ตอนที่50 ของขวัญแรกพบ
หลังขึ้นไปชั้นสองและหาห้องนอนของตัวเองพบ ฉีเล่ยก็ตรงเข้าไปในห้องน้ำ จัดการอาบน้ำชำระร่างกายทันที
แต่ระหว่างที่กำลังชโลมครีมอาบน้ำลงบนร่างกาย ฉีเล่ยก็เพิ่งนึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้..
เขาไม่ได้นำเสื้อผ้าติดตัวมาด้วยเลยสักชุด!
จะให้ใส่ชุดเดิมหลังอาบน้ำสะอาดแล้วก็คงไม่ดีนัก เพราะตอนที่ช่วยหญิงสาวบนเครื่องบินนั้น ร่างกายของเขาก็มีเหงื่อไหลโทรมจนเหม็นอับไปหมด
ในกระเป๋าเดินทางของเขาเวลานี้ มีเพียงแค่ตำราแพทย์และตำราสมุนไพรเท่านั้น เขาไม่ได้นำเสื้อผ้าใส่มาด้วยเลยแม้แต่ตัวเดียว นี่เขาจะต้องนอนในสภาพห่อผ้าเช็ดตัวเล็กๆผืนเดียวจริงๆหรือ?
‘บ้าน่า! มันก็ดูมักง่ายเกินไป!’
ฉีเล่ยรีบล้างฟองสบู่เต็มตัวออก แล้วจึงรีบวิ่งออกไปเปิดตู้เสื้อผ้าภายในห้องดู เผื่อว่าจะมีเสื้อผ้าของใครทิ้งไว้ให้เขาใช้ปกปิดร่างกายได้บ้าง
นับว่าโชคยังดีที่ฉีเล่ยไปเจอเสื้อคลุมอาบน้ำอยู่ในตู้เสื้อผ้าพอดี น่าเสียดายที่เสื้อคลุมอาบน้ำตัวนั้นเป็นเสื้อคลุมสำหรับผู้หญิง
แต่ก็โชคดีที่เป็นไซส์ใหญ่ที่ฉีเล่ยพอจะใส่ได้ ส่วนสีนั้นเป็นสีชมพูหวานแหวว และมีลูกไม้แซมเล็กน้อย หลังจากสวมใส่แล้ว ฉีเล่ยก็เดินมายืนมองดูตัวเองหน้ากระจก
เขาเข้าใจได้กระจ่างแจ้งทันทีว่า เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของยายสาวน้อยหน้าตาเย็นชาไร้อารมณ์นั่น เธอจงใจแกล้งส่งเขามาอยู่ในห้องรับรองของผู้หญิง และเป็นเพราะผ่านการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ร่างกายของเขาจึงเหนียวเหนอะหนะ ทำให้อยากรีบเข้าไปอาบน้ำ จนลืมสังเกตรอบๆก่อน
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?”
เสื้อคลุมอาบน้ำตัวนี้ เขาไม่กล้าใส่ออกไปข้างนอกแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องนี้หลุดไปเข้าหูคนอื่นเข้า มีหวังเขาคงไม่กล้าสู้หน้าผู้คนตลอดชีวิต
“แต่ถ้าไม่ใส่ จะให้เดินแก้ผ้าออกไปหรือยังไง?”
ฉีเล่ยนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบวิ่งไปที่หน้าต่างห้องนอน เขาตั้งใจที่จะร้องตะโกนเรียกหลานสาวของอาวุโสหลี่ให้ช่วยหาเสื้อผ้าให้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เธอเองก็ไม่ได้อยู่ที่ลานหน้าบ้านแล้ว
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ฉีเล่ยจึงต้องจำใจหยิบผ้าเช็ดตัวผืนน้อยมาปิดส่วนสำคัญของร่างกายไว้ แล้วจึงค่อยๆย่องออกไปข้างนอกเงียบๆ และระมัดระวังไม่ให้ใครมาเห็นเข้า
หลังจากออกมาจากห้อง ฉีเล่ยก็ด้อมๆมองหาห้องนอนของหลี่ฮั่วเฉิน เพื่อที่จะเข้าไปยืมเสื้อผ้าของอีกฝ่ายใส่ก่อน
ฉีเล่ยย่องไปได้แค่ครึ่งทาง เสียงเอี๊ยดคล้ายประตูเปิดก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา และเมื่อเหลียวหลังมองกลับไป ก็พบใบหน้าของสาวน้อยที่กำลังจ้องมองมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“นี่คุณ…คิดจะทำบ้าอะไร?”
หญิงสาวร้องตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นเคย
“ผมเปล่าทำอะไรนี่!”
ฉีเล่ยกล่าวตอบไปด้วยสีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนไม่น้อย
ในความเป็นจริง เมื่อผู้หญิงเจอผู้ชายแก้ผ้าล่อนจ้อน มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนน้อยปิดอยู่อย่างนี้ อีกฝ่ายหญิงควรจะต้องหน้าแดงลามไปจนถึงใบหูสิ แล้วก็ต้องยกมือสองข้างปิดหน้าปิดตา พร้อมกับแอบมองลอดนิ้วมือ ปากก็ควรต้องกรีดร้องลั่น และสบถคำด่าออกมาสักคำอย่างเช่น ‘ไอ้โรคจิต! ไอ้วิตถาร!’ ก่อนจะวิ่งหนีออกไป
แต่…แต่…ปฏิกิริยาของสาวน้อยคนนี้ กลับเหนือความคาดหมายของฉีเล่ยอย่างสิ้นเชิง!
เธอเพียงแค่ยืนกอดอกแน่น ท่าทีจองหองอวดดีอย่างที่สุด ดวงตากลมโตคู่สวยที่จ้องมองฉีเล่ยเขม็งนั้น ดูเย็นชาเสียยิ่งกว่าอะไร
“แน่จริงก็ถอดเลยสิ! ไม่กล้าถอดรึไง?”
สาวน้อยแสยะยิ้มเย็น พร้อมกับร้องตะโกนท้าทายฉีเล่ยอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณ…คุณชนะ…”
ฉีเล่ยจำต้องยอมจำนนแต่โดยดี แต่ทว่าปลายเสียงกลับเจือด้วยความโมโหไม่น้อย และได้แต่กระชับจับผ้าขนหนูผืนน้อยที่ปกปิดส่วนสำคัญไว้แน่น ก่อนจะจำใจรีบวิ่งกลับเข้าห้องตัวเองไปในทันที
ฉีเล่ยรู้สึกอับอายขายหน้า และสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เขาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยความหดหู่เศร้าสร้อย
‘แกล้งกันเกินไปแล้ว!’
“ในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ ก็นอนมันทั้งแบบนี้ล่ะ!”
หลังจากบ่นพึมพำออกมา ในที่สุดฉีเล่ยก็เผลอหลับไปในทันที
และไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ เสียงเคาะประตูที่ดังมาจากด้านนอก ก็ได้ปลุกให้ฉีเล่ยตื่นขึ้นมาในสภาพสะลึมสะลือ
ฉีเล่ยยังคงโมโหไม่หาย เขาร้องคำรามออกมา “แม่สาวน้อย! คิดว่าคนอย่างฉันจะไม่กล้าถอดจริงๆหรือไง!? ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง จะต้องไปกลัวอะไรกับแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง!”
ยิ่งคิดฉีเล่ยก็ยิ่งแค้นสุดขีด เขาดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนในสภาพร่างกายเปลือยเปล่าทันที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความโมโห
“คราวนี้ไม่ต้องชงต้องใช้มันล่ะ ไอ้ผ้าเช็ดตัวนี่!”
ฉีเล่ยตัดสินใจได้ลุกขึ้นเดินในสภาพเปลือยล่อนจ้อน มือจับประตูเปิดผางออกทันที!
“คิดว่าฉันไม่กล้าถอด.…”
“อะ-อาวุโสหลี่?”
หลี่ฮั่วเฉินยืนมองฉีเล่ยในสภาพเปลือยล่อนจ้อนอยู่หน้าประตูห้องนอน ตาของเขาแทบถลนออกจากเบ้า เขาร้องอุทานออกมาแผ่วเบาด้วยความตกใจ พร้อมกับยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงสามารถสงบจิตสงบใจลงได้
“ฉีเล่ย นี่เธอ…”
ปัง!
ฉีเล่ยรีบปิดประตูใส่หน้าอาวุโสฉี แล้ววิ่งกลับไปที่เตียงนอนคว้าผ้าเช็ดตัวผืนน้อยนั้นมาทันที
และเมื่อเขาเปิดประตูออกมายืนอยู่ต่อหน้าหลี่ฮั่วเฉินอีกครั้ง ก็มีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนน้อยพันอยู่รอบเอวแล้ว ชายหนุ่มฝืนยิ้มแห้ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนว่า
“อาวุโสหลี่ ผมต้องขอโทษด้วยครับ พอดีผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จ…”
“อาบน้ำ?”
“ใช่ครับ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกมาเปิดตู้เสื้อผ้าดู จึงได้เห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสำรองเตรียมไว้เลย” ฉีเล่ยระล่ำระลักอธิบายออกไป
“งั้นรึ? เป็นความประมาทเลินเล่อของฉันเองล่ะ” หลี่ฮั่วเฉินยกมือขึ้นกุม และรีบบอกฉีเล่ยไปว่า
“เอาล่ะๆ เธอรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันจะไปเอาเสื้อผ้าของฉันมาให้ เธอใส่ไปก่อนก็แล้วกัน ว่าแต่ถงซีไม่อยู่เหรอ?”
“ถงซี?”
“หลานสาวฉันไงล่ะ นี่เธอยังไม่ได้พบกับถงซีอีกเหรอ?”
“อาวุโสหลี่ แล้วคุณคิดว่าที่ผมต้องนอนโป๊อยู่แบบนี้เป็นเพราะใครกันล่ะครับ?”
ฉีเล่ยอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เมื่อคิดว่าที่ตนเองต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เพราะใคร? และถ้าไม่ใช่เธอคนนั้น ก็คงเป็นผีสางกระมัง?
หลี่ฮั่วเฉินทำสีหน้าหยอกเย้า พร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ “ฮ่าฮ่า ในเมื่อเจอกันแล้ว ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วนะ”
“ครับ รู้จักกันแล้วครับ” ฉีเล่ยพยักหน้าตอบอย่างช่วยไม่ได้
“อืม ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้เธอก่อน ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปทานข้าวกันข้างล่างด้วยกัน”
หลี่ฮั่วเฉินร้องบอกฉีเล่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ทั้งรูปร่างและความสูงของฉีเล่ยนั้น ค่อนข้างใกล้เคียงกับหลี่ฮั่วเฉิน เขาจึงสามารถใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อฉีเล่ยเดินลงมาชั้นล่าง เขาก็เห็นหลี่ฮั่วเฉินกับหลานสาวนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว มีสาวใช้หนึ่งคนที่ง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหาร และสาเหตุที่ฉีเล่ยไม่ทันได้เจอสาวใช้คนนี้ ก็เพราะตอนที่เขามาถึงนั้น เธอออกไปซื้อของข้างนอกพอดี
“ฉีเล่ยมานั่งตรงนี้สิ วันนี้พวกเราสองคนมาดื่มฉลองกันหน่อยดีไหม?”
หลี่ฮั่วเฉินส่งแก้วเปล่าให้ฉีเล่ย และเมื่อชายหนุ่มตอบตกลง อีกฝ่ายก็รีบเปิดขวดไวน์รินให้ทันที
ก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยไมสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่หลังจากที่ได้รับสืบทอดทักษะทางการแพทย์จากบรรพชนสกุลเฉิน ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไป และสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้เป็นปกติ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมายอะไร
แม้ว่าหลี่ถงซีจะนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขาเช่นกัน แต่ทว่า สีหน้าของเธอก็ยังเย็นชาไร้อารมณ์ความรู้สึกอยู่ดี ในระหว่างนั้น ก็คอยแอบมองคนทั้งสองที่ดื่มกินอย่างเงียบๆ
หญิงสาวสังเกตเห็นว่า ฉีเล่ยกับปู่ของเธอนั้นจิบไวน์ พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้สีหน้าของหญิงสาวจะยังคงเรียบเฉย แต่กลับแอบประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
ระหว่างนั้น หลี่ฮั่วเฉินก็ได้บอกกับฉีเล่ยว่า “แล้วเธออยากจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่ล่ะ? ถ้าไม่รีบไม่ร้อนอะไรนัก ก็พักผ่อนสักสองสามวันให้หายเหนื่อยก่อนก็ได้ อีกอย่าง พรุ่งนี้ก็ตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอดี”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมว่าจะไปหาซื้อเสื้อผ้ามาใส่ไปพลางๆก่อน”
ฉีเล่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกกับหลี่ฮั่วเฉินไปว่า
“เฮ้อ.. ผมลืมไปสนิทเลยตอนที่จัดกระเป๋า หยิบทั้งตำราแพทย์กับตำราสมุนไพรมาใส่กระเป๋า แต่กลับลืมเสื้อผ้าซะได้! นี่ผมคงใกล้จะเป็นอัลไซเมอร์แล้วสินะครับ?”
“ฉันว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย ทั้งๆที่เธอมีทักษะฝีมือทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศมากอยู่แล้ว แต่กลับไม่ลืมที่จะใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา นี่ถ้าเปรียบกับฉันตอนยังหนุ่ม เธอชนะขาดลอยเลยล่ะ!”
“อาวุโสหลี่ชมเกินไปแล้วครับ” ฉีเล่ยตอบกลับด้วยท่าทางสุภาพ และอ่อนน้อมถ่อมตน
“ไม่เลย ไม่เลย ฉันพูดตามความจริงต่างหาก”
หลังจากชนแก้วกันอีกสองสามรอบ จู่ๆหลี่ฮั่วเฉินก็เหลือบมองไปทางหลี่ถงซีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนจะหันกลับมาถามฉีเล่ยว่า
“ฉีเล่ย เธอคิดว่าหลานสาวฉันเป็นยังไงบ้าง?”
“ห๊ะ?”
ฉีเล่ยถึงกับร้องอุทานออกมา และได้แต่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก
‘เป็นยังไงที่อาวุโสหลี่ถาม มันหมายความว่ายังไงกันแน่?’
“เอ่อ…เธอก็น่ารักดีครับ” ฉีเล่ยตอบแบบขอไปที
เขาไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดหลี่ฮั่วเฉินจะต้องถามเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วย? อย่างไรเสียเขาก็ต้องตอบไปตามมารยาทอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะให้เขาตอบว่าอะไร? หลานสาวของคุณยืนกอดอกมองดูผมนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว พร้อมกับท้าทายให้ผมถอดมันออกอย่างนั้นหรือ?
แต่ฉีเล่ยก็ไม่ได้พูดอย่างที่ใจคิดออกไป “เพียงแต่ หลานสาวของอาวุโสหลี่เป็นคนค่อนข้างเย็นชาไปหน่อยครับ”
“แล้วคิดว่ายังไงบ้าง? ไม่เลวเลยใช่ไหม?”
“เอ่อ…ไม่เลวเลยครับ ไม่เลวเลย คุณหลี่เธอสวยมากเลยครับ”
ฉีเล่ยยังคงตอบแบบขอไปที แต่แล้วจู่ๆ ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
“ดีๆ ถ้าเธอชอบหลานสาวฉัน ฉันก็จะให้พวกเธอสองคนแต่งงานกัน”
หลี่ฮั่วเฉินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาทำราวกับหลานสาวเป็นสินค้าขายไม่ออก จึงเที่ยวพยายามจะยกเธอให้ใครต่อใคร
“……”
‘นี่มันบ้าอะไรกัน?’
‘เอ่อ…อย่ารีบร้อนไปนักสิครับ! ผมเพิ่งจะมาถึงปักกิ่งเป็นวันแรก อาวุโสก็จะยกหลานสาวให้เป็นของขวัญฉันทันทีเลยเหรอ!’
ฉีเล่ยรีบคว้าแก้วไวน์ขึ้นมากระดกจนหมดรวดเดียว พร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“อาวุโสหลี่ พวกเราสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเองนะครับ และที่สำคัญ…ผมแต่งงานแล้วครับ!”