เล่ม 1 ตอนที่ 47 ซือถิง

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

นางมองเด็กหนุ่มตรงหน้า

เขาน่าจะอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี ทั้งสูงและผอม และรูปร่างหน้าตาของเขาดูเกลี้ยงเกลา แต่กลับมีท่าทางเย่อหยิ่ง ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด

“อาจารย์ไป๋เชินให้ข้ามาที่นี่ เจ้ากำลังจะบอกว่าเป็นความผิดของอาจารย์ไป๋เชินอย่างนั้นหรือ”

ฉู่หลิวเยว่ถามเสียงเรียบนิ่ง

เด็กหนุ่มคนนั้นหน้าถอดสีเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้วมุ่น

ไป่เชินเป็นหนึ่งในครูระดับสูงด้านปรมาจารย์ในสำนัก และมีสถานะสูงส่งเป็นที่เคารพ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินอาจารย์ไปเชิน

หากได้ยินถึงหูอาจารย์ เขาต้องซวยแน่ๆ

สักพักเขาก็แสยะยิ้มอย่างเย็นชา

“เจ้าคิดแค่จะเอาอาจารย์ไป๋เชิญมาบังหน้าอย่างเดียวหรือ มีความสามารถก็แสดงออกมาสิ มิฉะนั้น ต่อให้เจ้าสอบเข้ามาได้ก็ไม่มีใครเห็นค่าเจ้าหรอก”

ฉู่หลิวเยว่ “อ่อ” เพียงคำเดียว

“ตอนนี้ข้าก็เข้าร่วมการสอบแล้วไงเล่า เจ้ากำลังขวางข้าอยู่ พี่ใหญ่”

เด็กหนุ่มหน้าดำหน้าแดง พอเห็นฉู่หลิวเยว่ก็อยากด่าชุดใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

“ซือหยาง กลับมา”

ขณะนั้นก็มีน้ำเสียงกังวานใสดังขึ้น

แม้ว่าน้ำเสียงจะสงบ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความสง่างามที่ผู้คนไม่สามารถต้านทานได้

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองก็พบว่าเสียงนั้นมาจากเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังกลุ่มคน

หลังจากเห็นรูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่ม ฉู่หลิวเยว่ก็เลิกคิ้วขึ้น

เพราะรูปร่างหน้าตาของคนนี้ช่างหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา

คิ้วคมสัน ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดาว เครื่องหน้าหล่อเหลา โครงหน้าคมเข้ม

เขายืนอยู่ตรงนั้นรายล้อมไปด้วยผู้คน เมื่ออยู่รวมกันคนอื่นก็ดูไม่น่าสะกดสายตาเท่าเขา

พระอาทิตย์ส่องแสง เงาของต้นไม้สั่นไหว และเขายืนเอามือไพล่หลัง เขารัศมีที่เฉียบคมอย่างน่าประหลาดราวกับดาบที่กำลังจะออกจากฝัก!

ป้ายชื่อบนหน้าอกของเขายังเป็นสีขาวดำ และเห็นได้ชัดว่าเขาก็เป็นปรมาจารย์เหมือนกัน

เขาผู้นี้…ดูไม่ง่ายเลยทีเดียว…

ฉู่หลิวเยว่แอบคิดในใจ

ตอนที่นางมาเมื่อครู่นี้ไม่ได้สังเกตคนผู้นี้เลย หากพูดตามจริง พลังปราณของเขาชัดเจนมาก นางไม่มีทางมองข้ามได้เด็ดขาด

มีความเป็นไปได้ทางเดียวเท่านั้น เมื่อครู่นี้ชายหนุ่มได้ลดปราณลงได้อย่างแยบยล!

เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่าความพลังความสามารถของเขาไม่อ่อนแออย่างแน่นอน!

ราวกับว่าเขาสังเกตเห็นสายตาที่มองมาของฉู่หลิวเยว่ ชายหนุ่มก็หันมาเล็กน้อย และเขาก็เหลือบมองนางด้วยเช่นกัน

ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจ

คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ผู้นี้ เขาเคยพบเห็นมาก่อน ในความทรงจำของเขานางเป็นคนอ่อนแอขี้ขลาด แค่ตอนนี้ทำไมถึงดูเปลี่ยนไปราวกับคนละคน

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าซือหยางเม้มริมฝีปาก เขามองฉู่หลิวเยว่แล้วกดเสียงต่ำ

“ตอนสอบได้เห็นดีกันแน่”

ฉู่หลิวเยว่ยักไหล่ให้อย่างไม่ยี่หระ

นางไม่แน่ใจว่าเขามีความสามารถนั้นหรือไม่

แต่ว่า…ซือหยางชื่อนี้….

ดูเหมือนจะเป็นคนในตระกูลซือ หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ใช่หรือไม่

“พี่ใหญ่”

ซือหยางเดินไปอยู่ข้างกายชายคนนั้น กลายเป็นสุนัขเชื่องๆ ตัวหนึ่ง

ฉู่หลิวเยว่จึงนึกขึ้นได้ทันที

ที่แท้ก็คือเขานี่เอง

เด็กแรกรุ่นของตระกูลซือมีมากมาย ผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในนั้นก็คือซือถิง…คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซือ

ครึ่งปีที่แล้ว เขาเป็นที่หนึ่งในการสอบปรมาจารย์และได้เข้ามาในสำนักเทียนลู่

ณ ตอนนั้น อาจารย์ในสำนักเทียนลู่เคยยกย่องว่าซือถิงมีความสามารถอย่างมากในด้านนี้ และภายในเวลาไม่กี่ปี เขาสามารถกลายเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ที่โดดเด่นที่สุดของแคว้นเย่าเฉิน

เวลานั้นจึงเกิดความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่

ซือถิงได้รับการยกย่องและชื่นชมมากกว่าฉู่เซียนหมิ่นที่ได้อันดับหนึ่งจากการสอบผู้ฝึกยุทธ์เสียอีก

ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของฉู่เซียนหมิ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และชื่อเสียงของนางก็โด่งดังขึ้นเช่นกัน แต่ทางด้านซือถิงดูเหมือนจะเงียบไปโดยสิ้นเชิง

เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็จำได้แค่ว่าฉู่เซียนหมิ่นโดดเด่นเพียงใด

“ค่ายกลแปดวารีที่ข้าแสดงให้เจ้าเห็นเมื่อสองสามวันก่อน เจ้าสามารถศึกษาละเอียดถ่องแท้หรือยัง”

ซือถิงเอ่ยถาม

ซือหยางรีบพยักหน้าตอบ

“แน่นอน! พี่ใหญ่บอกว่าตราบใดที่ข้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลนี้อย่างถี่ถ้วน ก็หวังว่าข้าจะบรรลุจากปรมาจารย์ขั้นที่หนึ่งไปสู่ปรมาจารย์ขั้นที่สอง ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาข้าจึงตั้งใจศึกษามาโดยตลอด!”

คนข้างกันนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดว่า

“ซือถิง ช่วงที่เจ้าเก็บตัวหลายวัน ซือหยางบรรลุปรมาจารย์ขั้นที่สองสำเร็จแล้ว!”

ซือหยางอดแสดงสีหน้าดีใจและสะใจไม่ได้

“พี่ใหญ่ แม้ข้าจะเทียบกับพี่ไม่ติด แต่ข้าไม่กล้าอู้หรอก ข้าฝึกฝนอย่างหนักตลอดเวลาเลยนะ”

ใบหน้าของซือถิงเผยรอยยิ้มดั่งพระจันทร์ดั้นเมฆ

“เช่นนั้นก็ดี”

จู่ๆ ซือหยางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดังนั้นเขาจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้และถามว่า

“พี่ใหญ่ พี่ได้ยินหรือมา ดูเหมือนรางวัลการสอบในครั้งนี้จะเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะคนที่สอบได้ที่หนึ่ง ดูเหมือน…”

“ทุกคนเตรียมตัวเข้าที่!”

ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ก็มีเสียงอาจารย์คุมสอบดังขึ้น

ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลง

“ผู้เข้าสอบผู้ฝึกยุทธ์อยู่เขตที่หนึ่ง ผู้เข้าสอบปรมาจารย์อยู่เขตที่สอง และผู้เข้าสอบหมอเทวดาอยู่เขตที่สาม ผู้เข้าสอบทุกคนเข้าสนามสอบพร้อมกัน!”

ดังนั้น อาจารย์บางท่านจึงเริ่มพานักเรียนไปยังพื้นที่การสอบประเภทต่างๆ

ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ถูกนำตัวไปยังเขตที่สองอย่างรวดเร็ว

ตรงนั้นมีอาจารย์บางท่านยืนรอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ฉู่หลิวเยว่เห็นว่าผู้คนในเขตนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอาจารย์หรือลูกศิษย์ ล้วนเป็นปรมาจารย์โดยไม่ผิดแผก

นางมองย้อนกลับไปก็พบว่าสนามสอบทั้งสามแห่งนั้นอยู่ใกล้กันมาก และพวกเขายังสามารถเห็นกันและกันได้ แม้พื้นที่นั้นจะแยกจากกัน

“ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่สนามสอบปรมาจารย์”

มีอาจารย์ท่านหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“อันที่จริง โจทย์นั้นง่ายมาก พวกเจ้าเห็นผืนป่าข้างหน้านี่หรือไม่ เพียงแค่เข้าไปในป่าเดินผ่านป่าไปเอาธงไปฝั่งตรงข้าม เท่านี้ก็ถือว่าสำเร็จ!”

เมื่อสิ้นเสียงนั้น นักเรียนหลายสิบคนไม่เพียงแต่ไม่โล่งอกเท่านั้น แต่ยังรู้สึกประหม่าอีกด้วย

ทุกคนรู้ดีว่าป่าแห่งนี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปง่ายๆ เด็ดขาด! ภายในนั้นจะต้องสร้างค่ายกลเอาไว้อย่างแน่นอน

“อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่พวกเจ้าต้องฟังให้ดี…หลังจากที่เข้ามไปแล้ว ทุกคนต้องผ่านบททดสอบด้วยตัวเอง หากพบว่ามีการร่วมมือกัน ผลสอบจะถือเป็นโมฆะ!”

เมื่อพูดถึงประโยคนี้ สีหน้าของอาจารย์ก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมา

“ระหว่างสอบทั้งหมดจะถูกตรวจสอบโดยอาจารย์ และถ้าพวกเจ้าไม่พอใจก็เก็บความคิดนั้นไปซะ เข้าใจไหม”

“ขอรับ!”

“เจ้าค่ะ!”

นักเรียนทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด

อันที่จริง กฎเกณฑ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดแล้ว การสอบของปรมาจารย์นั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของแต่ละคนล้วนๆ

หากร่วมด้วยช่วยกันมันจะมีความหมายอะไร

“ดี ตอนนี้ข้าจะประกาศแล้ว ผู้เข้าสอบปรมาจารย์…เริ่มได้!”

เมื่อสิ้นเสียงของอาจารย์ท่านนั้น เขาก็โยนบางสิ่งในมือออกมา

ปัง!

ดอกไม้ไฟระยิบระยับระเบิดกลางอากาศ!

“ไป!”

ทันทีที่ดอกไม้ไฟระเบิด คนผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่ลังเล!

ในชั่วพริบตา ร่างนั้นก็หายเข้าไปในป่าทึบทันที!

“รีบร้อนทำไม สอบปรมาจารย์ไม่ใช่สอบวิ่งเร็วสักหน่อย”

ซือหยางบ่นแล้วเหลือบมองซือถิง

“พี่ใหญ่ ข้าไปก่อนนะ”

ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถร่วมมือกันได้อยู่ดี แยกย้านกันไปจะดีที่สุด

ซือถิงพยักหน้า

ผู้คนจากไปทีละคนและในไม่ช้าก็เหลือเพียงฉู่หลิวเยว่กับซือถิงสองคน

ซือถิงกำลังจะยกเท้าขึ้น แต่พบว่าฉู่หลิวเยว่เร็วกว่าเขาและเดินตามหลังด้านขวาของนางสามก้าว

ทันใดนั้นเขาก็หรี่ตาลง