ตอนที่ 51 สัตว์ที่น่ากลัวที่สุด

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

กลิ่นดินโคลนลอยอยู่ในอากาศ เม็ดฝนตกกระหน่ำใส่ต้นไม้ใบหญ้าและพื้นดิน 

 

 

พายุลมแรงพัดพาฝนเม็ดใหญ่สาดลงมา ตกลงสู่พื้นดินก็กระเด็นเป็นหมอกสีขาวเหมือนคลื่นที่ถาโถม 

 

 

ข้างนอกมืดมิด มีหมอกหนาแน่น 

 

 

ภายในเต็นท์ก็ดูมืดสลัว 

 

 

ลมพัดผ้าม่านจนม้วนสะบัด ฝนสาดเข้ามา เฉียนเพ่ยอิงนำเชือกมาผูกไว้ด้านในสองเส้นจนแน่น เพื่อไม่ให้มันสะบัดไปมา 

 

 

ซ่งฝูหลิงยืนตรวจหลังคาเต็นท์ด้านบน กลัวว่าจะมีรอยรั่ว 

 

 

ยังดีที่ตอนสร้างเต็นท์ พ่อแม่ของนางทำหลังคาเต็นท์ทับกันหลายชั้นและมิดชิดมาก ชั้นด้านในสุดเป็นเสื่อน้ำมัน เสื่อน้ำมันคลุมเกินจากด้านบนลงมา มองดูแล้วยังสภาพดีกว่าคนพวกนั้นที่อาศัยอยู่ตรงเพิงพักพิงมาก 

 

 

ซ่งฝูหลิงวางใจ นางนั่งลงขัดสมาธิโดยมีผ้าห่มพันรอบตัวกับน้องชาย ในผ้าห่มก็มีถุงน้ำร้อนถุงหนึ่งที่ให้ความอบอุ่นกับเท้าทั้งสองข้าง บางทีก็นำถุงน้ำมาวางให้ความอบอุ่นบนท้อง 

 

 

ในมือของเฉียนเพ่ยอิงก็มีอีกถุงหนึ่ง แต่นางชอบนำถุงน้ำวางไว้ใต้ฝ่าเท้าของซ่งฝูเซิง 

 

 

จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร? 

 

 

ตั้งแต่ขึ้นเขามา ซ่งฝูเซิงก็ถอดรองเท้าออกแล้วสวมรองเท้าฟางที่ท่านย่าหม่าเป็นคนทำ 

 

 

รองเท้าแตะฟางนั้นสะดวกและไม่ต้องกลัวว่าจะสกปรก บางครั้งก็ต้องย่ำดินด้วยเท้าเปล่าเพื่อทำโคลน เดินลงแม่น้ำเพื่อไปตักน้ำ ในสายตาของเฉียนเพ่ยอิง ฝ่าเท้าของสามีนางไม่เคยได้รับความอบอุ่นมาก่อน นางเกรงว่าเขาจะเย็นเท้าจนเจ็บป่วย 

 

 

ซ่งฝูเซิงสวมกางเกงขาสั้นตัวใหญ่ เปลือยกายด้านบนแต่ก็พันตัวด้วยผ้าห่ม 

 

 

หมี่โซ่วรังเกียจที่ตัวของเขาไม่สะอาด เขาจึงจำเป็นต้องถอดผ้าทั้งหมดออก เสื้อผ้าก็เปียกชื้นด้วย ทำให้สวมใส่ไว้ก็ไม่สบายตัว 

 

 

ซ่งฝูเซิงดึงผ้าห่มที่เลื่อนตกลงมาให้กระชับขึ้นหน่อย อีกมือหนึ่งถือฝากาน้ำร้อนที่ลูกสาวใช้ใส่น้ำร้อน เขาดื่มน้ำอุ่นก่อนจะโบกมือพูดกับเฉียนเพ่ยอิง “รีบทำให้ตัวเจ้าอบอุ่นเถอะ ข้าไม่หนาว” 

 

 

“ไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาหรอกน่า แค่เอาถุงน้ำวางอยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ร้อนไว้หน่อย” 

 

 

ซ่งฝูเซิงปฏิเสธอีกครั้ง ไม่ต้องยุ่งยากมาก เขาแง้มหน้าต่างออกหน่อยเพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก เมื่อยื่นหัวมองออกไปก็ถึงกับขมวดคิ้วถอนหายใจ 

 

 

ซ่งฝูหลิงถาม “ท่านพ่อ ด้านนอกยังมีคนไหม? ทุกคนยังอยู่ตรงนั้น? ได้ยินที่พวกเขาพูดกันหรือไม่ ตกลงเป็นเด็กบ้านใครที่ถูกงูกัด ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

ซ่งฝูเซิงปิดม่าน มือที่โดนน้ำฝนก็นำไปเช็ดกับผ้าห่มเช็ดจนแห้งจึงตอบคำถาม 

 

 

“พอเห็นลางๆ มีคนกลุ่มหนึ่งยังอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือเด็กท่ามกลางสายฝน… 

 

 

…ครุ่นคิดแบบโง่ๆ ถูกงูกัดจะดีได้ยังไง… 

 

 

…ข้าจะบอกพวกเจ้า ถ้าถูกงูกัดแล้ว ห้ามเคลื่อนย้ายส่งเดช ห้ามเดิน ต้องอยู่ที่เดิม… 

 

 

…ข้าเดาว่าคงกำลังใช้เศษผ้ามัดให้แน่นเพื่อไม่ให้พิษแล่นเข้าไปถึงหัวใจ เฮ้อ ต้องมัดให้แน่นหลายจุดเพื่อไม่ให้พิษงูแพร่กระจายลามไปส่วนอื่น เสร็จแล้วยังต้องใช้มีดเล็กๆ กรีดแผลเพื่อบีบเลือดสีดำออกจนกว่าเลือดสีแดงไหลจะออกมา แต่มันก็ยังไม่ปลอดภัยมากนัก… 

 

 

…พิษงูร้ายแรง ถ้าเห็นแต่ละส่วนเริ่มเป็นสีดำก็จำเป็นต้องตัดอวัยวะ… 

 

 

ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะรู้เรื่องนี้หรือไม่” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วตั้งใจฟังจนตาโต ใช้มีดกรีด บีบเลือดออก? 

 

 

ซ่งฝูหลิงได้ยินว่าต้องตัดอวัยวะ สวรรค์ ใช่สิ ยุคโบราณไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีเซรุ่ม “ท่านพ่อ หากตัดอวัยวะออกไปแล้วยังมีพิษงูอยู่จะทำอย่างไร?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงมองหน้าบุตรสาว “ก็ตัดไล่ขึ้นไปอีก” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงถลึงตาใส่ซ่งฝูเซิง เดิมทีท้องฟ้าก็มืดครึ้ม ด้านนอกฝนก็ตกและยังมีเสียงฟ้าร้อง ลมก็พัดแรง นี่ยังจะพูดเรื่องน่ากลัวอีก ตัดอวัยวะเป็นส่วนๆ มีแต่เลือดเต็มไปหมด 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงพูดขัดจังหวะ “อย่าถามพ่อเจ้าเรื่องงูอีกเลย พ่อของเจ้ากลัว ถึงไม่ได้ออกไปช่วยเหลือ”  

 

 

ซ่งฝูเซิงรู้สึกว่า เฉียนหมี่โซ่วเป็นเด็กน้อยวัยเพียงไม่กี่ขวบ เมื่อได้ยินว่าเขากลัวงูก็มองเขาด้วยสายตาสมเพช เขาต้องส่งเสียงเตือนภรรยา  

 

 

พูดเรื่องนี้กับเด็กๆ ทำไมกัน 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงไม่สนว่าซ่งฝูเซิงจะเสียหน้าหรือไม่ นางเล่าต่อ “พ่อของเจ้าตอนเด็กซุกซนมาก ยังไม่เติบใหญ่ก็ตามคนขึ้นเขาไป เขาเห็นกับตาว่าผู้เฒ่าคนหนึ่งในหมู่บ้านถูกงูกัด ตั้งแต่นั้นมาเขาก็รู้สึกฝังใจจนกลัวงูมาก” 

 

 

ซ่งฝูหลิงไม่เคยได้ยินพูดเรื่องพวกนี้มาก่อนก็รีบถามต่อ “ท่านพ่อ หลังจากนั้นล่ะ ผู้เฒ่าคนนั้นตอนหลังเป็นอย่างไรบ้าง?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงถอนหายใจ “จะเป็นยังไง ก็ต้องตั้งธูปเทียนกระดาษเงินกระดาษทอง เป่าปี่ ผ้าขาวคลุมร่าง ผู้คนในหมู่บ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็รออาหารมาเสิร์ฟไงเล่า” 

 

 

คนตายแล้วก็ต้องเตรียมข้าวไง