บทที่ 46 สัตว์ภูติแอ๊บแบ๊ว

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ศีรษะของจินเฟยเหยาก้มต่ำ ดวงตาจับจ้องพื้น เสี่ยงทำให้ภายในบาดเจ็บ โลหิตสดพลันพุ่งออกมาจากปาก จากนั้นคนก็ล้มลงบนพื้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”  เด็กหญิงที่เดินนำนางมาก่อนหน้านี้รีบเข้าไปหา พยุงจินเฟยเหยามาพิงไว้บนตัว เอ่ยถามอย่างห่วงใย

จินเฟยเหยาลืมตาช้าๆ ไออย่างรุนแรงหลายครั้ง แล้วพ่นโลหิตออกมาอีกอย่างน่าเวทนา จากนั้นก็มีสีหน้าสำนึกขอบคุณ เอ่ยด้วยสีหน้าซีดขาว “ขอบคุณสหายเซียน อาการบาดเจ็บในวันนั้นของข้ายังไม่หายดี คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะแสดงความทุเรศออกมาต่อหน้าหลี่ว์เหนียงเนียง ข้าช่างใช้ไม่ได้จริงๆ”

“อาจารย์ นางบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ ให้นางกลับไปรักษาบาดแผลก่อนดีกว่า หรือว่าพวกเราต้องใส่ร้ายนางว่าสมคบกับสำนักมาร เพราะคนในสำนักของเรามีความสามารถ พึ่งพาตนเองหนีเอาชีวิตรอดมาได้ ถ้าบอกว่านางสมคบสำนักมาร? เช่นนั้นติงเทียนเฉิงและหลิ่วฉี่ปอก็สมคบสำนักมารด้วยน่ะสิ หรือว่าทั้งสำนักเฉวียนเซียนเราเป็นสำนักมาร” นางขมวดคิ้วแน่น ฉากหน้าคือพูดกับหลี่ว์เหนียงเนียง ดวงตากลับจ้องมองคนของสำนักหลิงคงแน่วนิ่ง

“หลี่ว์เหนียงเนียง ศิษย์ของเจ้าไร้มารยาทเกินไป” ชายชราเหลยใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ แผ่อานุภาพกดดันของขั้นหลอมรวมไปยังเด็กหญิง

สีหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนแปลง สีหน้าเคร่งขรึม บนศีรษะผุดเหงื่อเย็นเยียบ สองมือที่พยุงจินเฟยเหยาสั่นนิดๆ

“เฒ่าเหลย ศิษย์ของข้ายังไม่ถึงรอบให้เจ้าสั่งสอน” หลี่ว์เหนียงเนียงตวาดอย่างเดือดดาล อานุภาพกดดันของเฒ่าเหลยถูกสะบั้นในพริบตา และยังเกือบจะถูกพลังของตนเองย้อนกลับมากลืนกิน

หลี่ว์เหนียงเนียงมีสีหน้าเย็นชา เอ่ยอย่างหมดความอดทน “เรื่องนี้กระจ่างแล้ว คนของเจ้าฝีมือไม่เอาไหนเอง โทษว่าผู้อื่นไม่ได้ สำนักเฉวียนเซียนเราจะไม่ปล่อยสำนักมารไปแม้แต่คนเดียว และจะไม่ให้คนอื่นใส่ความคนในสำนักว่าเป็นสำนักมารด้วย อี้จือ ส่งนางกลับไปรักษาบาดแผล”

“เจ้าค่ะ” อี้จือที่พยุงจินเฟยเหยา ตอบรับเสียงดังฟังชัด พยุงจินเฟยเหยาเดินลงจากหอ

เฟิงผอจื่อและเฒ่าเหลยคิดไม่ถึงว่า หลี่ว์เหนียงเนียงที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นหลอมรวมช่วงกลาง ยามต่อกรกับพลังกดดันขั้นหลอมรวมช่วงปลายของเฒ่าเหลย เพียงแค่ตวาดเบาๆ ก็โจมตีพลังกดดันของเฒ่าเหลยให้ล่าถอยไปได้ ท่าทางความแข็งแกร่งของสำนักเฉวียนเซียน จะลึกล้ำเหมือนที่เล่าลือกันจริงๆ ถ้าสามารถผูกสัมพันธ์กับสำนักเช่นนี้ได้ก็ดี

เห็นจินเฟยเหยาที่ร่างกายอ่อนแอถูกพยุงลงจากหอไป คนทั้งสองที่ถูกความแข็งแกร่งของหลี่ว์เหนียงเนียงและอิทธิพลของสำนักเฉวียนเซียนควบคุม ได้แต่เบิกตามองดูนางจากไป เพียงแต่ความเจ็บปวดในการสูญเสียบุตรชาย ถูกถ่ายเทลงบนร่างของจินเฟยเหยาทั้งหมด คนก็เป็นเช่นนี้ ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ เพียงแค่กล้ารังแกคนอ่อนแอ ครั้งนี้จินเฟยเหยาจึงกลายเป็นเป้าหมายอย่างอธิบายไม่ได้

อี้จือพยุงจินเฟยเหยามาถึงด้านล่างหอ ผ่านสวนดอกไม้เล็กๆ มาถึงห้องโถงด้านหน้า จึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าจะเสแสร้งไปถึงเมื่อใด ข้าส่งเจ้าแค่ที่นี่นะ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะหัวไว คิดวิธีทรมานสังขารตนเองมาไล่คนได้”

“เอ่อ…ข้าได้รับบาดเจ็บกระอักเลือดจริงๆ ไม่ได้ทำให้ตนเองบาดเจ็บ” จินเฟยเหยาขัดเขินเล็กน้อย คนผู้นี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้นะ มีอะไรก็พูดออกมา ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด

อี้จือตบบ่าของนางอย่างมีประสบการณ์ “ไม่เป็นไร อาจารย์ของข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้หรอก นางรำคาญเจ้าเฒ่าของสำนักหลิงคงกลุ่มนั้นแทบตายแล้ว แล่นมาสำนักเราทั้งวันอย่างไม่รังเกียจว่าเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าคิดจะอาศัยเรื่องนี้เข้ามาตีสนิทกับพวกเราหรือคิดจะหาข้ออ้างฆ่าล้างสำนัก วันนี้พอดีหน้าแหก ต่อไปไม่ต้องให้พวกเขาเข้าสำนักมา”

“ขอบคุณมาก รบกวนช่วยขอบคุณผู้อาวุโสด้วย เรื่องในวันนี้ต้องพึ่งพานางจริงๆ กลับไปข้าก็ต้องปิดด่านกักตน ไม่ออกจากสำนักชั่วคราว”

“รู้แล้ว เจ้าไปเถอะ ข้ายังต้องกลับไปดูละครอีก” เอ่ยจบ อี้จือก็หมุนตัวจากไป

จินเฟยเหยาเดินมาถึงบนถนนใหญ่ ระบายลมหายใจอันขุ่นมัวออกมาอย่างหวาดผวาไม่หาย อยู่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าขั้นหลอมรวมเหล่านี้ รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ ไม่รู้ว่าคนที่ชื่อหลี่ว์เหนียงเนียงเป็นผู้ใดในสำนักเฉวียนเซียน ท่าทางมีตำแหน่งไม่ต่ำต้อย พละกำลังก็แข็งแกร่งจนน่ากลัว

จินเฟยเหยากุมทรวงอก กลับไปถึงสำนักเฉวียนเซียนช้ามาก ไปเรือนสิบห้าเพื่อเยี่ยมหลิ่วฉี่ปอก่อน นางนอนอยู่บนเตียงสีหน้าซีดขาว บนร่างกลับยังสะอาดสะอ้าน ท่าทางสำนักเฉวียนเซียนส่งคนมารับใช้นาง เพียงแต่เห็นนางนอนหมดสตินานขนาดนี้ ต้องแค่ดูแลแต่ไม่ได้ให้ยาดีๆ อะไรแก่นางแน่นอน

จินเฟยเหยาคิดนิดหนึ่ง ก็หยิบขวดหยกสีแดงออกมาเทยาชุบชีวิตเม็ดหนึ่ง กายเนื้อบาดเจ็บมานาน นางบีบปากของหลิ่วฉี่ปอให้อ้า บีบยาให้แตกแล้วป้อนลงไป

“นี่เป็นของดี ข้ามีเพียงสองเม็ด ตอนนี้ให้เจ้าหนึ่งเม็ด ถ้าเจ้ายังไม่ฟื้นมา ต่อไปข้าจะไปหาใคร” จินเฟยเหยายิ้มตบหน้าของนางเบาๆ หลังจากช่วยห่มผ้าให้นางแล้วก็จากไปเงียบๆ

กลับมาถึงเรือนสี่สิบสี่ พบคนรู้จักหลายคน นอกจากเวิงเหล่าและหลี่เอ้อร์เกินสองคน คนอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องของคนอื่นนัก ทุกคนรู้อยู่บ้างว่านางเกิดเรื่อง เห็นจินเฟยเหยามีชีวิตรอดกลับมา ก็เพียงแค่พยักหน้าให้นาง เอ่ยวาจาประโยคหนึ่ง “มีชีวิตรอดมาได้ก็ดีแล้ว” แล้วทุกคนก็ไปทำธุระ

นางยิ้มอย่างขมขื่นกลับไปที่เรือน ก็เห็นต้นอ่อนหญ้าวิญญาณที่ปลูกแห้งเหี่ยวเพราะขาดน้ำ ก็รีบใช้เวทควบคุมน้ำดึงน้ำจากบ่อน้ำมารดจึงได้สบายใจ พลันนึกถึงไข่แมวบินได้ของตนเองขึ้นมา จินเฟยเหยาจึงรีบพุ่งไปยังห้องฝึกบำเพ็ญ เปิดประตูศิลาวิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อนมองตะกร้าไม้ไผ่ที่วางไข่แมวบินได้

ศิลาผลึกที่วางอยู่ข้างไข่กลายเป็นเศษหินสีขาวเทาไปนานแล้ว นางนึกไม่ออกว่าตอนตนเองออกจากบ้านทิ้งศิลาวิญญาณไว้ในตะกร้าไม้ไผ่จำนวนเท่าใด อย่างไรเสียก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว นางก็ไม่คิดจะสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณอีก ฟักออกมาอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะ

เพิ่งคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินไข่มีเสียงดัง ‘แคร่ก’ มีรอยแตกสายหนึ่งปรากฏบนเปลือกไข่ บังเอิญขนาดนี้เชียว คิดไม่ถึงว่าจะฟักพอดี จินเฟยเหยารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง จ้องมองตรงกลางเปลือกไข่แล้วครุ่นคิด จะตั้งชื่อแมวบินได้ตัวนี้ว่าอะไรดีนะ

‘แคร่ก’ มีบางอย่างดันเปลือกไข่ขึ้นมา ชีวิตน้อยๆ ในไข่โผล่หัวออกมาสำรวจ

“หวาซี เจ้าคนสารเลว!”

สมาชิกขั้นฝึกปราณของสำนักเฉวียนเซียนที่อาศัยอยู่ในเรือนใหญ่ ได้ยินเสียงร้องตะโกนอย่างเดือดดาลดังมา น้ำเสียงเกรี้ยวกราดพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้ายามราตรี ทำให้คนในสำนักจำนวนมากเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ไม่รู้ว่าในสำนักเกิดเรื่องใด

ผ่านไปหลายวัน

บนยอดเขาฉู่ถานสถานที่ตั้งของสำนักชิงโซ่ว มีเงาร่างเล็กผอม เดินขึ้นเขาอย่างเร่งรีบ

นางมาถึงนอกสำนักชิงโซ่ว บอกกับศิษย์เฝ้ายามว่าขอพบหวาซี ผู้ใดจะรู้ว่าศิษย์เฝ้ายามบอกว่า เพื่อแย่งชิงยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ดหวาซีถูกสำนักจัดการให้เข้าปิดด่านกักตนในสถานที่ต้องห้ามกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ แล้ว อีกสองปีให้หลังจึงจะออกมา

มิน่าเล่าส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงให้เขาก็ไม่เห็นเขาตอบ นึกว่าจงใจหลบหน้า ที่แท้ไปปิดด่านกักตนเป็นกลุ่ม นึกถึงเจ้าสิ่งที่ฟักออกมาจากไข่แมวบินได้ตัวนั้น จินเฟยเหยาก็มีโทสะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นหวาซีหยิบผิดหรือคิดจะหลอกนางแต่แรกอยู่แล้ว

จินเฟยเหยากัดฟัน มีความทุกข์ก็บอกออกมาไม่ได้ ถ้าตอนแรกหวาซีไม่ได้เอ่ยเตือนนาง เรื่องของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ให้คนทั้งสองกลายเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน[1] นางบอกเรื่องที่เขาเลี้ยงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณให้ทุกคนรู้หมดแล้ว

ยามมาก้าวย่างดุจเหินบิน ยามกลับไปแค่หนึ่งชุ่นยังยากจะเดิน จินเฟยเหยาเดินบนบันไดศิลาที่ทอดยาวไม่สิ้นสุดของเขาเซียนซู่อย่างหมดเรี่ยวแรง พอนึกถึง ‘สัตว์ภูติ’ ข้างกายจะเดินก็เดินไม่ออก นางแค่อยากเหม่อมองฟ้า ศิลาวิญญาณที่ผลาญใช้ไปเหล่านั้น ผู้ใดจะรับผิดชอบ

“อ๊บๆ”

“อ๊บบ้านเจ้าสิ ข้ายังไม่ได้หยดเลือดรับเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าอย่าตามข้าทั้งวันได้หรือไม่ จะไปตายที่ไหนก็ไป” จินเฟยเหยาเดิมทีมีโทสะ สัตว์ภูติข้างกายยังร้องเรียกนางตลอดเวลา เลยกลายเป็นที่ระบายโทสะของนางพอดี

“อ๊บๆ?” ข้างเท้าของนาง กบวิญญาณที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ บอกว่าเป็นกบวิญญาณยังให้เกียรติมันเกินไป นอกจากบนท้องสีขาวมีลวดลายเมฆแบบเรียบง่าย ทั่วร่างทั้งด้านบนและด้านล่าง ก็เหมือนกับกบธรรมดาเปี๊ยบ นี่คือ ‘แมวบินได้’ ที่จินเฟยเหยาใช้ศิลาวิญญาณเลี้ยงดูอย่างใส่ใจ

ไข่แมวบินได้ฟักออกมาเป็นกบ หลังจากจินเฟยเหยาตกตะลึง ก็ถือเปลือกไข่แตกและกบพุ่งเข้าไปในร้านสัตว์ภูติแห่งหนึ่ง หลังจากเจ้าของร้านตรวจสอบเปลือกไข่อย่างละเอียด ก็บอกนางอย่างชัดเจนว่า นางถูกหลอกแล้ว

ไข่ใบนี้คือไข่ของกบผานอวิ๋น ขนาดใกล้เคียงกับไข่ของแมวบินได้ เพียงแต่ไม่มีลายสีฟ้า ส่วนลายบนไข่ใบนี้ถูกคนวาดเข้าไป จงใจทำให้ไข่ของกบผานอวิ๋นกลายเป็นไข่แมวบินได้ เพียงแต่เจ้าของร้านชื่นชมฝีมือคนทำปลอมไม่หยุด บอกว่าเพิ่งเคยเห็นฝีมือการทำปลอมที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็นครั้งแรก จินเฟยเหยามีโทสะจนแทบจะพังร้านของเขา

เดิมทีนางยังกอดมันเอาไว้ ถ้ากบผานอวิ๋นตัวนี้เป็นสัตว์ภูติที่ดี น่าเกลียดก็น่าเกลียดเถอะ ลงทุนมานานขนาดนี้ก็ต้องทนใช้ คิดไม่ถึงว่าคำพูดของเจ้าของร้านจะทำลายความหวังของนางอย่างโหดร้าย กบผานอวิ๋นคือสินค้าข้างถนน สรุปว่าจัดอยู่ในพวกสัตว์ปิศาจหรือไม่ยังเป็นปัญหาที่ยังถกเถียงอยู่

เจ้าสิ่งนี้นอกจากกินแล้ว ไม่มีเวทมนตร์ใดๆ สมองเล็กเกินไป  เลี้ยงกระต่ายยังฉลาดกว่ามันเลย อีกทั้งยังไม่เคยมีใครเคยเห็นมันเลื่อนขั้น และไม่เคยมีคนเลี้ยงมันเป็นสัตว์เลี้ยง สาเหตุที่ในตลาดมีกบผานอวิ๋นขาย นั่นเป็นเพราะสัตว์เลี้ยงบางตัวชอบกินเนื้อของมัน มันเป็นอาหารสัตว์โดยสมบูรณ์ ศิลาวิญญาณชั้นล่างก้อนเดียว อย่างน้อยสามารถซื้อกบผานอวิ๋นที่โตเต็มวัยได้ยี่สิบตัว

จินเฟยเหยาออกมาจากร้านสัตว์ภูติ ก็โยนกบผานอวิ๋นทิ้ง ทว่าเจ้านี่กลับติดตามนางมาอย่างเชื่อมั่น จินเฟยเหยาไปที่ใด มันก็ตามไปที่นั่น สลัดก็สลัดไม่หลุด สุดท้ายปล่อยได้แต่ให้มันตามมาเป็นวัตถุพยานถึงสำนักชิงโซ่ว คิดไม่ถึงว่ายังคว้าน้ำเหลว

“พี่ชาย ไม่ต้องอ๊บๆ แล้ว ข้าไม่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง เจ้าเฝ้าบ้านไม่ได้ แล้วก็ช่วยข้าฆ่าคนวางเพลิงไม่ได้ เจ้าตัวเล็กแค่นี้ เอามาขี่ก็ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด อีกทั้งได้ยินว่าเจ้ากินเก่ง ข้าเลี้ยงสัตว์ที่ไร้ประโยชน์ไม่ไหว ไปตามบุญตามกรรมเถอะ” จินเฟยเหยาเดินคอตกอย่างหดหู่ ไม่สนใจกบผานอวิ๋นที่กระโดดตามนางมาติดๆ เลยสักนิด

กบผานอวิ๋นราวกับฟังคำพูดของนางรู้เรื่อง หยุดลง แล้วกระโดดพุ่งเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง

จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ ไปเสียก็ดี ฆ่ามันไปก็ระบายความแค้นไม่ได้ ถ้าจะฆ่าก็ต้องฆ่าเจ้าคนหลอกลวงหวาซี นางกำหมัดแน่น คิดไม่ถึงว่าจะกล้าหลอกข้า รอเจ้าออกจากด่าน ข้าจะชกหัวสุนัขของเจ้าให้กระจุย

“อ๊บๆ” ด้านหลังมีเสียงร้องของกบผานอวิ๋นดังมาอีก มาอีกแล้ว จินเฟยเหยาหมุนตัวไปอย่างมีโทสะยกเท้าขึ้นเอ่ยคำรามเสียงดังว่า “ในเมื่อเจ้าอยากตาย ข้าก็จะส่งเจ้าขึ้นสวรรค์”

ทว่าหลังจากเห็นกบผานอวิ๋นแล้ว เท้าที่ยกขึ้นก็หยุดชะงัก เห็นในปากกบผานอวิ๋นคาบดอกไม้ป่าน่ารักหนึ่งดอก เบิกตาโตมองนางอย่างน่าสงสาร

จินเฟยเหยาหนังศีรษะชา มารดามันเถอะ ผู้ใดบอกว่าเจ้าสิ่งนี้สมองเล็กนิดเดียวสติปัญญาต่ำตม คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่กำลังแสร้งทำเป็นน่าสงสารและประจบเอาใจนาง


[1] ตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน หมายถึง ลงเรือลำเดียวกัน อยู่ในสภาพหรือสถานการณ์เดียวกัน ถ้าตายก็ตายด้วยกัน