ตอนที่ 51 โรคกลัวผู้ชาย

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่51 โรคกลัวผู้ชาย

“อะไรนะ? เธอแต่งงานแล้วเหรอ?”

“ใช่ครับ ผมแต่งงานแล้ว แต่งมานานแล้วด้วย”

ฉีเล่ยมองไปยังหลี่ฮั่วเฉินก่อนตะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“รู้สึกว่าเรื่องนี้ผมบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ที่ร้านกาแฟชั้นล่างของโรงพยาบาลทหารหนานหยาง…”

หลี่ฮั่วเฉินตบหน้าผากตัวเองไปทีหนึ่ง

ฉีเล่ยบอกเรื่องนี้กับเขาแล้วจริงๆ นั้นเป็นครั้งแรกเลยที่เขาปรึกษากับฉีเล่ยเกี่ยวกับเรื่องงาน ทีแรกก็คุยกันเรื่องงานก่อนจะวกเข้าเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย ซี่งฉีเล่ยก็บอกเองว่า ภรรยาของเขาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลในเมืองหนานหยาง และไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นักหากต้องจากบ้านมาเมืองหลวง

หลี่ฮั่วเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูท่าตัวเขาเองจะเป็นกังวลเรื่องชีวิตในอนาคตของหลานสาวตัวเองจนเกินไป

“เฮ้ออ… น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ ถ้าเธอยังไม่แต่งงานจะดีมากเลย ถ้าแบบนี้หลานสาวของฉันคง…”

ปัง!

หลี่ถงซีตบโต๊ะเสียงดังปัง ก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบตักข้าวเข้าปากอย่างดุเดือด จากนั้นก็วางทุกอย่างลงบนโต๊ะและกล่าวขึ้นว่า

“คุณปู่! นี่พูดอะไรของปู่น่ะ? ใครจะบ้าอยากแต่งงานกับเขากัน? ต่อให้เขายังไม่แต่งงาน หนูก็ไม่มีทางชอบเขาลง!”

ใบหน้าอันละเอียดลอองดงามของหลี่ถงฉีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ แววตาอัดแน่นไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวสาดสะท้อนออกมา แต่นี่ยิ่งเสริมอารมณ์เพื่อเสน่ห์หาจนงดงานยิ่งเกินพรรณนา

“ถงฉี หลานเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ มันถึงเวลาที่ต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้บ้างแล้ว”

หลี่ฮั่วเฉินพยายามเกลี้ยกลิ่มเธอจากใจจริง

“พวกปู่กินต่อกันไปเถอะ หนูอิ่มแล้ว!”

หลี่ถงซีลุกขึ้นพรวดยืนขึ้นและเดินขึ้นชั้นสองกระทืบเท้าเสียงดังปึงปัง

เมื่อเห็นหลี่ถงซีเดินขึ้นบันไดจากไปพ้นสายตา หลี่ฮั่วเฉินกับฉีเล่ยก็หันมามองหน้ากันเล็กน้อย พลางส่ายหัวอานอย่างขมขื่น

“โถ่… ฉีเล่ย ฉันพูดตามตรงเลยนะ นายเป็นคนสำคัญกับพวกเราจริงๆ ในตอนนี้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอยอดเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ แถมยังเป็นคนดี รู้จักกาลเทศะ ถ้ายังไม่แต่งงาน ฉันคงอยากให้นายแต่งเข้าตระกูลหลี่ไปแล้ว…”

หลี่ฮั่วเฉินถอนหายใจ

“อาวุโสหลี่ไม่ต้องห่วงนะครับ มีลูกหลายนับเป็นโชคลาภอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้เหลือก็แค่เรื่องลูกเขยที่จะมาแต่งกับเธอเท่านั้น เรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้หรอกครับ”

“ไม่รีบร้อนงั้นเหรอ? ฉีเล่ย ฉันยังไม่ต้องรีบร้อนอีกงั้นเหรอ? ปีนี้ถงซีก็อายุยี่สิบเจ็ดแล้ว อีกสามปีก็จะขึ้นเลขสาม การจะแต่งงานมีลูกตอนนั้นอาจเกิดสภาวะเสี่ยงมากมาย งั้นเธอบอกฉันหน่อยสิ ผู้หญิงวัยนี้ยังมีอีกสักกี่คนที่ยังไม่แต่งงานกัน?”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวต่อด้วยความหนักใจว่า

“จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ฉันแนะนำลูกศิษย์ทั้งหมดของฉันให้เธอรู้จักก็แล้ว พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นแพทย์หนุ่มอัจฉริยะ แต่เธอไม่แม้แต่เหลียวมองเลยด้วยซ้ำ รู้อะไรไหมฉีเล่ย ตอนที่เธอสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ ในนั้นก็มีคนแห่เข้ามาจีบเธอตั้งมากมาย แต่เธอกลับไม่เคยเปิดใจเลยสักครั้งเดียว จนนักศึกษาในมหาลัยต่างตั้งสมญานามให้เธอว่า ‘อาจารย์ปิง [1] ’ พอได้ยินแบบนี้แล้ว ยังไม่ให้ฉันร้อนใจได้อีกเหรอ?”

ฉีเล่ยถึงกับคลี่ยิ้มอย่างละเหี่ยใจ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตาลุงคนนี้ถึงพยายามขายหลานสาวตัวเองถึงขนาดนั้น เพราะเขากลัวว่า เมื่อเวลาผ่านไป หลานสาวของเขาจะเป็นโสดและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจนวันตาย

ฉีเล่ยครุ่นคิดอยู่สักพักและกล่าวขึ้นตามตรงว่า

“อาวุโสหลี่ ผมกำลังสงสัยว่า หลานสาวของคุณกำลังป่วย”

“ป่วยงั้นเหรอ?”

หลี่ฮั่วเฉินที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับเลิกคิ้ว

“ใช่ครับ ผมสงสัยว่าเธอป่วยทางจิต”

ฉีเล่ยแอบกวาดสายตาเหลือบมองตรงบันไดแวบหนึ่ง เพราะกลัวว่าสาวน้อยผู้เย็นชาจะย้อนกลับลงมา

“หรือว่า…หรือว่าเธอจะชอบผู้หญิง?”

หลี่ฉั่วเฉินรำพึงเสียวแผ่ว

“ไม่น่าจะใช่นะครับ…ที่ผมกำลังหมายถึงคือ เธอน่าจะป่วยเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง โรคเกลียดผู้ชาย ซึ่งมีผลวิจัยออกมาชี้ชัดแล้วว่า โรคนี้มีตามหลักการแพทย์จริงๆ”

ฉีเล่ยเอ่ยอธิบาย

นี่สามารถคาดเดาได้จากสายตาที่หลี่ถงซีจับจ้องมายังเขา แววตานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความรังเกียจ ขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัดทั้งๆ ที่เพิ่งพบกันครั้งแรก

พูดตามตรงเลยคือ ฉีเล่ยก็มั่นใจอยู่บ้างแหละว่าตัวเองหล่อ อย่างน้อยก็หน้าตาดีกว่าเกณฑ์ชายหนุ่มทั่วไปแน่นอน เธอคงไม่รู้สึกขยะแขยงเพราะเรื่องหน้าตาอะไรแบบนั้น และอีกข้อสำคัญที่น่าสังเกตคือ ตอนที่เขาโป๊เปลือย ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอกลับตรงข้ามกับผู้หญิงปกติทั่วไปที่ควรกรีดร้องตกใจ นี่มันน่าแปลกมาก

และหลังจากที่ได้ฟังคำเอ่ยบ่นถึงพฤติกรรมของเธอตลอดที่ผ่านมาจากปากหลี่ฮั่วเฉิน สิ่งนี้ก็ยิ่งยืนยันข้อสันนิษฐานของฉีเล่ยให้มีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตามแต่ เขากับหลี่ถงซีเพิ่งพบกันวันนี้เป็นครั้งแรก และเขายังทราบถึงความเป็นมาในอดีตของเธอ ส่วนที่ว่าจะป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่ ตัวฉีเล่ยเองก็ยังไม่กล้าฟันธง100%

โรคกลัวผู้ชาย ในศัพท์ทางการแพทย์ต่างประเทศจะถูกเรียกว่า Androphobia ในหนังสือโรคนี้ถูกนิยามไว้ว่า โรคที่ทำให้เกิดอาการหวาดกลัวผู้ชาย

ผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ล้วนมีประสบการณ์ภูมิหลังที่เลวร้ายทั้งสิ้น โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ไปกระทบถึงจิตสำนึกโดยตรง ไม่ก็เรื่องทางเพศหรือการถูกลวนลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นของผู้ป่วย

บางทีในช่วงวัยรุ่นของเธออาจบังเอิญไปพบเจอพวกผู้ชายสันดานเสีย นิสัยน่าขยะแขยง หรือไม่ก็ชอบใช้ความรุนแรงกับเพศตรงข้ามเป็นต้น

ก่อนจะทำการรักษาควรทราบถึงสาเหตุของผู้ป่วยก่อนเป็นอันดับแรก

“กลัวผู้ชายงั้นเหรอ…เธอรักษาถงซีได้รึเปล่า?”

หลี่ฮั่วถึงกับจับมือของฉีเล่ยแน่น เอ่ยถามประดับเจือแววตาอันแสนคาดหวัง

“ผมต้องลองดูครับ คงบอกได้แค่ว่า จะพยายามให้ดีที่สุด”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

“งั้นขอร้องเถอะ ช่วยถงซีด้วย!”

หลี่ฮั่วเฉินกล่าวขอร้องจากก้นบึ้งหัวใจ

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็ขอให้พี่เลี้ยงทำก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆ สักชาม จากนั้นฉีเล่ยก็ถือมันเดินขึ้นไปเคาะห้องของหลี่ถงซีอย่างระมัดระวัง

หลี่ถงซีค่อยๆ แง้มประตูเปิดออก พอเห็นว่าเป็นฉีเล่ยสีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นฉับพลัน และเอ่ยถามเสียงแข็งขึ้นว่า

“คุณมาทำอะไรที่นี่?”

“ตะกี้ถึงพยายามยัดข้าวเข้าปากยังไงคงไม่อิ่มหรอก ผมเลยเอาก๋วยเตี๋ยวมาให้”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่นพร้อมยื่นก๋วยเตี๋ยวชามร้อนให้ต่อหน้า

“ไม่กิน”

ทันทีที่พูดจบ หลี่ถงฉีก็ปิดประตูใส่เสียงดังปัง

ปัง!

ฉีเล่ยเอื้อมมือออกไปเคาะประตูอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรหลี่ถงซีก็ยังไม่ยอมเปิดประตูอยู่ดี

“บอกตามตรง ผมไม่สนหรอกนะว่า คุณจะกินหรือไม่กิน ต่อให้หิวจนตายมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม”

ฉีเล่ยเค้นหึยิ้มเยาะไปทีและกล่าวต่อว่า

“แต่เพราะเห็นแก่หน้าของอาวุโสหลี่ต่างหากแหละครับ ผมก็เลยต้องอาสามาช่วยคุณดูสักครั้ง”

“ช่วยฉัน? ช่วยอะไรฉัน? ฉันมีอะไรงั้นเหรอถึงต้องให้คุณช่วย?”

หลี่ถงซีเอ่ยถามพร้อมสีหน้าเย็นชา จู่ๆก็ยกมือปิดบริเวณหน้าอกของตัวเองด้วยความตกใจ

เธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จตะกี้ ปอยผมอันเปียกชื้นของเธอยังคงพาดอยู่ช่วงหัวไหล่ บนเรือนร่างสวมเพียงชุดนอนผ้าไหมชั้นบางสีม่วงแขนยาว บดบังผิวพรรณอันขาวเนียนประดุจหิมะของเธอ ทั้งยังลำคอระหงเรียวนวล กระดูกไหปลาร้าขึ้นทรงชัดเจนเซ็กซี่เกินจะหักห้ามใจไหว หน้าอกหน้าใจเป็นก้อนนุ่มนิ่มทรงโตพร่าวเสน่ห์เหลือเกิน

พอหลี่ถงซีแง้มประตูออกมาอีกครั้ง ก็พลันไปเห็นแววตาของฉีเล่ยที่จับจ้องมายังเรือนร่างของเธอโดยไม่ตั้งใจ แม้ภายในใจของชายหนุ่มคนนี้จะซื่อสัตย์ แต่สายตาของเขากลับไม่ซื่อสัตย์อย่างที่คิดเท่าไหร่

แน่นอนว่า พอหลี่ถงซีเห็นภาพฉากนี้เข้าก็ยังทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงในตัวฉีเล่ยมากยิ่งขึ้น

ผู้ชาย มันไม่มีข้อดีอะไรสักอย่างเลยจริงๆ

“นี่คุณกำลังป่วยอยู่นะ!”

ฉีเล่ยกล่าวขึ้น

“คุณกำลังป่วย!”

“คุณกำลังป่วยอยู่จริงๆ!”

“ป่วยบ้าป่วยบออะไร! ออกไปซะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะปิดประตูทับมือนายให้หักไปเลย!”

หลี่ถงซีคำรามลั่นด้วยความโกรธ

สมงสมองของหมอนี่ไปหมดแล้วรึไง? กลางดึกแบบนี้ถือชามก๋วยเตี๋ยวเข้ามาหน้าห้องคนอื่น แถมยังบอกคนอื่นอีกว่ากำลังป่วย

“ผมหมายถึง…คุณกำลังป่วยทางจิต”

ฉีเล่ยรีบเร่งอธิบายออกไปทันที

“ป่วยทางจิต? นายเองมากกว่าที่กำลังป่วยทางจิต! ไปให้พ้น! ฉันจะปิดประตู!”

หลี่ถงซีพยายามผลักประตูให้ปิดลง แต่ฉีเล่ยยังคงดันเข้ามาไม่หยุดจนประตูเริ่มแง้มออกกว้าง ทันทีที่ได้จังหวะเขาก็สอดมือเข้าไปคว้าข้อมือนุ่มของเธอไว้โดยตรง

ฉีเล่ยรำคาญที่ต้องมานั่งสุภาพกับผู้หญิงคนนี้อีกต่อไปแล้ว กระชับบีบข้อมือของหลี่ถงซีแน่นและดันตัวเองเข้าไปในห้องอีกฝ่ายทันที ก่อนจะพลิกตัวผลักร่างของเธอจนติดประตูอย่างแรง

“นี่คิดจะทำอะไรฉัน!?”

หลี่ถงซีถึงกับตื่นตระหนกหนัก เธอไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะทำตัวแข็งกระด้างกว่าที่คิดไว้มากนัก