าหนี จับพวกเขากลับมาเป็นๆ สิ ใจแคบ ถึงกับคิดจะฉุดลากผู้บริสุทธิ์มาตายด้วย” จินเฟยเหยาถอยไปด้านข้าง พึมพำขึ้นมาเสียงเบา

เห็นท่าทางของนางเหมือนพูดกับตนเอง ทว่าอาศัยพลังการบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม เสียงเบาเหมือนยุงนี้ดังเข้าหูของคนทั้งสามราวกับเสียงฟ้าผ่า

หลี่ว์เหนียงเนียงก้มหน้าลงจิบชา ใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยวาจา ถึงแม้เฟิงผอจื่อและตาเฒ่าเหลยถูกหักหน้า ทว่าหากลงมือกับผู้เยาว์รุ่นหลังขั้นฝึกปราณคนหนึ่งที่นี่ ล่วงเกินสำนักเฉวียนเซียนจริงๆ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย แต่จะแล้วกันไปแบบนี้ จากไปโดยไม่พูดอะไรเลย สามีภรรยาคู่นี้แล่นมาเอาผิด สุดท้ายกลับจากไปอย่างซึมเซา ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป วันหน้าสำนักหลิงคงจะคลุกคลีอยู่ในเมืองลั่วเซียนได้อย่างไร

ทันใดนั้น ทุกคนก็เงียบงันอีกครั้ง แต่ละคนต่างจิบชาอย่างมีแผนการร้าย บรรยากาศสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ผนึกตัวเป็นน้ำแข็ง

จินเฟยเหยายืนอย่างว่างเปล่าอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นจึงตัดสินใจใช้ออกด้วยท่าไม้ตายในสามสิบหกกลยุทธ์ หนีคือสุดยอดกลยุทธ์


[1] ผอจื่อ หมายถึง หญิงชรา หรือ ยายแก่

[2] ขิงแก่ยอมเผ็ดร้อน หมายถึง คนอายุมาก ย่อมมีประสบการณ์มาก